เนื้อหาต่อไปนี้เป็เื่ Short story นะคะ เนื้อหาจะไม่ติดต่อกันเพื่อไม่ให้งงแนะนำให้อ่าน #แซคจานิน ก่อนคับ!
วิธีที่ 5
เมื่อหมาเด็กกลายร่างเป็หมาดุ
รูทีนของเฟรชชี่ปีหนึ่งคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา หลังจากจบกิจกรรมรับน้อง บ้างก็ตรงกลับห้อง บ้างก็รวมทีมเตะบอลกับเด็กคณะอื่น ๆ —ซึ่งเบ๊บจัดอยู่ในกลุ่มคนประเภทแรก เขาไม่ชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง (ยกเว้นบาสเกตบอล) เลยเลือกที่จะกลับหอแล้วออกไปวิ่ง ไม่ก็เข้าฟิตเนสเพื่อออกกำลังกายแทน
เบ๊บไม่ใช่คนโลกส่วนตัวสูง เขาจัดว่าเป็คนมีเพื่อนพ้องเยอะอยู่พอสมควร ทว่าส่วนใหญ่จะอุดมไปด้วยแก๊งชายแท้ที่เหยียดแม่งทุกอย่างยกเว้นตัวมันเอง เบ๊บไม่อยากยุ่งหรือปรับทัศนคติให้เปลืองน้ำลายเขาจึงเลือกที่จะเฟดตัวออกมาอยู่ตัวคนเดียว มันเหงานิดหน่อย…จนกระทั่ง
“เหม่อไรวะ”
ได้เจอพี่พาย
แม้สถานะของเราทั้งคู่จะติดอยู่ในคนคุยโซน แต่กระนั้นคนโตกว่าก็เปิดใจให้เขามากขึ้น เล่าเื่ต่าง ๆ นานาให้ฟังรวมถึงเื่ส่วนตัวที่เขาควรรู้โดยสังเขป
พี่พายเป็คนกรุงเทพฯ ั้แ่กำเนิด
เป็ลูกคนเดียว
ไม่เคยมีแฟน แต่มีคนที่ชอบ
อีกฝ่ายเล่าให้ฟังแค่สามข้อเพราะคิดว่ามันเป็สิ่งที่เขาอาจจะต้องรู้ไว้ และที่สำคัญไปมากกว่านั้นคือข้อสุดท้ายที่เ้าตัวย้ำนักหนา ซ้ำยังอธิบายว่าคน ๆ นั้นชื่ออะไร มีความสัมพันธ์กันแบบไหน เล่าละเอียดยิบเสียจนเบ๊บหน้ามุ่ยเพราะเกิดอาการหวงเ้าของหน่อย ๆ :- (
“แค่กำลังคิดระหว่างผมกับพี่จานินใครน่ารักกว่ากัน”
“มึงน่ารักกว่า”
“เอาตรง ๆ เลยครับ ผมไม่งอนหรอก”
“จานิน”
“อือ โอเค”
“เฮ้อ กินเยอะ ๆ จะได้เลิกเพ้อเจ้อ” แซนวิชชิ้นขนาดพอดีคำถูกยัดเข้าปากอย่างไม่ทันตั้งตัว และเบ๊บเอาคืนเ้าของห้องด้วยการใช้ฟันขบปลายนิ้วเบา ๆ แต่กระนั้นก็ทำอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงได้ไม่ยาก
“อี๋ สกปรก”
“แลกน้ำลายกันก็ทำมาแล้ว แค่นี้ทำเป็รังเกียจ”
“แก่แดดว่ะเบ๊บ”
สุดท้ายมื้อเช้าของวันก็จบลงด้วยการปะทะริมฝีปากเหมือนกับที่ผ่านมา จะต่างกันก็คงเป็รอยยิ้มที่ประดับอยู่บนใบหน้าของคนทั้งคู่ที่ดูหวานล้ำกว่าปกติ
/
…บริษัทที่พายทำงานอยู่นั้นมีนโยบายให้พนักงานสามารถ WFH ได้อย่างไม่จำกัด เพียงแต่ต้องเข้าประชุมประจำเดือนทุกครั้งห้ามขาด ส่วนงานส่งเร็วได้แต่ห้ามเลตหรือพูดง่าย ๆ ก็คือ ‘จะนอนเกาไข่อยู่บ้านก็เื่ของมึง แต่กูต้องได้งาน’
“พี่หน้าเครียดจัง งานยากเหรอครับ”
“อืม นิดหน่อย”
“งั้นผมกลับห้องก่อนดีกว่า—”
