เมื่อคิดเช่นนั้น นางจึงวางจานในมือเบาลงเล็กน้อย ราวกับว่าการกระทำที่อ่อนโยนดังกล่าวจะปลอมประโลมชายคนนั้นสักเล็กน้อย แต่นางหาไม่รู้ว่าความสงสารและการปลอบโยนเช่นนี้ สำหรับลูกผู้ชายที่ทะนงตนแล้วกลับเป็การทำร้ายที่เ็ปที่สุด
“เพล้ง!” ชามกระเบื้องลายดอกไม้สีครามถูกปัดทิ้ง และตกลงไปบนพื้นอย่างแรง เจี่ยวจือที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ ร้อนๆ ก็หกกระจายเต็มพื้นไปหมด
เมื่อเห็นผลงานของการทำงานอย่างหนักได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ ติงเหว่ยก็รู้สึกโมโหขึ้นมาเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปที่กงจื้อิโดยไม่คำนึงถึงกฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น แล้วถามว่า “เหตุใดต้องปัดทิ้งด้วย”
“ออกไปเดี๋ยวนี้!” กงจื้อิสีหน้าเ็าขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าจะเดินไม่ได้ แต่เขาก็ยังคงทะนงตน หญิงสาวชาวบ้านตัวเล็กๆ คนหนึ่งกล้าดีอย่างไรถึงได้สงสารและเห็นใจเขา!
คนที่ทำอาหารทุกคนต่างก็รู้ดีว่า สิ่งที่เกลียดที่สุดคือการไม่เห็นคุณค่าของอาหาร คุณไม่ชอบรสชาติของมันได้ แต่อย่างไรก็ไม่สามารถทิ้งขว้างอาหารได้
ติงเหว่ยกำหมัดแน่นและพยายามระงับความโกรธของนางอย่างถึงที่สุด “คุณชายอวิ๋น นี่คืออาหารที่ข้าทำออกมาด้วยความยากลำบาก หากท่านไม่พอใจตรงที่ใดก็พูดออกมาได้เลย ไม่เห็นจะต้องทิ้งขว้างอาหารแบบนั้น หากท่านรู้ว่าบางคนทำงานยุ่งตลอดทั้งปีแต่ก็ไม่แน่ว่าจะได้กินอิ่มท้อง ของกินที่อร่อยแบบนี้บางคนยังไม่เคยเห็นเลยด้วยซ้ำ แล้วท่านกลับใช้มือปัดทิ้งตามใจชอบ ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!”
“ไม่สมเหตุสมผลอย่างนั้นหรือ?” กงจื้อินึกถึงเื่ในอดีตขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล เขาต่อสู้เพื่อซีห่าวมาหลายต่อหลายปี ต่อสู้ดิ้นรนจนแทบเอาชีวิตไม่รอดนับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายพี่ชายที่เติบโตมาด้วยกันั้แ่เด็กกลับสั่งฆ่าเขา พี่น้องร่วมสาบานที่เดินหมากรุกและคุยเล่นกันกลับกลายเป็ฆาตกร สมเหตุสมผลอย่างนั้นหรือ! จะมีเื่สมเหตุสมผลที่ไหนกันล่ะ?
เพล้ง! เขาโบกมืออย่างรุนแรงอีกครั้ง โต๊ะชาตัวเล็กคว่ำลงกับพื้น ติงเหว่ยไม่คิดเลยว่าเขาจะทำมันอีกครั้ง นางจึงหลบไม่ทันและถูกมุมของโต๊ะขูดไปที่หน้าท้องของนาง นางพลันก้มตัวลงโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีท่านลุงอวิ๋นกำลังจะแอบย่องเข้าไปในลานบ้านอย่างเงียบๆ เพื่อแอบดูสถานการณ์ภายในห้อง คิดไม่ถึงว่ากลับได้ยินเสียงแปลกๆ ดังนั้นจึงรีบวิ่งเข้ามาดู
กงจื้อิมองเหว่ยเอ๋อร์ที่มีสีหน้าซีดขาวอย่างเ็า และในใจก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจมากยิ่งขึ้น ก็แค่รอยขีดข่วนเล็กๆ น้อยๆ จะเจ็บสักแค่ไหนกันเชียว? หรือสตรีนางนี้คิดจะใช้โอกาสนี้ขู่กรรโชกเขาอย่างนั้นหรือ?
