“ผิงอัน เ้าเป็อันใดไป?” เจินจูถามด้วยความวิตกกังวล ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปข้างกายเขา
“ท่านพี่ ไม่เป็อะไร ข้าแค่สะดุดล้ม” ผิงอันคลานลุกขึ้น ตบหัวเข่าที่กระแทกจนเจ็บเบาๆ แล้วยิ้มเขินอาย เขาหันไปมองดูเอ้อร์หนิวที่หาปากโพรงได้อย่างรวดเร็ว พอเป็เช่นนั้นก็เลยกังวลเล็กน้อย จึงไม่ได้สนใจหินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า
เจินจูถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอช่วยตบฝุ่นบนร่างกายของเขาเบาๆ และกำชับอย่างใส่ใจว่า “ผิงอัน ค่อยๆ หา อย่ารีบร้อน ที่นี่มีหินสะเปะสะปะมากมายนัก หากล้มกระแทกเืออกจะแย่เอา าเ็แล้วต่อไปท่านแม่ก็จะไม่ให้เ้าขึ้นเขาอีก”
“ทราบแล้ว ท่านพี่” เขาพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“ผิงอัน ไม่เป็อันใดใช่หรือไม่? ข้าจัดการด้านนั้นเรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวข้าไปหากับเ้าเอง” เอ้อร์หนิวอุดปากโพรงนั้นเสร็จก็วิ่งมา
“อื้อ ข้าไม่เป็ไร ไม่เจ็บ พวกเรารีบหากันต่อเถิด” ผิงอันดูสีท้องฟ้า รู้สึกกังวลเล็กน้อย หากกลับไปสายหลี่ซื่อจะกังวลเอา
ทั้งสามคนกระจายอยู่ในพื้นที่เล็กๆ นี้เพื่อค้นหาอย่างละเอียด เป็ไปตามที่คิด ผ่านไปไม่นานก็ได้ยินเสียงดีใจของผิงอัน หลังจากพบปากโพรงแล้ว พวกเขาทั้งสามก็รีบเร่งหากิ่งไม้และใบไม้แห้งมาก่อไฟ “พวกเ้าสองคนรมให้ควันเข้าปากโพรงที่อยู่ตรงนี้ ข้าจะไปรอกระต่ายที่ปากโพรงนั้น”
เจินจูเดินกลับมาที่ปากโพรงแรก เอาหญ้าสงบจิตที่ห่ออย่างดีในตะกร้าใส่ลงในปากโพรง แล้วยืนรอกระต่ายขึ้นมา เธอมองดูเด็กสองคนจากระยะไกลที่กำลังเป่าควันเข้าไปทางปากโพรงอย่างสนุกสนาน เจินจูอดเม้มปากยิ้มไม่ได้ เธอใช้การรมควันกระต่ายมาเป็ฉากหน้า พอจับกระต่ายได้มากหน่อยก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกสงสัยแล้ว แบบนี้แหละถึงจะเรียกว่าเป็วิธีจับกระต่ายวิธีหนึ่ง รวมกับความเย้ายวนของหญ้าจิติญญาเข้าไป เธอก็ยิ่งมีความมั่นใจ
ขั้นแรกเอาหญ้าในตะกร้าเทไว้ข้างๆ แล้วค่อยใช้ตะกร้าคลุมกระต่าย เจินจูเอาตะกร้าของผิงอันวางไว้ด้านหนึ่งของปากโพรง แล้วเธอก็กั้นอีกข้างหนึ่งไว้ ผ่านไปครู่หนึ่ง จึงได้ยินการเคลื่อนไหวข้างใน เธอรีบหยิบเอาหญ้าสงบจิตออกมาด้านนอก แล้วโบกมือไปทางเอ้อร์หนิวที่อยู่ไกลออกไป
ในชั่วพริบตา กระต่ายป่าสีขาวเทาตัวหนึ่งก็ะโออกมา กระโจนตัวไปที่หญ้าจิติญญาอย่างว่องไว เจินจูฉวยโอกาสในชั่วพริบตาที่มันกำลังค่อยๆ เคี้ยว คว้าหูกระต่ายขึ้นมาและจับเอาไว้แน่น เธอมีความสุขได้เพียงครู่หนึ่ง เงากระต่ายสีขาวเทาอีกตัวก็ะโออกมาจากปากโพรงเช่นกัน