“ไม่ต้อง อยู่นี่แหละ” พายสามารถนั่งทำงานในออฟฟิศที่มีเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจได้ แต่ถ้าให้เลือกเขาชอบทำงานคนเดียวมากกว่า ทว่านั่นมันเมื่อก่อนเพราะเดี๋ยวนี้การมีเด็กข้างห้องนั่งทำหน้าโง่ ๆ อยู่ในสายตามันช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าของพายได้เป็อย่างดี
“เป็อะไรครับ บ่นได้นะ ถึงผมจะให้คำปรึกษาไม่ได้ แต่รับฟังได้แน่นอนครับ”
“แค่ี้เีน่ะ”
“พักไหมครับ”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเคยตัว” เพราะกว่าจะฝึกตัวเองให้มีวินัยได้ขนาดนี้ก็ใช้เวลานานพอสมควร ฉะนั้นหากไม่ได้ป่วยใกล้ตายเหมือนกับยุ่น พระเอกเื่ฟรีแลนซ์ละก็อย่าหวังว่าเขาจะนอนพักเลย
“พักสายตาสักชั่วโมงไม่เป็อะไรหรอกครับ ดีกว่าฝืนทำแล้วคิดงานไม่ออกจะเครียดเอาเปล่า ๆ” อยากค้านฉิบหายแต่พอเห็นสายตาหงอย ๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็ห่วงเขากลับทำไม่ลง
นี่มันแพ้ภัยหมาเด็กชัด ๆ
:- (
“งั้นเหยียบหลังให้หน่อย”
“พี่พายหมายถึงนวดเหรอ?”
“ไม่ กูหมายถึงเหยียบ…เหยียบแบบใช้ตีนเหยียบ” ปวดขนาดนี้มือเอาไม่อยู่หรอกต้องใช้ฝ่าเท้าเท่านั้น ไม่รู้ว่าตีนมันหนักไหมแต่คาดคะเนจากขนาดตัวแล้วก็น่าจะหนักพอสมควร
“ได้ที่ไหนล่ะครับ อีกอย่างน่ะนะการนวดมันช่วยได้แค่ระยะสั้น ๆ ครับ สิ่งที่พี่ต้องทำคือปรับพฤติกรรมของตัวเอง การนั่งเนี่ยสำคัญมาก พี่ไม่ควรนั่งท่าเดิมติดต่อกันหลายชั่วโมงแล้วเท่าที่ผมสังเกตเนี่ย พี่ชอบนั่งท่าประหลาด ๆ เอาตัวไถลงไปกับเก้าอี้บ้างล่ะ เอาขาพาดโต๊ะบ้างล่ะ ถ้าไม่ปวดก็แปลกแล้วครับ ไหนจะ…บลา ๆ”
ความตั้งใจที่จะพักด้วยการนอนคว่ำหน้าให้คนเด็กกว่าใช้เท้าเหยียบถูกปาทิ้งแทบไม่ทัน เพราะบัดนี้พายดีดตัวนั่งหลังตรงฟังคนช่างจ้อที่ฉอดั้แ่พฤติกรรมการนั่งไปจนกระทั่งการกิน…
“เล่นเกมไหม”
“พี่พายอย่ามาเปลี่ยนเื่นะ”
“ครับผม งั้นเชิญบ่นต่อได้เลย”
“อย่ามาครับ”
“งง กูพูดเพราะก็ไม่ชอบอีก—”
“ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ แต่มันหล่อครับเอาเป็ว่าผมเลิกบ่นก็ได้ แต่เอาแก้มมาให้หอมก่อน” นั่น แล้วดูคำพูดคำจา ไม่แปลกใจเลยทำไมใคร ๆ ก็หลงมันเพราะขนาดพายยังหลงหัวปักหัวปำจนเอาตัวแทบไม่รอด
“อย่าเนียน”
“ฮ่า ๆ งั้นเย็นนี้ไปออกกำลังกายกันไหมครับ เล่นเบา ๆ ไม่เหนื่อยแน่นอนที่สำคัญหายปวดหลังด้วย”
“มันมีด้วยเหรอวะ ไอ้การออกกำลังกายแล้วไม่เหนื่อยเนี่ย” ขนาดเดินขึ้นบันไดสามชั้นเขายังหอบหนักยิ่งกว่าหมา
“มีครับ เชื่อผมสิ”
“เค เชื่อก็ได้”
/
