ภายในหลุมลึกขนาดใหญ่นั้น หมัดคู่ของหลินหยางนั้นคว้าจับทวนยาวของซูิชุนเอาไว้ไม่ยอมปล่อยสายตาของทั้งคู่นั้นราวกลับกำลังมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายในนั้น
“กับถุงมือแค่นั้น เ้าคิดว่าจะรับการโจมตีของทวนข้าได้อย่างนั้นรึเ้าหนูแหลกไปซะ!!”
ซูิชุนคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
หอกดุจัของเขาเป็อาวุธิญญาที่ได้รับพระราชทานมาจากองค์จักรพรรดิมันเคยแทงทะลุทรวงอกของศัตรูมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน อาวุธระดับนี้จะไปถูกหยุดโดยเด็กน้อยไร้ชื่อคนหนึ่งได้อย่างไร
ทวนดุจัก็ถูกหมุนควงสว่านอย่างรุนแรงเกล็ดัที่ประดับอยู่ตรงด้ามจับทำให้อากาศหมุนวนขึ้นรอบตัว ในชั่วพริบตาก็กลายเป็เกลียวสว่านที่เกิดจากสายลมหมุนวนอย่างน่ากลัวแทนคมทวน
“รับมือซะ กระบวนท่า ‘คลื่นั์’!!”
ทวนยาวที่กำลังหมุนอยู่นั้นพลันแปรเปลี่ยนไปเป็ัพิโรธตัวหนึ่งอีกทั้งยังรู้สึกเหมือนกับว่าได้ยินเสียงคำรามอันน่าเกรงขามของัด้วย
ซูิชุนเองก็สมกับที่เป็เทพาผู้ที่คอยปกป้องอาณาจักรชูอวิ๋นจากอริร้ายเพลงทวนกระบวนท่านี้นั้นได้ทะลุขอบเขตของเคล็ดวิชาทั่วไปไปแล้ว มันคือ “เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ระดับล่าง”ของแท้
วิทยายุทธ์ทุกกระบวนท่า เหนือกว่าเคล็ดวิชาทั่วไป คือเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์
แค่เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ระดับล่างสุดก็ทรงอานุภาพยิ่งกว่าเคล็ดวิชาทั่วๆไปขั้นสูงหลายเท่าตัว
เคล็ดวิชาพลังเทพอัคคีของหลินหยางถึงมันจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตามแต่เมื่อมาเผชิญหน้ากับกระบวนท่าคลื่นั์ที่เป็เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์แล้วมือทั้งสองข้างของเขาก็ถูกเกลียวคลื่นรูปสว่านของทวนยาวสะบัดออกทันที จากนั้นเขาก็เหมือนถูกพญาัหมุนควงตัวชนเข้าใส่อย่างเต็มแรงปลายทวนอันแหลมคมนั้นกระแทกเข้าใส่ทับทรวงของหลินหยางเข้าเต็มๆแรงกระแทกอันมหาศาลนั่นซัดหลินหยางจนกระเด็นขึ้นฟ้าทันที
โอ้โห!!
คนที่ยังดูอยู่ถึงกับอุทานด้วยความใ
ในที่สุดหลินหยางก็เสียท่าสักที
“ฆ่ามันซะ ท่านผู้บัญชาการซู!!!!”
สองฝั่งของเวทีที่พังเสียหายไปแล้วนั้นเหล่าคนของตระกูลโอวหยางแอบหนีออกไปแล้วแต่กลุ่มของเฉินเย่เซิงยังคงกัดฟันปักหลักอยู่บนเวที
พวกเขาเชื่อมั่นในตัวของซูิชุนอย่างสุดหัวใจ ส่วนเฉินเย่เซิงนั้นอยากจะเห็นหลินหยางถูกซูิชุนฆ่าตายด้วยตาตัวเองก่อนเขาถึงจะวางใจได้
เขาที่ยืนอยู่ข้างหวังิชงนั้น บัดนี้ไร้ซึ่งความกลัวใดๆ ทั้งสิ้นแถมยังะโสบถออกมาอย่างชั่วร้ายอีกด้วย
ฝั่งตรงข้ามกันนั้น
คนของตระกูลเวินต่างก็ส่งเสียงออกมาด้วยความเป็ห่วงเวินชิงชิงกับสวี่เหยาตอนนี้ถึงกับตาโต ะโออกมาด้วยความใว่า
“หลินอี้/ผู้าุโหลิน ระวัง!!”
