ดินแดนกว้างใหญ่แต่ไร้ซึ่งที่ยืน
สถานการณ์ตอนนี้ของหลัวเลี่ยคือแคว้นและอาณาจักรใหญ่ทั้งหลายต่างไม่ต้อนรับเขา
หลัวเลี่ยมองไปรอบๆ กาย เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างพึงพอใจและเยาะเย้ยเขา หลัวเลี่ยก็ไม่เสียใจเลยสักนิด เขาไม่ได้ใส่ใจเื่นี้อยู่แล้ว เขาแค่รู้สึกว่าผู้คนบนโลกนี้ช่างเืเย็นยิ่งนัก
ทุกคนต่างทำเื่มากมายได้เพื่อความอยู่รอด และเพื่อให้มีชีวิตรอดพวกเขาไม่สนว่าสิ่งที่พวกเขาทำจะทำร้ายคนอื่นมากแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม คนเราก็ควรจะมีบรรทัดฐาน
หลัวเลี่ยเริ่มมั่นใจในทิศทางชีวิตของตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
“ข้าแค่อยากเป็ตัวของตัวเอง”
“ข้าไม่ได้อยากมีตัวตนที่สูงส่ง แต่โลกนี้มันเยือกเย็นเกินไป ข้าแค่้าความอบอุ่นเท่านั้น”
หลัวเลี่ยหายใจออกมาเบาๆ แต่แล้วรอยยิ้มจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เมื่อเขาเห็นว่าท่ามกลางก้อนเมฆบนท้องฟ้าที่ห่างจากกลุ่มคนพวกนี้มีร่างของข่งไท่โต้วปรากฏอยู่ แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็หายไป
บางทีข่งไท่โต้วอาจจะอยากพูดบางอย่างในนามของข่งเซวียน ด้วยศักดิ์ศรีของข่งเซวียนที่้าบดขยี้อูอวิ๋นเซียนและอวี้ติงเจินเหริน แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรออกมา
คนที่มีความรู้เช่นข่งไท่โต้วอาจจะคิดว่าหลัวเลี่ยดื้อรั้นและมั่นใจในตัวเองมากเกินไป
แต่นี่ก็คือนิสัยของหลัวเลี่ย
“ช่างน่าอนาถยิ่งนัก เ้าคนไม่มีที่ยืน” ชางจื่อเฟิงองค์ชายแห่งอาณาจักรชางฉวยโอกาสพูดประชดประชันอย่างไร้ความปรานี
หลัวเลี่ยเอ่ยอย่างใจเย็น “ในสายตาของข้า เ้าก็เป็คนน่าสมเพชที่ไม่มีแม้แต่ความเป็ตัวของตัวเอง”
ชางจื่อเฟิงหัวเราะ และพูดว่า “ยังไม่รู้จักกลับใจอีกหรือ ข้าชอบนะ และจะดีที่สุดหากเ้าต่อสู้โดยไม่หนี”
“วางใจเถิด ข้าไม่ได้ไร้ยางอายเหมือนเ้า” หลัวเลี่ยเงยหน้าขึ้นมองสมบัติรูปั สายตาของเขาราวกับจ้องไปที่ไก้อู๋ซวง “ข้าจะฆ่านางอย่างแน่นอน”
ทันทีที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา เสียงวุ่นวายรอบตัวเขาก็หยุดลง
พวกเขาไม่คาดคิดว่าจนถึงตอนนี้หลัวเลี่ยก็ยังคงเชื่อว่าตัวเองจะฆ่าไก้อู๋ซวงได้
“หลัวเลี่ยเป็คนแบบไหนกันแน่?”