เวลาห้าโมงเย็นเบต้าหนุ่มที่สวมกางเกงบอลและเสื้อกีฬาสมัยมหาวิทยาลัยยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเครื่องออกกำลังกายนานาชนิด ซึ่งแน่นอนว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่เขารู้จักนั่นคือลู่วิ่ง ส่วนอย่างอื่นเคยเห็นแค่ผ่าน ๆ ตาก็เท่านั้น
กูมาทำอะไรตรงนี้วะ—ใช่ นี่เป็ความรู้สึกที่พายกำลังเผชิญอยู่ ส่วนคนที่พามาเห็นมันเดินไปทักคนนู้นทีคนนี้ทีตามประสาคนของประชาชน ต่างจากอินโทรเวิร์ตเช่นเขาที่เลือกนั่งขัดสมาธิเล่นมือถือในมุมที่คิดว่าอับสายตาที่สุด
“พี่ไม่วอร์มรออะ”
“ต้องวอร์มด้วยเหรอวะ”
“วอร์มครับ ต้องเตรียมพร้อมร่างกายจะได้ไม่าเ็” คนที่ดูไม่คุ้นเคยกับสถานที่นักพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะส่งสมาร์ตโฟนเครื่องบางให้เด็กหนุ่มอย่างลืมตัวแล้วเริ่มวอร์มอัพด้วยท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ
“ผมเอามือถือพี่ใส่ไว้ในกระเป๋าอันนี้นะ”
“อือ โอเค” กระเป๋าที่ว่านั่นคือกระเป๋าคาดอกขนาดกลางที่ร่างสูงพกมันติดตัวอยู่เสมอ
หลังจากวอร์มร่างกายเป็ที่เรียบร้อย พายก็ถูกพามายังโซนโยคะก่อนจะถูกดันตัวให้มายืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่โดยด้านหลังมีร่างสูงใหญ่ของใครบางคนยืนประกบอยู่…
“มึงสูงจังวะ”
“พี่เตี้ยเองหรือเปล่า”
“เตี้ยบ้านมึงดิ อีกห้าเซ็นต์ก็ร้อยแปดสิบแล้ว มึงอะสูงเกินมนุษย์มนาต่างหาก”
“ฮ่า ๆ อยากสูงเหมือนผมปะ”
“อยาก” คนอายุน้อยกว่าทำหน้ากรุ้มกริ่มก่อนจะค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยบางอย่างเสียงแ่เบาประชิดริมหู
“ตีพ่อตีแม่ดิครับ”
โว้ยยย กูจะตีหน้ามึงแทนนี่แหละ
หลังจากเสร็จสิ้นเหตุการณ์ตุ้บตั้บ (?) ร่างสูงโปร่งของพายก็ถูกดันให้นอนคว่ำหน้าลงบนเสื่อโยคะ โดยมีเทรนเนอร์จำเป็คอยกำกับท่าทางด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“พี่ยกลำตัว่บนขึ้นครับ แล้วเอามือทั้งสองข้างยันกับพื้นเอาไว้”
“แบบนี้ อึก เหรอ”
“เอนตัวไปข้างหลังนิดนึง…ขอโทษนะครับ” ครู่หนึ่งพายรู้สึกงุนงงว่าอีกฝ่ายขอโทษเื่อะไร ก่อนสามวินาทีถัดมาจะแหกปากลั่นเมื่อฝ่ามือหนากดลงบน่หน้าอกให้เขางอตัวไปด้านหลัง
“เบ๊บ! เจ็บ ๆๆๆ”
“อดทนครับ ค้างไว้สักสิบห้าวิ”
“ไม่ไหว อึก หรอก แค่สามวิกูก็จะตายแล้วเนี่ย—”
“เพิ่มอีกห้าวิ”
“มึงบ้าปะใครมันจะ—”
“เพิ่มอีกสิบวิ”
“เออ ๆ ยอมแล้ว ๆ”
ร่างโปร่งเม้มริมฝีปากเข้าหากัน ก่อนจะเริ่มนับเลขในใจอย่างเชื่องช้าแต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าจะไวกว่าเด็กตรงหน้าอยู่ดี…แม่ง พายนับได้ห้ามันเพิ่งจะนับได้สอง
“อึก มึงโกงอะ!”