แต่ปี้ฟังตัวน้อยที่อยู่บนไหล่ของชิงชิง หั่วเอ๋อร์นั้นพอเห็นหลินหยางถูกซัดจนปลิวไปแบบนั้นแล้วก็ส่งเสียงดังหึออกมาอีกครั้ง
“ในเวลาแบบนี้แล้วมันยังไม่เอาไอ้นั่นออกมาใช้อีกหรือว่าเ้าบ้านั้นจะเป็พวกชอบความเ็ป?”
ยังมีของเหลืออยู่อีกหรือ!!!!
เวินชิงชิงและสวี่เหยาพอได้ยินคำพูดนี้ไปก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง
ขนาดตอนที่สู้กับหนึ่งในจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรชูอวิ๋นอยู่นั้นหลินหยางกลับยังมีไพ่ตายแอบซ่อนเอาไว้อยู่อีกหรือ??
“หึหึ!!”
หั่วเอ๋อร์ไม่ได้เป็ห่วงหลินหยางเลยแม้แต่นิดเดียว “พวกเ้าคงไม่ได้คิดว่าเ้าหมอนั่นเสียเวลาตั้งครึ่งปีไปกับการสร้างแค่ถุงมือหนึ่งคู่กับทับทรวงหนึ่งชิ้นแค่นั้นใช่ไหม...จุ๊ๆๆแม่นางทั้งสอง พวกเ้าซื่อบื้อเกินไปแล้ว พวกเ้ารอดูเถอะ อีกไม่นานพวกเ้าก็คงจะได้เห็นสิ่งนั้นที่ใช้ไฟิญญาของข้าสร้างขึ้น- อาวุธ!! ิญญา!! ที่มัน!! แข็งแกร่ง!! ที่สุด!!”
เวินชิงชิงกับสวี่เหยากใจนนิ่งอึ้งไปแล้ว
ขนาดโล่หละวันชิ้นนั้นสำหรับหั่วเอ๋อร์แล้วยังไม่สามารถนับเป็ของที่แข็งแกร่งได้เลยแต่ตอนนี้มันกลับบอกว่าที่ตัวหลินหยางตอนนี้มีอาวุธิญญาที่แข็งแกร่งที่สุดซ่อนอยู่นี่หมอนั่นมันเตรียมพร้อมมามากแค่ไหนกันแน่!!!!
หลินหยางที่ตอนนี้ถูกคลื่นั์ซัดจนตัวลอยอยู่บนฟ้านั้นสีหน้าเริ่มแดง ที่มุมปากมีเืสดๆ ไหลออกมาแล้ว
เืลมที่ตอนนี้กำลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่างกายของเขานั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อยมันกลับยิ่งทำให้เขาเืร้อนจนพร้อมที่จะทุ่มสุดตัวในการต่อสู้ครั้งนี้
แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะเก็บไพ่ตายใบนั้นเอาไว้
ไม่ใช่ว่าเขาหยิ่งทระนงอะไร แต่เป็เพราะหลินหยางวันนี้ได้ต่อสู้จนติดลมไปแล้ว
ั้แ่เขาเกิดมานั้นยังไม่เคยผ่านประสบการณ์ต่อสู้ครั้งใหญ่มาก่อนเลยการต่อสู้ที่เทือกเขาเมฆมรกตนั่นก็เป็เพียงการใช้อุปกรณ์ที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วเข้าไปแลกชีวิตอย่างบ้าคลั่งเท่านั้นไม่ใช่การต่อสู้กันแบบจอมยุทธ์ที่วัดผลกันด้วยวรยุทธ์อย่างแท้จริง
วันนี้เขาอุตส่าห์มีโอกาสได้ต่อสู้กับคนระดับซูิชุนแล้ว
เขาที่มีพลังเทพอัคคีและวิชาร้อยชีพจรผนึกเทพคอยหนุนเสริมอยู่นั้นช่วยให้หลินหยางสามารถปะทะกับยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นสูงผู้นี้ได้อย่างสูสีแล้วแถมเขายังมีเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ด้านการรบของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วอยู่ด้วยซึ่งเขาได้ฝึกฝนมันมาหลายเดือนแล้วด้วย ในที่สุดเขาก็จะได้ทดสอบศักยภาพของมันแล้ว
