พวกนางสองพี่น้องค่อยๆ เดิน ในมือถือตะกร้าคล้ายออกมาเก็บผักเช่นกัน แต่ดูเหมือนแปลงผักของครอบครัวเมิ่งต้าจะไม่ได้อยู่แถวนี้
ทันทีที่เมิ่งซวี่ซวีเห็นซวี่เฉินฟาง นางก็จ้องเขาตาค้าง ไม่เลื่อนสายตาไปที่ใด
ผู้ใดบ้างไม่ชมชอบบุรุษรูปงามเช่นนี้ ปกติเมิ่งซวี่ซวีเป็คนเอาแต่ใจและเกเร แต่พอเห็นซวี่เฉินฟาง นางกลับทำตัวเรียบร้อยว่าง่ายเชื่อฟัง
เวลานี้เมิ่งเจียนเจียสะกิดแขนเมิ่งซวี่ซวีเบาๆ ก่อนเอ่ย “ซวี่ซวี พวกเราไปกันเถิด”
เมิ่งซวี่ซวีดึงศอกกลับ ก่อนกล่าว “เ้าจะไปก็ไปเถิด ข้าไม่ไป”
ไม่รู้ว่าเมิ่งซวี่ซวีออกแรงมากเพียงใด เมิ่งเจียนเจียถึงกับร้องเสียงหลง ก่อนล้มลงไปนั่งกองกับพื้นข้างๆ ดูคล้ายข้อเท้าพลิก นางกัดริมฝีปาก สีหน้าเ็ป
ไหนเลยเมิ่งซวี่ซวีจะสนใจที่จะมองนางสักแวบหนึ่ง
เมิ่งอู่เข็นอินเหิงผ่านไปคล้ายมองไม่เห็น เมิ่งเจียนเจียกุมข้อเท้าตนเองไว้ วงหน้าเล็กๆ ซีดเผือด
เมื่อซวี่เฉินฟางเดินมาถึง เขาก็หยุดตรงหน้าพี่น้องสองสาว ยิ้มละไมอย่างที่เห็นจนชินตา เอ่ยว่า “แม่นาง ไม่เป็อันใดกระมัง?”
เมิ่งเจียนเจียส่ายหน้านิดๆ “ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ”
ซวี่เฉินฟางช่วยพยุงเมิ่งเจียนเจียให้ลุกขึ้นยืน นางยืนขาเดียวไม่มั่นคง จึงเซล้มในอ้อมแขนของเขากะทันหัน ก่อนเอ่ยอย่างกระดากอาย “ขออภัย ทำให้คุณชายต้องหัวเราะเยาะแล้ว”
เมิ่งซวี่ซวีที่อยู่ด้านข้างจ้องตาเขม็ง ในใจโมโหแทบลุกเป็ไฟ แต่มิอาจอาละวาดต่อหน้าซวี่เฉินฟาง
จากนั้นซวี่เฉินฟางก็ช่วยประคองเมิ่งเจียนเจียไปนั่งพักในที่ร่มใกล้ๆ ก่อนจากไปอย่างผ่าเผย
เมิ่งซวี่ซวีจ้องมองเงาหลังของเขากระทั่งเขาลับสายตา ค่อยหันกลับมาจ้องเมิ่งเจียนเจียด้วยแววตาดุร้าย “มิใช่ว่าเ้าชอบคนไร้ประโยชน์นั่นหรอกหรือ? เหตุใดถึงต้องแย่งข้า!”