“ไปเอาเงินมาสิบตำลึง แล้วไล่นางออกไปจากบ้านซะ!”
“โธ่!” ลุงอวิ๋นมีเวลาแค่เหลือบมองพื้นห้องที่ยุ่งเหยิงไปหมดเท่านั้น ยังไม่ทันที่เขาจะพูดอะไรก็ได้ยินนายท่านสั่งการเช่นนี้เสียแล้ว จากนั้นเขาจึงหันไปมองติงเหว่ยโดยไม่รู้ตัว
ผลปรากฏว่าภาพที่เห็นแทบจะทำให้เขาิญญาออกจากร่างไป เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้นรีบวิ่งเข้าไปประคองไหล่ของติงเหว่ย และถามเสียงดังว่า “แม่นางติง เ้าเป็อย่างไรบ้าง? ทำไมกอดท้องไว้อย่างนั้นล่ะ มีอะไรผิดพลาดตรงไหนงั้นหรือ?”
ติงเหว่ยใมากจนมีเหงื่อเย็นไหลออกเต็มแผ่นหลังของนาง หากว่าโต๊ะตัวนั้นกระเด็นห่างจากนี้อีกเพียงนิดเดียว ท้องนางคงถูกกระแทกตรงๆ อย่างแรง เด็กคนนี้น่าจะไม่รอดเป็แน่
“ข้าจะมีอะไรผิดพลาดได้ล่ะ มากสุดก็แค่เป็หนึ่งศพแต่สองชีวิตก็เท่านั้น!” ติงเหว่ยรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก นางสะบัดมือของท่านลุงอวิ๋นออกแล้วพูดอย่างเกลียดชังว่า “เงินของคุณชายอวิ๋นข้าคงรับไว้ไม่ได้หรอก วันนี้ข้าจะลาออก นับแต่นี้ต่อไป ข้าจะไม่เข้ามาเหยียบบ้านสกุลอวิ๋นแม้เพียงครึ่งก้าวอีกเด็ดขาด!”
หลังจากพูดจบ นางก็จับท้องแล้วก้าวฉับๆ ออกจากห้องไป
……
ท่านลุงยวิ๋นเห็นบานประตูที่ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด ก็ตกตะลึงไปพักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ถอยออกไปสองก้าว แต่แล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่านายท่านยังคงนั่งอยู่ข้างๆ จึงรีบหันกลับไปถามว่า “คุณชาย เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แม่นางปรนนิบัติรับใช้ท่านไม่ดีอย่างนั้นหรือ? นางเป็แค่สาวชาวบ้านหากไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ท่านก็ตำหนิสักสองสามประโยคก็พอแล้ว เหตุใด…เหตุใดจึงขั้นต้องลงไม้ลงมือเลยล่ะ?”
กงจื้อิเลิกคิ้วขึ้น และมีแสงเย็นวาบปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “ท่านลุงอวิ๋น ท่านปิดบังอะไรบางอย่างจากข้าอยู่ใช่หรือไม่?”
ตอนนี้ท่านลุงอวิ๋นกังวลเกี่ยวกับชะตากรรมของเด็กในท้องของเหว่ยเอ๋อร์ และน้ำเสียงของเขาอาจจะดูรุนแรงไปเล็กน้อย เมื่อเขาได้ยินคำถามด้วยความสงสัยของนายท่าน ขาทั้งสองข้างของเขาก็อ่อนแรงและคุกเข่าลงทันที
“คุณชาย ท่าน…”
“ผู้หญิงคนนี้นางเป็ใครกันแน่? เหตุใดเ้าถึงปล่อยให้นางเข้ามาเรือนด้านหลังโดยพลการ ไม่คำนึงว่าความลับจะถูกเปิดเผยหรือไม่ แล้วยังทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องนางอีก?” กงจื้อิเคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะ แสงแดดด้านนอกส่องผ่านขอบหน้าต่างและส่องไปที่หลังมือของเขา ยิ่งทำให้เห็นชัดว่ามือนั้นทั้งผอมแห้งและซีดขาว...