"อ่า...มาเร็วๆ..." เธอส่งเสียงเรียกอย่างตื่นใ จับหูกระต่ายไว้ด้วยไหวพริบที่ว่องไว แต่ไม่คิดว่าจะมีกระต่ายน้อยตามมาอีกเป็พรวนหนึ่งอยู่ข้างหลัง พวกมันพากันะโออกมาดัง “ฟิ้ว ฟิ้ว”
เอ้อร์หนิวที่วิ่งเข้ามารีบตั้งตะกร้าขึ้นพร้ะโกนว่า “ในนี้...ในนี้...เอาพวกมันมาใส่ไว้ในนี้” ขณะพูดมือก็ไม่ได้ว่าง เขาไม่ได้อยู่นิ่งๆ คว้ากระต่ายน้อยทีละตัวจับใส่ลงในตะกร้า
“เอ้อร์หนิว ทำดีมาก!” เจินจูแปลกใจระคนดีใจ เวลาผ่านไปเพียงครู่เดียว เอ้อร์หนิวก็เอาลูกกระต่ายทั้งหมดใส่ลงไปในตะกร้าได้สำเร็จ เธอเองก็ยื่นมือเอากระต่ายที่ตัวโตที่สุดวางลงไปเช่นกัน
ผิงอันวิ่งเข้ามานับกระต่ายด้วยความดีใจ เขากล่าวนับถือและเลื่อมใส สองตาวาววับว่า “ว้าว...กระต่ายตัวใหญ่สองตัว ลูกกระต่ายน้อยหกตัว ท่านพี่ ท่านเก่งมากเลย วิธีนี้ดีจริงด้วย พวกเราสามารถใช้วิธีนี้จับกระต่ายได้เยอะแยะเลย”
แม้ว่าบนใบหน้าเจินจูจะมีรอยยิ้มเต็มเปี่ยม แต่เธอกลับส่ายหัวปฏิเสธให้กับความคิดของเขา แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “แม้ว่าวิธีนี้จะดี แต่ไม่สามารถใช้บ่อยๆ ได้ เพราะว่าหากปีนี้พวกเราจับกระต่ายเล็กใหญ่หนึ่งคอกไปจนหมด ปีหน้ากระต่ายบนเขาก็จะน้อยลง หากกระต่ายน้อยแล้ว อาหารของพวกหมาไน จิ้งจอก เสือ เสือดาว [1] ก็จะไม่มี ถึงตอนนั้นพวกมันอาจจะลงไปในหมู่บ้านสร้างความเสียหายให้แก่ชาวไร่ชาวนาได้ เข้าใจใช่หรือไม่?”
เห็นว่าทั้งสองฟังแล้วพยักหน้า เธอจึงกล่าวต่อว่า “แตู่เาของพวกเราแห่งนี้มีป่าลึก และหญ้าอุดมสมบูรณ์ กระต่ายผสมพันธุ์ได้เร็วมาก ดังนั้นจับกระต่ายสองสามคอกต่อหนึ่งยอดเขายังพอได้ นำกระต่ายเหล่านี้ไปใช้เพาะพันธุ์แล้วเลี้ยงให้ดี ปีหน้าก็ขายแลกเงินได้แล้ว”
“ทราบแล้ว ท่านพี่ ท่านกล่าวได้ถูกต้อง พวกเราโลภมากไม่ได้” ผิงอันคิดอย่างว่องไว เขาเข้าใจความหมายจากคำที่เจินจูกล่าวมา แต่คำพูดต่อมาของเขากลับต่อยอดไปอีกทางหนึ่ง “เขายอดนี้พวกเราจับไปแล้วหนึ่งคอก พรุ่งนี้พวกเราไปอีกยอดเขาแล้วจับอีกหนึ่งคอกได้หรือไม่?”
เอ้อร์หนิวที่ฟังอยู่ด้านข้างก็พยักหน้าเห็นด้วย
เจินจูเห็นความคาดหวังปรากฏในแววตาของเด็กทั้งสอง จึงพยักหน้าตอบรับ “ได้สิ พรุ่งนี้หากมีเวลาค่อยมาจับอีกคอก แต่... พวกเ้าต้องเก็บไว้เป็ความลับเล่า ห้ามบอกวิธีนี้ให้แก่ผู้อื่น ไม่เช่นนั้นทุกคนในหมู่บ้านจะพากันขึ้นไปบนูเาเพื่อรมควันกระต่ายกันจนไม่หวาดไม่ไหวแน่ เข้าใจใช่หรือไม่?”