“ผมไม่ได้โกง อะ นับสามแล้ว”
“มึงเอานาฬิกามาจับเวลาให้มันจบ ๆ แม่ง ปวดตัวฉิบหาย” พายโวยวายอย่างไม่ยอมความ ต่างจากเทรนเนอร์จำเป็ที่เอาแต่กลั้นยิ้มจนหน้าแดงหูแดงไปหมด
“โอ๋ ผมไม่แกล้งแล้ว” สิ้นคำเขาก็ทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงกับเสื่อโยคะโดยไม่คำนึงถึงเชื้อโรคแต่อย่างใด แค่ท่าเดียวเขาก็จะไม่ไหวแล้ว นี่ถ้าต้องเล่นต่ออีกห้าท่า พายไม่ตายห่าคาฟิตเนสเลยหรือ
“กลับห้องเหอะ กูไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ได้ดิ ลุกเร็วครับ”
“…”
“พี่พายลุก” ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก—เบ๊บพ่นลมหายใจร้อน ๆ ออกมาทางปากด้วยความมันเขี้ยวก่อนจะตัดสินใจใช้มือข้างหนึ่งรวบเอวคนโตกว่าให้ยืนขึ้นด้วยท่าทีทุลักทุเล
ขอนอกเื่หน่อย เอวพี่พายแม่งโคตรบางเลย
“เนียนนักนะมึง ปล่อยเลย”
“มองผมในแง่ร้ายตลอด”
“ก็ดูทำตัว…ไหนจะให้กูทำท่าอะไรอีก—”
“ท่าหมาไหวไหมครับ”
ตุ้บ!
นั่นไง พูดขาดคำที่ไหนล่ะ :- (
กว่าจะผ่านพ้นชั่วโมงหฤโหดไปได้ ร่างกายของพายก็แทบแหลกเป็ผุยผง เขาเดินขาสั่นออกจากฟิตเนสเพราะมีบางท่าที่ต้องใช้ร่างกายทุกส่วน เผลอผ่อนคลายก็ไม่ได้เพราะเทรนเนอร์แม่งดุยิ่งกว่าหมา พายทิ้งตัวนอนไม่ถึงสองวิก็เตรียมอ้าปากบ่นแล้ว
ไม่เหนื่อยบ้านมึงดิ
“ทำหน้าเป็ปลาทูไปได้”
“อะไรของมึง”
“ก็หน้างอคอหัก”
“สัตว์ เดี๋ยวกูทุบแม่ง” ไม่ว่าเปล่าหมัดลุ่น ๆ ก็จัดการกระแทกลงบนไหล่แกร่งของหนุ่มรุ่นน้องอย่างแรงด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย แขนหักแล้วเนี่ย มาเป็แฟนผมเลย”
“เกี่ยวเหี้ยไรกัน”
“ก็พูดไปงั้น เผื่อฟลุก”
“ตีนกูนี่”
“ฮ่า ๆ ไปกินหมูทะกัน” ท่อนแขนหนัก ๆ พาดลงบนหัวไหล่ พร้อมกับใบหน้าทะเล้นที่โน้มลงมาใกล้ด้วยความเคยชิน ปกติพวกเราทั้งคู่แทบจะไม่โดนตัวกันเลย มากสุดก็แค่ไหล่ชนกัน ต่างจากตอนนี้ที่เดี๋ยวกอด เดี๋ยวจูบ มากสุดก็นัวเนียกันแค่ภายนอกให้หายอยากไปวัน ๆ …
“ชวนไปกินหมูกระทะหลังจากออกกำลังกายเนี่ยนะ?”
“ครับ หรือพี่จะกลับไปกินอกไก่ปั่น?”