ท่านลุงอวิ๋นเห็นแล้วก็ปวดใจ เดิมทีมือเหล่านี้ถือแส้ขี่ม้า ถือมีดยาว ถือคันศรและเกาทัณฑ์ มีกำลังวังชาอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทว่าผ่านไปเพียงแค่สองเดือนกว่าก็เปลี่ยนเป็เช่นนี้แล้ว? ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะคิด แต่ในขณะนี้เขาเริ่มกังวลว่านายท่านจะยืนหยัดถึงวันที่เหล่าองครักษ์เงาตามหาหมอเทวดากลับมาได้หรือไม่
ไม่ว่าอย่างไรจะต้องรักษาสายเืของตระกูลกงจื้อเอาไว้ให้ได้ ถึงแม้ว่าหลังจากที่นายท่านของเขารู้ความจริงจะเกลียดชังและขับไล่เขา หรือแม้กระทั่งให้ชดใช้ด้วยชีวิต เขาเองก็จะไม่เสียดาย
“คุณชาย แม่นางติงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับบ่าวจริงๆ ความจริงเป็เพราะ...เอ่อ นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ บ่าวจึงกังวลว่าเมื่อครู่คุณชายทำร้ายนางลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ หากเื่นี้แพร่ออกไป นี่... จะทำให้ชื่อเสียงของคุณชายเสื่อมเสียเอาได้”
“นางตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ?” นิ้วชี้ของกงจื้อิกระตุก ภายในใจของเขาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ในฐานะเ้านายทำร้ายบ่าวสักครั้งไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แต่นี่เป็ชายหนุ่มที่มีกำลังวังชาทำร้ายหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์คนหนึ่ง และยังเกือบจะทำให้นางแท้งด้วยซ้ำ ช่างเป็เื่ที่ไม่สมควรจริงๆ
ท่านลุงอวิ๋นแอบมองเ้านายของเขาอย่างลับๆ พลางครุ่นคิดในใจแล้วพูดว่า “ขอรับคุณชาย แม่นางติงคนนี้ตั้งครรภ์ได้เกือบสี่เดือนแล้ว นางเป็คนจิตใจดีและมีน้ำใจ ฝีมือทำอาหารของนางก็ดีทีเดียว บ่าวถึงได้ดูแลนางมากสักหน่อย วันนี้เซียงเซียงไม่อยู่ และบ่าวก็มีเื่ติดพันถึงได้ให้นางมาส่งกล่องข้าวแทน คิดไม่ถึงว่าจะทำให้คุณชายโกรธ”
“แม่นางติง? ตั้งครรภ์?” ในที่สุดกงจื้อิก็สังเกตเห็นบางสิ่งแปลกๆ จึงถามว่า “ในเมื่อนางยังเป็หญิงสาวอยู่ เหตุใดนางถึงตั้งครรภ์ได้ล่ะ?”
ราวกับว่าความสงสัยดังกล่าวจะสามารถชะล้างความรู้สึกผิดและความเสียใจเล็กน้อยในใจของเขาไปได้ กงจื้อิหัวเราะอย่างเ็า “ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รักษาจรรยาบรรณสตรีและสูญเสียความบริสุทธิ์ไป ต่อให้ฝีมือจะดีแค่ไหน ก็ยังขาดศีลธรรม ข้าไม่้าเก็บคนประเภทนี้ไว้รอบตัวข้า จ่ายเงินให้นางไปสักก้อนและไล่ออกไปซะ!”
เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินนายท่านเอ่ยปากไล่นางแทบจะทุกประโยค เขาก็ร้อนใจมากจนอยากจะขุดหลุมบนพื้นกระเบื้องสีครามนี้และมุดหนีลงไป อย่างไรเขาก็ไม่สามารถบอกความจริงได้ ต่อให้ข้าพูดออกไปว่า คุณชาย คนที่ทำให้นางตั้งครรภ์ั้แ่ยังไม่ได้แต่งงานก็คือท่านอย่างนั้นหรือ?
เขากังวลมากจนมีเหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มหน้าผาก เขาจึงยื่นมือออกไปเช็ดและในที่สุดก็พูดเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงแ่เบาว่า “คุณชายอาจจะยังไม่รู้ แม่นางคนนี้ก็ช่างน่าสงสาร เดิมทีนางอายุ 28 ปีกำลังจะเตรียมหาคู่ครอง แต่ไม่รู้ว่าใครวางแผนอะไรถึงแอบเข้าไปแย่งชิงความบริสุทธิ์ของนางในยามค่ำคืน ครอบครัวพวกนางต่างก็ไม่มีใครสังเกตเห็น พอมารู้อีกทีนางก็ตั้งครรภ์ได้เดือนกว่าแล้ว ชาวบ้านในหมู่บ้านเดิมทีก็อิจฉาตาร้อนอยู่แล้วที่ครอบครัวนางเปิดร้านกิจการไปได้ดี จึงหาเื่จะเผาแม่นางคนนี้ทั้งเป็
อาจเป็เพราะโชคชะตาของแม่นางคนนี้ยังไม่ถึงฆาต ว่ากันว่านางได้รับการคุ้มครองจากท่านย่าเทวาูเา จู่ๆ ก็มีฟ้าผ่าแล้งลงที่กำแพงวัดชานเฉินทางทิศตะวันตกของหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัวจึงปล่อยแม่นางคนนี้ไป แต่คำซุบซิบนินทาก็ไม่น้อย แม่นางคนนี้เองก็ใช้ชีวิตลำบาก บ่าวเห็นว่านางมีฝีมือการทำอาหาร นิสัยก็ดี จึงตัดสินใจเอาเองว่าจะไปเชิญนางมาทำอาหารที่บ้าน อย่างแรกข้าอยากจะให้ท่านได้เปลี่ยนรสชาติใหม่ และอย่างที่สองข้าอยากจะทำบุญทำกุศล…”
กงจื้อิยิ่งฟังยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น และในใจก็ยิ่งรู้สึกผิดขึ้นไปอีก เดิมทีการทำร้ายหญิงตั้งครรภ์ก็ผิดศีลธรรมมากพออยู่แล้ว และเขายังคิดไม่ถึงเลยว่าแม่นางคนนี้จะน่าสงสารได้ถึงขนาดนี้...
ท่านลุงอวิ๋นคอยสังเกตสีหน้าของเ้านาย เมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบเปลี่ยนเื่ “บ่าวไม่ควรตัดสินใจให้นางเข้ามาที่เรือนด้านในโดยพลการ นี่ล้วนเป็ความผิดของข้าทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คุณชาย ทุกคนต่างก็บอกว่าการช่วยคนหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก [1] ตอนนี้แม่นางคนนี้อยู่ในหมู่บ้านทุกคนต่างส่งเสียงร้องให้ตี [2] ส่วนครอบครัวนางก็คาดหวังว่านางจะหาเงินได้จำนวนหนึ่งจากการมาทำงานที่บ้านเรา หากว่าขับไล่นางออกไปจริงๆ เกรงว่านางคงไม่รอดชีวิตเป็แน่ คุณชายเป็คนจิตใจดีมาโดยตลอด มิสู้ปล่อยให้นางอยู่ต่อเถอะ หากคุณชายยังโกรธอยู่ บ่าวจะไปเรียกนางให้มาคำนับขอโทษ… ”
“ไม่จำเป็” กงจื้อิโบกมือ ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถเป็ขโมยเองแต่เรียกร้องให้จับขโมย [3] และพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เมื่อครู่ข้าควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่ได้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนาง เ้าจงไปพาชานอีมาตรวจชีพจรให้นาง หากมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นก็อย่าได้บ่ายเบี่ยง”