“ข้าดูไม่ออกเลย เขาช่างเป็คนที่ยากจะเข้าใจจริงๆ คนเช่นเขาก็มีอยู่บนดินแดนนี้ด้วยหรือ”
“ในความคิดของข้า คนคนนี้โหดร้ายเกินกว่าจะรับการปฏิบัติเหมือนคนทั่วไป”
“ถูกต้อง ที่ราชินีหลิวหงเหยียนแห่งแคว้นเป่ยสุ่ยแต่งตั้งเขาเป็อ๋องเซี่ยก็คงเป็เพราะเขาโหดร้ายจนจิตใจผิดปกติไปแล้ว”
หลัวเลี่ยส่ายหัว เขาไม่อยากได้ยินคำพูดที่แสดงถึงจิตใจอันด้านชาเช่นนี้อีก
คนในยุคนี้จะมีจิตใจที่เ็าเกินไปแล้ว
หลัวเลี่ยไม่อยากฟังอีกต่อไป และเขาก็ไม่อยากถูกคนอื่นชี้นิ้วด่าอีกแล้ว
แต่คนบางคนกลับไม่้าให้เขาจากไปเช่นนี้
“รสชาติแห่งความขมขื่นเป็อย่างไรบ้าง”
เกาอวิ๋นเหลิงปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง จิตใจของเขายังไม่รู้สึกดีขึ้นหลังจากที่เคยถูกหลัวเลี่ยทำให้ขายหน้าก่อนหน้านี้
“ก็ไม่เลวนี่” หลัวเลี่ยรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่เขาก็ปรับอารมณ์ให้กลับมาคงที่ได้อย่างรวดเร็ว
น้ำเสียงของพวกเขาเรียบนิ่งมาก ประกอบกับตำแหน่งที่พวกเขายืนอยู่ตอนนี้คือตำแหน่งกลางผู้คน ดังนั้นในสายตาของคนที่อยู่รอบๆ จึงคิดว่าพวกเขาคล้ายเพื่อนที่ดีต่อกันกำลังพูดคุยกันอยู่
“เสแสร้งว่าไม่เป็อะไรหรือ น่าสนใจดีนี่?” เกาอวิ๋นเหลิงไม่มีทางเชื่อว่าหลัวเลี่ยจะสงบจิตสงบใจได้
“ไม่น่าสนใจ” หลัวเลี่ยพูดเรียบๆ “ดังนั้นข้าจึงบอกว่ารสชาติไม่เลวเลย”
ทันใดนั้นเกาอวิ๋นเหลิงหันกลับมา เขามองไปยังหลัวเลี่ย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบว่า “เ้าเสแสร้งเก่งจริงๆ และข้าก็เกลียดท่าทางเสแสร้งของเ้าที่สุด ท่าทางเช่นนี้ของเ้าทำให้ข้ารู้สึกขยะแขยง ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งจากท่านบรรพชน ข้าคงสังหารเ้าไปแล้ว”
หลัวเลี่ยตอบว่า “เ้าทำไม่ได้หรอก”
เกาอวิ๋นเหลิงปลดปล่อยไอพลังที่แข็งแกร่งออกมา เขาอยากลงมือมาก และ้าเอาชนะหลัวเลี่ยด้วยตนเอง เขา้าทำให้หลัวเลี่ยเ็ปบ้างจากการดูถูกเขาถึงสองครั้ง แต่เขาก็ไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่งของท่านบรรพชน
หลัวเลี่ยทำเพียงมองไปที่เกาอวิ๋นเหลิงและแย้มรอยยิ้ม เขาไม่พูดอะไรมาก เพราะมันไม่จำเป็ต้องอธิบายอะไรอีก
ยิ่งหลัวเลี่ยแสดงท่าทีแบบนี้ เกาอวิ๋นเหลิงก็ยิ่งทนไม่ได้ และความเกลียดชังของเขาที่มีต่อหลัวเลี่ยก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“เ้าเกลียดข้ามากขึ้นเรื่อยๆ ใช่หรือไม่” หลัวเลี่ยพูดพร้อมแย้มรอยยิ้ม
“หึ!”
เกาอวิ๋นเหลิงงุนงง มาจนถึงตอนนี้แล้วหลัวเลี่ยยังย่ามใจได้อีกหรือ
“ที่จริงข้าก็ไม่ได้ใจกว้างขนาดนั้น เ้าดูคนพวกนี้สิ หากข้าทนไม่ได้จริงๆ ข้าก็แค่หาใครสักคนมาเป็คู่ต่อสู้เพื่อระบายอารมณ์ เพราะก่อนที่ไก้อู๋ซวงจะปรากฏกาย ข้าไม่สามารถออกแรงเต็มที่ได้ ข้าทำได้แค่เล่นสนุกเท่านั้น แต่ตอนนี้พอข้าเห็นว่าคนที่อวดดีเช่นเ้ากำลังโกรธจนแทบจะทนไม่ไหว ข้าก็มีความสุขยิ่งนัก” หลัวเลี่ยพูดไปยิ้มไป
เล่นสนุก?
เพื่อระบายอารมณ์และยั่วโมโหเขา?