“ไม่อะ ไม่มีทาง” พายส่ายหน้าหวือ เพราะครั้งหนึ่งเขาเคยขอเบ๊บชิมก่อนจะค้นพบสัจธรรมที่ว่า ‘ถ้าต้องกินของไม่อร่อยเพื่อมีชีวิตยืนยาว ข้าพเ้าขออายุสั้นเสียดีกว่า’
“งั้นไปกินหมูกระทะกัน”
“อือ”
เวลาหกโมงเย็นร้านหมูกระทะที่อยู่ติดกับหอพักมีเหล่านักศึกษาและพนักงานเงินเดือนนั่งออกันเต็มร้าน ซึ่งนั่นทำให้ชายหนุ่มสองคนที่เพิ่งเดินออกจากฟิตเนสมองหน้ากันอย่างเลิ่กลั่กเพราะไม่คิดว่าคนจะเยอะขนาดนี้
“เปลี่ยนร้านไหมครับ” เบ๊บเอ่ยถามคนข้างกายด้วยใบหน้าแหย ๆ
“ร้านนี้แหละ ตรงนู้นมีโต๊ะว่างอยู่” คนโตกว่าพยักพเยิดหน้าไปยังมุมอับของร้านและไม่รอให้คนที่มาด้วยร่วมตัดสินใจ ่ขายาวก็ก้าวไว ๆ ไปยังบริเวณนั้นด้วยความหิวโหย
“กี่ท่านคะ”
“สองครับ”
“กรุณารอสักครู่นะคะ” พายพยักหน้ายิ้ม ๆ ก่อนสายตาจะเหลือบมองใครอีกคนที่มีสีหน้าบูดบึ้งจนเขาอดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้วถามว่ามันเป็ห่าอะไรเพราะเมื่อครู่ยังดี ๆ อยู่เลย
“พี่ยิ้มให้เขาอะ ชอบมากเลยดิสวย ๆ แบบนั้น ปล่อยครับอย่ามาจับ!” ไหล่แกร่งเบี่ยงหนีพร้อมกับใบหน้าที่หันเชิดไปอีกฝั่งประหนึ่งนางเอกละครช่องมากสีก็ไม่ปาน
“กูไปจับมึงตอนไหนเอ่ย?”
“อย่ามาขัดจินตนาการได้ปะ”
“ขออภัยที่ให้รอนานนะคะ” ยังไม่ทันที่พระนายจะปรับความเข้าใจกัน บริกรสาวคนเดิมก็เดินมาพร้อมกับเตาอั้งโล่ขนาดเล็กและกระทะที่ถูกขัดถูทำความสะอาดอย่างดีซึ่งนั่นเป็เหตุผลที่ทำให้การแสดงของอัลฟ่าตัวโตต้องปิดฉากลง…
เ้าของสีผมเฉดทองอร่ามจัดการคีบเนื้อสัตว์ลงบนเตาย่างอย่างทะมัดทะแมง โดยที่มีสายตาของคนตรงหน้ามองการกระทำเ่าั้อย่างเพลินตา—ั้แ่รู้จักกันมา เด็กนี่เป็ฝ่ายดูแลพายตลอดจนเขากลัวว่าตนเองจะเคยตัวเพราะแทบไม่ได้หยิบจับอะไรเป็ชิ้นเป็อันเลย
“รู้ว่าหล่อครับ แต่อย่ามองเยอะผมเขิน”
โป๊ก!
ไข่ไก่เบอร์ศูนย์ถูกเคาะลงบนหน้าผากด้วยแรงที่ไม่มากนักแต่กระนั้นก็สามารถทำให้เปลือกไข่ที่บางอยู่แล้วเป็ทุนเดิมเกิดรอยร้าวได้อย่างง่ายดาย
“เจ็บครับ”
“เว่อร์”
“งอน :- (” นี่ก็งอนเก่งเหลือเกิน เก่งยิ่งกว่าขนตาอีกมั้ง
“อือฮึ แล้วแต่” แม้ปากจะว่าเช่นนั้นแต่การกระทำดันสวนทางกับคำพูดอย่างชัดเจน เพราะในจังหวะที่คนอายุน้อยกว่ากำลังแสดงสีหน้าบูดบึ้งอยู่นั้นมือขาวก็เอื้อมไปลูบบริเวณหน้าผากอย่างเบามือก่อนจะหลุดยิ้มเอ็นดูเมื่อสังเกตเห็นว่าเ้าตัวนั้นแก้มแดงหูแดงไปหมด
น่ารักว่ะ
“เขินไง้?”