“อา ขอรับนายน้อย บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้” เมื่อท่านลุงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ในใจเขาก็ดีใจมาก แต่เกรงว่าติงเหว่ยอาจออกจากบ้านไปแล้วจึงไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขารีบลุกขึ้นและวิ่งออกไปทันที
……
กงจื้อิเหลือบมองจานที่แตกอยู่บนพื้น มีหยวนเป่าเจี่ยวจือ [4] ที่แตกออกอยู่สองชิ้น แป้งสีขาวนวลเปิดออกเล็กน้อย ทำให้เห็นสีเขียวของกุยช่าย สีแดงของกุ้งและน้ำมันของหมูสับ ทั้งยังมีกลิ่นหอมจางๆ ไม่รู้เพราะเหคุใดเขาจึงนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของแม่นางคนนั้นที่ถามเขาด้วยความโกรธว่า เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่ายังมีชาวบ้านที่หิวโซอยู่ ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นมาตบไปที่ขอบเตียงด้วยความหงุดหงิด สรุปแล้วเื่นี้ต้องโทษผู้ใดกันแน่?
ติงเหว่ยรีบวิ่งออกจากเรือนด้านใน นางจับต้นทับทิมที่ประตูและยืนหอบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดนางก็ลูบที่ท้องของตนเองเมื่อไม่ได้รู้สึกว่าเป็ตะคริวแต่อย่างใด นางจึงค่อยๆ เบาใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ใจนางยังคงมีความโกรธที่ยากจะสงบลงได้ นางหันกลับไปมองห้องโถงที่เปิดแง้มเอาไว้ให้เห็นมุมหนึ่งในห้องแล้วถอนหายใจออกมา
“คุณชายผู้สูงศักดิ์อะไรกัน ช่างน่าขันเสียจริง! เขาอารมณ์เสียโดยไม่มีเหตุผล และยังทิ้งขว้างอาหารอีก เขา...เขาเลวร้ายยิ่งกว่าหมูหรือสุนัข [5] เสียอีก!”
……
“แม่นางติง เกิดอะไรขึ้นกับเ้าอย่างนั้นหรือ” ท่านป้าหลี่ทำอาหารกลางวันเสร็จ รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นนางมาสักที จึงะโให้ลูกชายเตรียมถ้วยชามกับตะเกียบและเรียกทุกคนมากินข้าว ส่วนนางก็เดินไปเดินมาอยู่หน้าประตูแล้วมองไปรอบๆ คิดไม่ถึงว่าจะเห็นติงเหว่ยวิ่งออกมาจากเรือนด้านในด้วยความโกรธ
“ไม่มีอะไร” ติงเหว่ยพยายามควบคุมความโกรธอย่างเต็มที่แล้วตอบว่า “ท่านป้าหลี่ ข้าจะไม่มาทำงานที่นี่อีกต่อไปแล้ว ขอบคุณท่านและทุกคนที่ช่วยกันดูแลข้าเป็อย่างดี ส่วนเื่เครื่องในหมูทั้งสองชุดนั้น ท่านให้เสี่ยวฝูจื่อไปหาข้าที่บ้านทีหลังเพื่อไปเอาวิธีการทำ จากนั้นท่านป้าค่อยทำตามขั้นตอนก็พอแล้ว”
“อะไรนะ?” ท่านป้าหลี่จู่ๆ ที่ได้ยินเื่นี้จึงคว้าแขนเสื้อของติงเหว่ยไว้อย่างทนไม่ได้ แล้วถามว่า “ทำไมจู่ๆ จึงต้องลาออกล่ะ ไม่ใช่ว่าทุกอย่างเป็ไปด้วยดีมาโดยตลอดหรอกหรือ? ทุกคนเพิ่งจะเริ่มคุ้นเคยกันเอง หากเ้าไปแบบนี้ก็น่าเสียดายแย่สิ”
ติงเหว่ยไม่สามารถพูดอะไรได้มาก แม้ว่านางจะโกรธที่กงจื้อิอารมณ์เสียใส่นางโดยไม่มีเหตุผล แล้วเขายังเกือบทำร้ายลูกในครรภ์ของนางอีก แต่เห็นแก่หน้าท่านลุงอวิ๋นนางจะไม่พูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับเขา ถึงแม้ว่าอะไรไม่ดีเ่าั้จะเป็เื่จริงก็ตามที
“ท่านป้ากลับไปทำงานต่อเถอะ ข้าจะเก็บกระเป๋าและจะไปแล้ว หากในอนาคตท่านป้ามีเวลาว่างก็มาคุยเล่นกับข้าที่บ้านก็ได้” ติงเหว่ยพูดอย่างลวกๆ กำลังจะวิ่งไปทางเรือนเล็กเพื่อหยิบกระเป๋าของนาง ในขณะนั้นท่านลุงอวิ๋นก็ตามมาถึงพอดี
“แม่นางติง ช้าก่อน!”