เมิ่งเจียนเจียทั้งเจ็บทั้งคับข้องใจ “ซวี่ซวี เ้าชนข้าจริงๆ นะ”
นางนวดข้อเท้าตนเองจนแดงไปหมดเพื่อแสดงให้เมิ่งซวี่ซวีเห็นว่าเป็อย่างนั้นจริงๆ
เมิ่งซวี่ซวีแค่นเสียง เมิ่งเจียนเจียกล่าว “ซวี่ซวี ข้าไม่แย่งเ้าหรอก”
แต่เมื่อนางกล่าวประโยคนี้ ใบหน้าก็อดแดงระเรื่อไม่ได้
บุรุษในหมู่บ้านล้วนแต่ทำงานหนักในไร่ในนาและมีกลิ่นเหงื่อเหม็นไปหมด แต่เมื่อครู่ยามที่ได้ััเขา เมิ่งเจียนเจียกลับได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่หอมมาก อดไม่ได้ที่ใจของนางจะหวั่นไหว
แม้อินเหิงที่นั่งบนเก้าอี้เข็น มีรูปลักษณ์ที่นางชื่นชอบมากที่สุด แต่บุรุษตรงหน้านี้ก็มีรูปร่างหน้าตาโดดเด่นไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไร้ตำหนิ ไม่ด้อยไปกว่าอินเหิงแม้แต่น้อย
เมิ่งเจียนเจียก้มหน้าลง ก็เห็นสายรัดเอวของเขาคล้ายเป็หยกโปร่งใสไร้ตำหนิ
เดิมทียามที่นางเย่แต่งเข้าเรือนสกุลเมิ่ง สินเดิมที่มีค่าที่สุดในบรรดาสินเดิมทั้งหมดก็คือปิ่นปักผมหยกอันหนึ่ง รูปทรงเรียบง่าย เนื้อหยกธรรมดา แต่เมิ่งเจียนเจียกับเมิ่งซวี่ซวีต่างก็ประสงค์จะปิ่นปักผมอันนั้นมาโดยตลอด
แต่หยกที่เอวของซวี่เฉินฟางดีกว่าหยกที่ปิ่นปักผมของนางเย่ไม่รู้กี่ส่วน มองผาดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งของที่ครอบครัวคนธรรมดาจะมีได้
เมิ่งอู่กับบุรุษทั้งคู่เดินย้อนกลับไปตามทางเดิม
คาดไม่ถึงว่าเพิ่งเดินผ่านริมแม่น้ำ ก็พบคนรู้จักอีกกลุ่มหนึ่ง
ไม่ใช่อื่นไกล เป็กลุ่มอันธพาลในหมู่บ้านที่ไม่ทำอันใดเลยทั้งวัน ออกมาเดินเพ่นพ่านอีกแล้ว พวกชาวบ้านต่างพากันหลบหน้าหลบตาเมื่อพบพวกเขา
เดิมทีกลุ่มอันธพาลที่เดินเตร่อยู่แถวนั้นมีเวลาว่างจนรู้สึกเบื่อหน่าย จึงคิดจะทำเื่เลวร้ายบางอย่าง
แต่พอเห็นเมิ่งอู่กับอินเหิงไกลๆ ก็คิดว่าไม่ดี ไม่สมควรทำเื่ชั่วร้าย ต้องทำเื่ดีๆ บ้าง
ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม พวกเขาตรงเข้าไปคว้าตัวแม่เฒ่าคนหนึ่งที่เดินผ่านมา กลุ่มคนข่มขู่คุกคามนางอย่างอุกอาจ บังคับประคองนางพาข้ามแม่น้ำ
แม่เฒ่าจึงได้แต่ต้องตกปากรับคำตัวสั่นพรั่นพรึง
พวกอันธพาลพยุงแม่เฒ่าข้ามไปฝั่งตรงข้าม ยังเกรงว่าทำดีไม่พอ จึงพยุงนางข้ามกลับมาอีกครั้ง
ทำเช่นนี้วนไปวนมาหลายรอบ สุดท้ายแม่เฒ่าทนไม่ไหว ทรุดตัวลงแล้วคร่ำครวญว่า “พวกเ้า้าอันใดกันแน่ ฆ่าข้าให้ตายซะเลยดีกว่า!”
เมิ่งอู่เข็นอินเหิงเข้าไปใกล้ก่อนเอ่ย “กำลังทำอันใดกัน?”
อันธพาลคนหนึ่งกล่าว “หัวหน้าใหญ่ พวกเรากำลังทำความดีอยู่นะ! แม่เฒ่าน่าตายนี่… โอ๊ยไม่ใช่… แม่เฒ่าไม่เอาไหนนี่... ” ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็หาคำเรียกที่เหมาะสมไม่ได้ จึงถูกหัวหน้าของพวกเขาตบหัวทีหนึ่ง
หัวหน้าอันธพาลหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “หัวหน้าใหญ่ พวกเรากำลังพาแม่เฒ่าข้ามแม่น้ำ นางเดินเหินไม่ค่อยสะดวก เลยเกรงว่านางจะพลัดตกแม่น้ำแล้วถูกพัดหายไป”
เมิ่งอู่มองแม่เฒ่าก่อนกล่าว “พวกเ้าดูสิ แม่เฒ่าร้องไห้หนักเยี่ยงนี้ พวกเ้าแน่ใจหรือว่ากำลังทำความดี?”
แม่เฒ่าต่อว่า “ไอ้พวกเด็กเวร ยายเฒ่าอย่างข้าไม่ข้ามแม่น้ำ!”
พวกอันธพาลเผยสีหน้าอันตรายทีละคน ก่อนตรงเข้าไปข่มขู่นาง “ยายเฒ่า! เ้าพูดอันใด!”