จักรพรรดิฟ้าในกาลก่อนนั้น สามารถสยบทั้งเก้าภพเอาไว้ได้แม้แต่เหล่าตัวตนอันสูงส่งและทรงพลังยังต้องหวาดกลัวในตัวเขา ซึ่งการจะทำให้ได้ถึงระดับนี้นั้นนอกจากจะพึ่งวิชาพิสดารที่สามารถะเืฟ้าดินนั่นได้แล้วยังต้องพึ่งเืของนักรบที่สู้ไม่ถอยอย่างบ้าคลั่งที่มันไหลเวียนอยู่ในตัวเขาด้วย
หลินหยางที่ประกาศออกมาอย่างยิ่งใหญ่ว่าอีกหนึ่งหมื่นปีนับจากนี้ ตัวเขาจะต้องแข็งแกร่งเท่ากับจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วให้ได้ซึ่งเป็เจตจำนงที่ยิ่งใหญ่ และองอาจสุดแสนแต่อีกนัยหนึ่งมันก็หมายถึงเส้นทางแห่งการสยบทั้งเก้าภพอันยากลำบากและเต็มไปด้วยขวากหนามมากมายที่หลินหยางจำเป็ต้องฟันฝ่าไปให้ได้หากเลือกที่จะเดินทางนี้
หลินหยางที่ได้รับสืบทอดเจตจำนงของจักรพรรดิฟ้ามาแต่กลับไม่มีประสบการณ์การต่อสู้จริงอยู่เลย
หากเขาคิดจะเดินบนเส้นทางสู่จุดสูงสุดของสรรพสิ่งแล้วละก็เขาก็ยิ่งต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์การต่อสู้แลกชีวิตเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
ซึ่งการต่อสู้ในวันนี้คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะช่วยให้เขาเติบโตและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้ว่าเขาจะมีสุดยอดอาวุธิญญาที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในมือก็ตามแต่เมื่อมีโอกาสได้เผชิญหน้ากับศัตรูฝีมือร้ายกาจแบบนี้ ก็ขอสู้แบบลูกผู้ชายวัดกันด้วยฝีมือมันตรงๆ ซัดกันให้ตายไปข้างหนึ่งเลย!!
ถึงซูิชุนจะมีฝีมือฉกาจก็ตาม แต่ข้าหลินหยางจะใช้หมัดคู่นี้แหละชกหน้ามันจนกว่าจะล้มอยู่แทบเท้าเขาเลย!!
เอาละ มาลองเจอเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ของข้าบ้าง...
ฝ่ามืออัคคี์!!
สุดยอดเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ที่จักรพรรดิฟ้าหลีหั่วเคยใช้เมื่อสมัยหนุ่มๆได้กลับมาปรากฏขึ้นในภพมนุษย์อีกครั้งหนึ่งแล้ว
เปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้อยู่บนฝ่ามือของหลินหยางนั้นกำลังขยายใหญ่โตอย่างไร้ขีดจำกัด แม้แต่ปุยเมฆสีขาวบนท้องฟ้าอันห่างไกลยังแปรเปลี่ยนไปกลายเป็สีแดง
เปลวเพลิงอันร้อนแรงนั่นพลันอัดแน่นเข้ามาจนรวมกันเป็เปลวเพลิงรูปฝ่ามือขนาดมหึมาอยู่ข้างตัวเขาแสงไฟที่กำลังลุกโชนอยู่นั้นราวกับตัวแทนของเทพแห่งอัคคีที่ลงมาจุติบนภพมนุษย์ผู้คนรู้สึกเหมือนกับว่ามีพระอาทิตย์อีกลูกลอยอยู่บนฟ้าตามหลังเงาร่างอันน่าเกรงขามของหลินหยางที่กำลังมองต่ำลงมาจากเบื้องบน
“คุกเข่าลงซะ!!!!”