ผู้าุโวิ่งอย่างเร่งรีบ เหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ทัน แต่เขาก็ไม่คิดที่จะหยุดพักแม้เพียงสักนิด เขารีบก้าวเข้าไปขวางหน้าติงเหว่ยเอาไว้ทันที “แม่นางติง ทั้งหมดเป็เื่เข้าใจผิดกัน ครอบครัวข้า…หลานชายของข้าไม่ได้ตั้งใจจะอารมณ์เสียใส่เ้าแบบนั้น เ้าอย่าได้ถือสาเลยนะ เชิญไปห้องรับแขกในสวนดอกไม้ก่อนแล้วพวกเราค่อยๆ คุยกันเถอะ”
ติงเหว่ยได้ยินคำว่า “เข้าใจผิด” สองคำนี้แล้วอยากจะกลอกตาเสียจริง เมื่อครู่นางไม่ได้ทำอะไรผิดเลย ไม่ได้พูดอะไรล่วงเกิน และไม่ได้ทำผิดกฎข้อห้ามใดๆ กลับถูกต่อว่าเป็ชุดโดยที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย และนางก็เกือบจะเสียลูกไปด้วยซ้ำ ต่อไปหากยังอยู่ที่บ้านสกุลอวิ๋นต่อ ใครจะรู้ว่าคุณชายอวิ๋นที่เหมือนกับคนบ้าจะทำเื่สติฟั่นเฟือนอะไรอีก นอกจากนี้ก็เหมือนกับที่แม่นางหลี่ว์พูดไว้ แค่ลูกสาวคนเดียวครอบครัวสกุลติงเลี้ยงได้อยู่แล้ว ต่อให้ไม่มีงานที่จวนสกุลอวิ๋นก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร แล้วเหตุใดนางจึงต้องยอมละทิ้งศักดิ์ศรีให้คนอื่นด่าทอและทุบตีตนเองด้วยล่ะ?
-----------------------------------------
[1] การช่วยคนหนึ่งชีวิตดีกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้นเสียอีก 救人一命胜造七级浮屠 หมายถึง การช่วยเหลือชีวิตคนเป็บุญกุศลยิ่ง
[2] ทุกคนต่างส่งเสียงร้องให้ตี 人人喊打 หมายถึง คนที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์
[3] เป็ขโมยเองแต่เรียกร้องให้จับขโมย 贼喊捉贼 หมายถึง พูดเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองพ้นผิด ปัดความผิดให้ผู้อื่น
[4] หยวนเป่าเจี่ยวจือ 元宝饺子 หมายถึง ลักษณะของเกี๊ยวที่คล้ายกับเงินในสมัยโบราณ
[5] เลวร้ายยิ่งกว่าหมูหรือสุนัข 猪狗不如 หมายถึง คนที่มีนิสัยต่ำทราม และประพฤติหยาบช้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้