เกาอวิ๋นเหลิงหันกลับมาช้าๆ ั์ตาทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยประกายของเจตนาฆ่าทำให้อุณหภูมิรอบตัวเขาลดลงอย่างรวดเร็ว
หลัวเลี่ยมองเขาอย่างใจเย็น
เมื่อพูดถึงเื่นี้ การที่หลัวเลี่ยพุ่งเป้ามายังเกาอวิ๋นเหลิงก็เพราะเกาอวิ๋นเหลิงหยิ่งยโสโอหังจนเกินไป
“ฟิ้ว!”
ในขณะที่พวกเขากำลังจ้องหน้ากันอยู่นั้น จู่ๆ ลูกธนูก็พุ่งออกมาจากฝูงชน
ลูกธนูดอกนี้ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน และยิ่งไปกว่านั้นมันพุ่งมาเร็วมากโดยไม่มีเสียงสัญญาณใดๆ นอกจากนี้ยังมีเสียงความวุ่นวายรอบๆ กายพวกเขาที่รบกวนโสตประสาทอีก นับว่าเป็แผนการที่สมบูรณ์แบบมาก
แม้แต่ชายที่แข็งแกร่งหลายคนก็ยังผงะกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้
แต่ทุกคนก็คิดอยู่ในใจว่าไก้อู๋ซวงจะเป็ผู้ที่สังหารหลัวเลี่ยด้วยตัวเองหลังจากนางเกิดอีกครั้ง ซึ่งเื่นี้อูอวิ๋นเซียนก็เห็นด้วย ดังนั้นตอนนี้จึงเป็่เวลาที่หลัวเลี่ยปลอดภัยที่สุด เพราะหากเกิดอะไรขึ้นกับหลัวเลี่ยก็เท่ากับว่าผู้ที่ทำิ่เกียรติอูอวิ๋นเซียน
และอูอวิ๋นเซียนก็เป็ผู้ที่มีพลังอยู่ในระดับบรรพชนเป็ลำดับต้นๆ เขามีอำนาจมาก ใครเล่าจะกล้าิ่เกียรติเขา
แต่ตอนนี้สถานการณ์กลับมีคนลงมืออย่างกะทันหันโดยที่ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเอาไว้ได้เพราะไม่มีใครเคยคิดว่าจะมีเื่แบบนี้เกิดขึ้น
ลูกธนูพุ่งเข้ามาถึงบริเวณตำแหน่งด้านหลังหูข้างซ้ายของหลัวเลี่ยในทันที ซึ่งบริเวณนี้ก็นับว่าเป็จุดบอดในการมองเห็นของหลัวเลี่ย
มันพุ่งมาเร็วเกินไป
นอกจากนี้ยังมีความแข็งแกร่งมากอีกด้วย
ไม่มีใครได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของมันเลย ซึ่งเื่นี้ก็ทำให้มันดูน่ากลัวจริงๆ
แม้เกาอวิ๋นเหลิ่งจะเผชิญหน้ากับหลัวเลี่ย ด้วยความโกรธแค้นหลัวเลี่ยเข้ากระดูกและเกลียดจนอยากจะฆ่าหลัวเลี่ยให้ตายคามือของตัวเองเพื่อชดเชยความอัปยศอดสูที่เขาเคยได้รับมา
แต่ตอนที่เกาอวิ๋นเหลิงเหลือบไปเห็นลูกธนูที่พุ่งเข้ามา เขาก็ยังคงยื่นมือไปคว้าและพยายามหยุดมัน
ส่วนทางด้านศิษย์ของสำนักอูอวิ๋นเซียนจะเชื่อฟังคำสั่งหรือไม่นั้น ก็ไม่มีใครสามารถให้คำตอบในเื่นี้ได้อย่างชัดเจน
แต่ในตอนที่เกาอวิ๋นเหลิงกำลังส่งมือจะไปคว้าลูกธนู ทันใดนั้นเขาก็พบว่าลูกธนูหยุดลงแล้ว
เพราะมีมือข้างหนึ่งคว้าจับลูกธนูไว้ได้อย่างแม่นยำ
เมื่อเกาอวิ๋นเหลิ่งมองตามลำแขนขึ้นไป เขาก็พบว่าแขนนี้เป็แขนของหลัวเลี่ย
ตอนนี้สีหน้าของเกาอวิ๋นเหลิ่งเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เมื่อเกาอวิ๋นเหลิ่งพิจารณาจากกรณีการจับลูกธนูที่ลอบโจมตี เขาก็ตระหนักได้ว่าหลัวเลี่ยแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิด และเหมาะจะเป็คู่ต่อสู้ด้วย