หลังจากเสียงคำรามอันเกรี้ยวกราดของหลินหยางจบลงฝ่ามืออัคคี์ก็ฟาดลงมาจากฟากฟ้า ในขณะที่มันกำลังฟาดลงมามันก็ยังคงขยายตัวใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โอ้์
เหล่าชาวเมืองอวิ๋นเฉิงที่กำลังหนีออกไปอยู่นั้นมีจำนวนไม่น้อยเลยที่ใจนหยุดเดิน เหล่าทหารพิทักษ์เมืองเองก็เผยสีหน้าอึ้งทึ้งออกมาอย่างไม่ปิดบัง
แม้แต่ตู้ิ เวินติ่งเทียน และพวกยอดฝีมือทั้งหลาย พอเห็นฝ่ามือเปลวเพลิงขนาดใหญ่ของหลินหยางที่ฟาดลงมาจากบนฟ้านั่นแล้วก็ถึงกับอึ้งจนตาเบิกโต
“นั่น... เป็ไปไม่ได้!! การควบคุมพลังฟ้าดินจนสามารถเปลี่ยนให้กลายเป็รูปร่างชัดเจนแบบนั้นมันเป็เทคนิคที่มีแต่ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงขึ้นไปเท่านั้นถึงจะทำได้... แถมหลินอี้ผู้นี้ยังมีพลังพิศดารอีกห้าชนิดแฝงอยู่ด้วย...ตกลงแล้วเขามีความสามารถระดับไหนกันแน่?”
ตู้ิที่เป็เทพาผู้พิทักษ์เมืองเช่นเดียวกับซูิชุนนั้นขนาดเขาที่เป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายแล้วยังสามารถทำได้แค่ใช้พลังฟ้าดินเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกายเพื่อใช้การโจมตีแบบกายภาพเท่านั้น
มีเพียงยอดฝีมือที่สามารถเข้าสูขอบเขตความสามารถระดับอวิ้นหลิงเท่านั้นถึงจะสามารถแปรเปลี่ยนพลังให้กลายเป็รูปร่างขึ้นเพื่อใช้สังหารอริศัตรูได้หรือว่าชายผู้นี้จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตระดับนั้นได้แล้ว?
ตู้ิคิดมากเกินไป
ที่หลินหยางสามารถทำได้ระดับนี้ สาเหตุหลักๆ นั้นมาจากวิชาร่างสถิตภูตอัคคีและพลังฟ้าดินธาตุไฟของเขาเมื่อผสมเข้ากับฝ่ามืออัคคี์แล้วจึงได้ออกมาเป็ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยมแบบนี้ทำให้พลังฟ้าดินธาตุไฟของเขาสามารถกลั่นออกมาเป็รูปเป็ร่างแบบนี้ได้ถึงแม้ระดับพลังจะยังห่างไกลจากระดับอวิ้นหลิงอีกมากก็ตามแต่แค่นี้ก็แข็งแกร่งพอที่จะทำให้ะเืฟ้าะเืดินได้แล้ว
ซูิชุนเองก็ใเหมือนกันเมื่อได้เห็นท่านี้ แต่ตัวเขาในตอนนี้เองก็กำลังเืร้อนได้ที่เช่นกันจึงเลือกที่จะสู้มากกว่าถอยหนี
“ท่าสวยดีนี่!!”
เขาพลันยกทวนขึ้นหมุนควงเป็วงกลมคล้ายกับดอกไม้เบ่งบานไปสามรอบดุจัที่กำลังหลบซ่อนอยู่ในถ้ำลึก ส่วนคมของปลายทวนดูแข็งแกร่งขึ้นหนึ่งส่วนพอควงครบสามครั้ง เขาก็ดีดตัวพุ่งขึ้นฟ้าดุจัทะยานขึ้นสู่สรวง์
“ัทะยานฟ้า!!”
ซูิชุนกระทืบพื้นจนแตกกระจาย คนและทวนรวมเป็หนึ่งราวกับว่ามีเทพัมาสถิตร่าง พุ่งตรงเข้าใส่ฝ่ามือเปลวเพลิงขนาดั์ของหลินหยาง
ฮูมม!!
ทั้งสองเผชิญหน้ากันอีกครั้งกลางอากาศ
ราวกับว่าท้องฟ้าเปลี่ยนสี แผ่นดินสั่นะเืคลื่นพลังอันน่าหวั่นเกรงพลันสาดซัดกระจายไปทั่วทั้งสนามเมฆาร่วงโรยแห่งนี้
แย่แล้ว หนีเร็ว!!