เมิ่งอู่ทำหน้าบึ้งตึง “คันมือหรือ? ข้าไม่รังเกียจที่จะช่วยจัดการให้พวกเ้า”
ทุกคนจึงรีบปล่อยแม่เฒ่า
เมิ่งอู่เข็นอินเหิงผ่านหน้าพวกเขาไปพลางเหลือบมองพวกเขาผาดหนึ่ง “ว่างนักหรือ? กลับไปเอาจอบมาพรวนดินถางหญ้าที่ไร่นาสิ”
อันธพาลคนหนึ่งกล่าว “น่าเบื่อขนาดนั้น หัวหน้าใหญ่ เมื่อไรเ้าจะพาพวกเราขึ้นูเาไปล่าสัตว์เล่า?”
เมิ่งอู่ไม่สนใจ แต่ไม่นานนักพวกอันธพาลก็ไม่สนใจเื่นี้แล้ว พริบตาต่อมาพวกเขาก็เกาะกลุ่มกันราวกับจะถูกกระชากิญญา จ้องไปทางด้านหลังของเมิ่งอู่อย่างตะลึงงัน ตาเบิกโพลง
ซวี่เฉินฟางตามมาไม่ไกลไม่ใกล้ สวมหมวกไม้ไผ่สาน หรี่ตาพลางเดินเอื่อยเฉื่อยมาทางนี้
ผืนน้ำทอประกายระยิบระยับ แสงอาทิตย์หักเหเกิดเป็สีสันหลากหลายงดงาม แต่มิอาจเทียบกับชุดสีแดงเข้มสง่างามที่เขาสวมใส่ เลิศล้ำหาใดเทียม
บรรดาสตรีในสิบหลี่แปดหมู่บ้านไม่มีหนึ่งในร้อยคนก็มีแปดในสิบคน พวกอันธพาลเหล่านี้คิดว่าตนเองผ่านโลกมามาก แต่ไม่เคยพบเห็นคนงามถึงเพียงนี้มาก่อน
เมื่อคนงามเดินผ่านพวกเขาไปต่อหน้าต่อตา สายตาของพวกอันธพาลก็ตามติดไปอย่างอ่อนโยน ยังได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของกันและกันด้วย
ครั้นซวี่เฉินฟางเดินไปไกลแล้ว พวกอันธพาลก็เริ่มพูดคุยกัน
“งาม! งามจริงๆ!”
“บ้าเอ๊ย ข้าเห็นแล้วแข็ง”
“ข้า… ปัดโธ่เอ๊ย ข้ารู้สึกเหมือนหัวใจเต้นแรง…”
“ข้าก็ด้วย หัวใจเต้นเร็วมาก! นี่คือความรู้สึกที่เรียกว่าความรัก!”
“แค่เห็นนางแวบเดียว ข้าถึงกับคิดชื่อบุตรที่จะเกิดกับนางไว้เรียบร้อยแล้ว!”
“ลากคนมาเล่นสนุกกันดีกว่า!”
“บ้าไปแล้ว! เ้าไม่เห็นหรือว่านางอยู่กับหัวหน้าใหญ่ เ้าไม่อยากมีแขนแล้วหรือไร!”
เมิ่งอู่แอบได้ยินเสียงของพวกอันธพาลที่พูดคุยกันเบาๆ จึงอดหันกลับไปมองไม่ได้ ก็เห็นพวกเขาจ้องซวี่เฉินฟางด้วยสายตาหิวกระหาย
เมื่อมองซวี่เฉินฟาง เขายังคงผลิยิ้มงดงามดั่งภาพวาด มือจับหมวกไม้ไผ่สานบนศีรษะไว้เพื่อไม่ให้ปลิวไปตามลม เรือนผมยาวพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมอุ่น ทุกอิริยาบถเย้ายวนชวนหลงใหล ตัวหายนะ!
เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และยิ่งไม่รู้ว่าตนเองคือต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งมวล
เมิ่งอู่คิดในใจ นี่สิถึงจะเรียกว่าอาศัยความแข็งแกร่งเอาชนะทั้งบุรุษและสตรี…
จนกระทั่งซวี่เฉินฟางลับสายตาไปไกลแล้ว พวกอันธพาลยังคงจ้องมองแผ่นหลังเขาอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่นาน
ยามเที่ยง ทุกครอบครัวต่างเริ่มทำอาหารกลางวัน
อันธพาลคนหนึ่งแอบย่องมาที่เรือนของเมิ่งอู่ ก่อนมองเข้าไปในลานเรือนผ่านช่องประตู
เวลานี้นางเซี่ยกับเมิ่งอู่ยุ่งง่วนอยู่ในครัว ซวี่เฉินฟางก็เข้าครัวไปด้วย คอยเรียกท่านป้าบ้างญาติผู้น้องบ้างอย่างสนิทสนม มีเพียงอินเหิงที่นั่งเด็ดผักอยู่ในที่ร่มใต้ชายคาเงียบๆ