แม้ว่าไก้อู๋ซวงจะได้รับการยอมรับจากอูอวิ๋นเซียนเพราะความเก่งกาจของนาง แต่แท้จริงแล้วก็ยังไม่เคยมีใครเห็นนางแสดงความแข็งแกร่งของตัวเองออกมาจนเต็มแรง และยังไม่มีใครรู้ระดับพลังที่แท้จริงของนางอีกด้วย ดังนั้นทุกคนที่เคยเห็นพลังของหลัวเลี่ยแล้วต่างก็ไม่คิดว่าหลัวเลี่ยจะชนะและไม่เห็นความสำคัญของหลัวเลี่ยอีก
ในขณะเดียวกันเกาอวิ๋นเหลิงก็มองไปทางหลัวเลี่ยด้วยความชื่นชม
หลัวเลี่ยคว้าลูกธนูได้เพียงเพราะชำเลืองมองคนของกลุ่มเต่าสุพรรณแค่เล็กน้อยเท่านั้น แต่กลุ่มคนเ่าั้นอกจากจะไม่รู้สึกถึงลูกธนูแล้ว พวกเขายังไม่สามารถหยุดมันได้อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็เื่ที่แปลกมาก จึงทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าต้นเหตุของเื่นี้คือพวกเขาที่ตั้งใจทำ และบางทีพวกเขาอาจ้าสั่งสอนหลัวเลี่ยโดยที่ไม่ฆ่าทิ้งก่อน
“เป็ใครกัน ออกมา” หลัวเลี่ยกล่าว
“ข้า!”
ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินแหวกออกมาจากฝูงชน “ข้าคือโหยวเช่าหลงแห่งแคว้นเหยียนหลง เมื่อข้าได้เห็นว่าเ้ามีตาหามีแววไม่ ข้าก็รู้สึกว่าเ้าไม่คู่ควรกับคำว่าวีรบุรุษเลย เ้าไม่ต้องแสร้งทำตัวสูงส่งไปหน่อยเลย ข้าเห็นแล้วอยากจะอาเจียน”
หลัวเลี่ยส่งแรงไปยังมือข้างที่จับลูกธนูอยู่ จากนั้นลูกธนูในมือของเขาก็ถูกบดขยี้และโยนลงกับพื้นทันที “ข้าไม่เคยเป็วีรบุรุษ ข้าแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูกต้องเท่านั้น ขอให้เ้าจำไว้ว่าที่ข้าให้อภัยเ้าในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะนิสัยของเ้า และยิ่งไม่ใช่เพราะเห็นว่าเ้ากล้าลงมือ แต่เป็เพราะเ้าทำให้ข้าได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของคนมากมาย” เขาพูดพร้อมกับมองไปทางกลุ่มเต่าสุพรรณด้วยสายตาประชดประชัน
สีหน้าของคนในกลุ่มเต่าสุพรรณเปลี่ยนไปเล็กน้อย จริงๆ แล้วถ้าพวกเขา้าปกป้องหลัวเลี่ย ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเขา หากหลัวเลี่ยไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ พวกเขาก็คงมีวิธีอื่นที่จะทำให้หลัวเลี่ยไม่าเ็อยู่ดี
เมื่อโหยวเช่าหลงได้ยินเช่นนั้น เขาก็ะโว่า “ข้าได้ขอให้เ้าให้อภัยข้าหรือ? ตอนนี้เ้าก็เป็แค่คนน่าสงสารที่ถูกผู้คนหันหลังให้เท่านั้น”
ั์ตาของหลัวเลี่ยแปรเปลี่ยนเป็ประกายเย็นเหยียบขึ้น
โหยวเช่าหลงถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วะโว่า “ข้าพูดผิดหรือ เ้าถูกทุกคนหันหลังให้แล้วนี่”
“ไม่ คุณชายหลัวยังมีพวกเราอยู่”
“พวกเราสี่นายพลแห่งตระกูลโม่จะร่วมเป็ร่วมตายไปกับคุณชายหลัวเอง!”
ทันใดนั้นทั้งสี่คนก็เดินแหวกออกมาจากฝูงชน
“มันก็เป็แค่การรู้จักประมาณตนเท่านั้น” เหล่ยเจิ้นจื่อกล่าว “ที่ข้ามาที่นี่เพราะข้าติดค้างท่านอยู่ ข้าได้รับความรู้ในเื่หยินหยางจากสหายหลัวและไก้อู๋ซวง ดังนั้นวันนี้ข้าจึงอยากจะมาตอบแทนท่าน”