เหล่าคนที่หยุดดูเมื่อครู่นั้นเริ่มเห็นท่าไม่ดีขึ้นอีกครั้ง จึงพากันแตกฮือวิ่งหนีอย่างจ้าละหวั่น
ทั้งสนามตอนนี้ได้กลายเป็สนามรบอันดุเดือดและบ้าคลั่งระหว่างหลินหยางและซูิชุนไปแล้ว
ัสีน้ำเงินที่กำลังคำรามอย่างดุดันตนหนึ่งฝ่ามืออัคคีขนาดใหญ่ที่ดูทรงพลังราวกับสามารถสยบัได้หนึ่งข้าง
หลินหยางและซูิชุนเริ่มประมือกันกลางอากาศ เพียงพริบตาเดียวการะปะทะกันระหว่างหมัดและทวนก็ผ่านไปแล้วกว่าร้อยกระบวนท่า จากบนฟ้าร่วงลงสู่พื้นจากบนพื้นทะยานขึ้นฟ้า จิตต่อสู้ รังสีฆ่าฟัน กระจายออกมาอย่างหวั่นเกรงเหล่าคนที่ยังเหลืออยู่ต่างก็ต้องรู้สึกพรั่นพรึง
ซูิชุนนั้นมีฝีมือสมคำร่ำลือ
แต่ที่น่าแปลกใจคือพลังการต่อสู้อันน่าสะพรึงกลัวสุดแข็งแกร่งของหลินหยาง
กว่าซูิชุนจะมีชื่อเสียงนั้นก็ปาไปตั้งอายุเท่าไรแล้วแต่เด็กหนุ่มอย่างหลินหยางที่มีอายุแค่สิบกว่าปีกลับสามารถต่อสู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสูสีขนาดนี้
นอกจากคำว่าอสูรเด็กแล้ว ก็ไม่มีคำไหนที่สามารถใช้อธิบายความแข็งแกร่งของหลินหยางในวันนี้ได้อีกแล้ว
และในขณะที่ทั้งสองคนกำลังปะทะกันอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้นเฉินเย่เซิงก็หนีออกจากข้างกายหวังิชงไปั้แ่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เขาเตรียมตัวที่จะถอยอออกจากที่นี่แล้ว
เฉินเย่เซิงเสียขวัญไปแล้ว
เขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว
ขนาดยอดยุทธ์ระดับเทพาอย่างซูิชุนยังต่อสู้กับหลินหยางได้แค่สูสีเท่านั้นเองถ้าหากว่าหลินหยางเกิดชนะขึ้นมาจริงๆ ละก็เขาคงจะไม่มีทางรอดชีวิตไปถึงวันพรุ่งนี้แน่
ส่วนซ่างกวันเฟยที่อยู่ท่ามกลางคนของตระกูลเฉินนั้นอยากจะหนีไปตั้งนานแล้ว
ครั้งนี้เขาซวยหนักแน่ๆ
ตัวไม่เพียงแต่จะแพ้ในการประลองยุทธภัณฑ์เพียงอย่างเดียวแต่ยังพาสี่ผู้คุมกฎที่พ่อของเขาส่งมาคุ้มกันไปตายด้วยอีกครั้งนี้เขาต้องโดนลงโทษสถานหนักแน่ๆ แต่เขามั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าถึงหลินหยางตอนนี้จะกำลังฆ่าคนอย่างสนุกมือก็ตาม แต่มันได้ก่อหายนะที่อาจจะทำให้ตระกูลเวินต้องจบสิ้นขึ้นมาแล้ว
ถ้าพ่อของเขาพิโรธขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าว่าแต่ตระกูลใหญ่แค่ตระกูลเดียวของอาณาจักรนี้เลยต่อให้เป็จักรพรรดิของอาณาจักรชูอวิ๋นอย่างหลินเฮ่ายวนยังยากที่จะต้านทานได้
แต่ตอนนี้รีบหนีให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน!!
แต่ในตอนที่พวกตระกูลเฉินคิดจะหนีออกไปนั้นก็มีเงาดำหลายสายะโพรึบเข้ามาขวาง
“ไอ้หมาเฒ่าเฉินเย่เซิง คิดหนีหรือ!!”