“พี่พายไม่ต้องพูดเลย”
“ฮ่า ๆ โอเคคค”
เบ๊บกลบอาการใจสั่นของตัวเองด้วยการคีบเนื้อหมูที่สุกแล้วใส่จานให้คนที่เอาแต่ยิ้มกว้างด้วยความมันเขี้ยว ปกติพี่พายหน้างอยิ่งกว่าปลาทูอีกทั้งยังหงุดหงิดกับทุกสิ่งอย่างบนโลก ต่างจากตอนนี้ที่นั่งยิ้มตาหวานฉ่ำ พานทำให้หมามอม ๆ เช่นเขาตกหลุมรักอีกฝ่ายซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนขาแทบหัก
“ถ้ายังไม่หยุดยิ้ม พี่มาเป็แฟนผมเลยนะ” ท่าไม้ตายสุดท้ายถูกนำมาใช้เพราะทุกครั้งที่เนียนขออีกฝ่ายเป็แฟน พี่พายมักจะด่าไม่ก็พาเปลี่ยนเื่อยู่เสมอ ทว่า—
“เอาดิ เป็แฟนกัน”
เมื่อได้รับคำตอบที่ตนไม่คาดคิดกล้ามเนื้อก็เกิดอ่อนแรงเฉียบพลันและนั่นทำให้เหล็กคีบที่อยู่ในมือถึงกับร่วงหล่นลงพื้นจนเกิดเสียงดังเคร้ง! แต่เชื่อเถอะว่ามันไม่ดังเท่าเสียงหัวใจของเบ๊บหรอก
“พ…พี่ว่าไงนะ เป็แฟนกัน!? หรือเมื่อกี้ผมได้ยินผิด”
“เออ มึงได้ยินผิด”
“ไม่ ๆ ผมได้ยินถูกแล้ว แป๊บนะครับส่งข้อความหาแม่ก่อน” ครานี้เป็เบ๊บเองที่ยิ้มไม่หุบ จนแฟนหมาด ๆ อย่างพี่พายถึงกับใช้เท้าเตะหน้าแข้งกันอย่างแรงจนเขาหลุดร้องโอดโอยออกมาด้วยความเ็ป
“ข้อความอะไร”
“ก็…” เบ๊บไม่ตอบแต่เลือกที่จะยื่นหน้าจอมือถือให้อีกฝ่ายอ่านแทน
ที่รัก: ป้อครับ แม่ครับวันเน่านี่เปิ้นจะพาลูกจายไปไหว้เน้อ (พ่อครับ แม่ครับสงกรานต์นี้ผมจะพาลูกเขยไปไหว้นะ)
เบ๊บคิดว่าพี่พายน่าจะพอแปลออกถึงได้หน้าแดงก่ำเสียยิ่งกว่าลูกตำลึง จังหวะนี้อยากพุ่งเข้าไปหอมแก้มฉิบหาย แฟนใครวะน่าฮักขนาด!
“กวนตีนนักนะมึง”
“ไม่เอาครับ เป็แฟนกันแล้วไม่พูดคำหยาบ”
“ก็กูจะพูดแล้วมึงจะทำไมกู?”
“เคครับ เดี๋ยวรู้เลย”
ตอนแรกพายไม่เข้าใจคำว่า ‘เดี๋ยวรู้เลย’ ของไอ้เด็กตัวโตนี่เท่าไรนัก จนกระทั่งไม่กี่ชั่วโมงถัดมาห้องของเขาก็ถูกรุกรานโดยหมาเด็กก่อนริมฝีปากจะถูกจู่โจมซ้ำไป…ซ้ำมาในทุก ๆ ครั้งที่หลุดพูดจาหยาบคาย
เด็กเวร ฝากไว้ก่อนเถอะมึง
:- (
Tbc
คอมเมนต์ or #เบ๊บบ๊อกแบ๊ก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้