เวินติ่งเทียนพาผู้าุโสองคน อี้สิงอวิ๋น เวินเทาและยอดฝีมือตระกูลเวินอีกสิบกว่าคนมาหยุดเฉินเย่เซิงไม่ให้หนีออกไป
“เ้าเลิกหวังที่จะรอดชีวิตไปจากที่นี่ได้เลย”
เวินติ่งเทียนะเิพลังฟ้าดินออกมาอย่างรุนแรงในชั่วพริบตาเขาไม่มีทางปล่อยให้เฉินเย่เซิงลอยนวลอีกต่อไป
“น่าหัวเราะ อย่างเ้าหรือคิดจะหยุดข้า?”
เฉินเย่เซิงเมื่ออยู่ต่อหน้าเวินติ่งเทียนก็เริ่มทำตัวอวดดีอีกครั้ง
ตัวเขาเองก็เป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนเช่นกัน แถมยังมีสี่ที่ปรึกษาภายนอกที่มีความสามารถระดับเซียนเทียนเช่นกันที่ยังไม่ได้ลงมือกำลังรบเหนือกว่าเห็นๆ
ขอแค่ไม่ใช่ไอ้เทพแห่งความตายอย่างหลินอี้นั่นละก็แค่คนของตระกูลเวินเขายังมั่นใจว่าสามารถกำจัดได้อยู่
เวินติ่งเทียนรู้ว่าครั้งนี้อาจจะเป็โอกาสสุดท้ายในการฆ่าเฉินเย่เซิงแล้วหลินหยางตอนนี้ยังพัวพันอยู่กับศึกใหญ่ ดังนั้นต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ต้องหยุดไม่ให้ไอ้ชาติชั่วสมควรตายที่รังแกตระกูลเวินมานานนับครึ่งปีนี่หนีไปได้
“พวกเรา ฝ่าออกไปให้ได้!!”
เฉินเย่เซิงสะบัดมือสั่งการ จากนั้นมันก็พาซ่างกวันเฟยและที่ปรึกษาอีกสี่คนรวมเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนอีกหกคนบุกฝ่าออกไปทันทีซึ่งฝั่งตรงข้ามนั้นต่อให้นับรวมยี่สิงอวิ๋นด้วยก็มีแค่สี่คนเท่านั้นไม่มีทางต้านพวกเขาไว้ได้แน่
แต่สิ่งที่น่าเป็ห่วงยิ่งกว่าพวกตระกูลเฉิน ก็คือหวังิชงที่สะบัดมือสั่งให้เหล่าทหารองครักษ์ของเชื้อพระวงศ์นับร้อยคนบุกเข้ามาหาพวกเขาด้วยเพื่อช่วยเฉินเย่เซิงบุกฝ่าออกไป
เวรเอ๊ย!!
“ต้องสกัดไว้จนกว่าหลินอี้จะชนะ!!!!”
เหล่าคนของตระกูลเวินต่างก็คำรามกันอย่างกู่ก้องด้วยความเกรี้ยวกราดแล้วจึงพุ่งเข้าใส่เฉินเย่เซิงทันทีการต่อสู้อันวุ่นวายก็ได้เริ่มขึ้น
และในตอนนั้นเองเวินชิงชิงก็พาสวี่เหยาบุกเข้าไปพร้อมกับเ้านกสีแดงตัวน้อยที่อยู่บนบ่านางด้วย
เ้านกสีแดงที่อยู่ท่ามกลางความสับสนอลหม่านนั้นก็ได้หาวนอนออกมาด้วยสีหน้าหงุดหงิดเต็มที
“ชอบทำให้วุ่นวายกันจังเลยนะ...แทนที่จะยืนดูเื่สนุกๆ ไปเฉยๆ ก็ดีแล้วแท้ๆ กลับมาบีบให้ข้าต้องลงมือเองอีกถ้าไอ้แก่แซ่เวินนั่นเป็อะไรไปละก็ ข้าคงอดกินเนื้อไปหลายวันแหงๆ น่ารำคาญ!!”
ฟุ่บ!!
เปลวเพลิงอันน่าหวาดกลัวสายหนึ่งได้พุ่งเข้าไปในสนามรบด้วยแล้ว