“ทราบแล้ว…” สองคนตอบอย่างพร้อมเพรียง
“เช่นนั้นก็ดี พวกเราดับไฟกันก่อน อากาศแห้งแล้ง ต้องระวังไฟไหมู้เา” เดินไปยังข้างกองไฟ พบว่ามีเพียงควันจางๆ ที่ยังหลงเหลืออยู่ จึงขุดดินขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อกลบประกายไฟ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็ปลายฤดูใบไม้ร่วง ประกายไฟเล็กน้อยก็สามารถไหม้ทุ่งหญ้ากว้างได้ ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า
นำกองผักป่าที่เพิ่งเทออกมา แยกลงไปในตะกร้าอีกสองใบ เอ้อร์หนิวใช้หญ้ามาถูและผูกไปมาจนกลายเป็เชือกป่านสองเส้นสำหรับสะพายหลัง แล้วจึงกดอัดหญ้าให้แน่นก็ลุกขึ้นอย่างมั่นคง คนตัวเล็กทั้งสองจึงแบกตะกร้าที่มีหญ้าสูงมากกว่าพวกเขาขึ้นหลังแล้วเริ่มเดินกลับ ส่วนเจินจูแบกกระต่ายอย่างระมัดระวังตามมาด้านหลัง
ทั้งสามคนต่างตื่นเต้นและกระตือรือร้นจึงเพิ่มความเร็วฝีเท้าขึ้นโดยไม่รู้ตัว ความเร็วขากลับนั้นจึงเร็วมาก เลี้ยวอีกโค้งหนึ่งบ้านครอบครัวหูก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ทันทีที่ถึงบ้าน ผิงอันก็ดึงประตูเปิดและะโอย่างมีความสุขว่า “ท่านแม่ พวกข้ากลับมาแล้ว!”
เขาวางตะกร้าไผ่สานของตนเองลง แล้วหันกลับมาช่วยเจินจูเอาตะกร้าไผ่สานลงอย่างกระตือรือร้นต่อ หัวเราะคิกคักกับกระต่ายในตะกร้าครู่หนึ่ง
ตอนนี้เจินจูกลับเป็ทุกข์นัก ที่บ้านไม่ได้มีกรงกระต่ายเยอะเพียงนั้น อีกอย่างกระต่ายคนละคอกก็เหมือนจะตีกัน ดูท่าจะต้องแยกกระต่ายที่ตั้งท้องออกไปก่อน จำได้ว่าที่บ้านมีกรงไก่อันหนึ่ง เอากระต่ายที่ท้องเลี้ยงไว้ในกรงไก่ก่อน แล้วค่อยเอากระต่ายคอกที่จับมาใหม่ใส่ในกรงกระต่ายเก่า เมื่อคิดได้ดังนั้นก็สั่งให้ผิงอันและเอ้อร์หนิว เอากระต่ายไปจัดวางตามความคิดของตน
หลี่ซื่อถือผักกวางตุ้งหนึ่งกำในมือเดินมาจากสวนหลังบ้าน มองกระต่ายจำนวนมากฝูงหนึ่งด้วยความประหลาดใจ ผิงอันที่เดิมทีอยู่ด้านข้างกระต่ายจึงรีบวิ่งมาใกล้นาง บรรยายขั้นตอนการจับกระต่ายของทั้งสามคน ด้วยการขยับมือเท้าพร้อมเพรียงกันท่าทางตื่นเต้น พูดถึงวิธีจัดการอย่างยอดเยี่ยมเสร็จแล้วก็ะโโลดเต้น เจินจูมองแล้วรู้สึกขบขันไม่หยุด
หลี่ซื่อฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ปกติเจินจูเด็กคนนี้ไม่ค่อยเอ่ยปากออกเสียง ครานี้ไม่นึกเลยว่าจะออกความเห็นจับกระต่ายคอกหนึ่งเช่นนี้ได้อย่างชาญฉลาด จึงยิ้มกว้างและยกนิ้วหัวแม่มือตั้งขึ้นทันที
เจินจูหัวเราะ แล้วหันไปอีกทางกล่าวกับเอ้อร์หนิวว่า “เอ้อร์หนิว เ้ากลับบ้านก่อนเถิด สายขนาดนี้น้าเจิ้งน่าจะร้อนใจแล้ว กระต่ายนี้พวกเราจะเลี้ยงเอาไว้ก่อน รอให้ลูกกระต่ายโตขึ้นอีกหน่อยค่อยให้เ้ามาอุ้มไปเลี้ยง”
“ได้เลย พี่เจินจู ท่านพูดอย่างไรก็อย่างนั้นเถิด ข้ากลับก่อน พรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยมาหาพวกท่าน” เอ้อร์หนิวตอบรับแบบสบายๆ หลังคัดหญ้าในตะกร้าไผ่สานที่แยกกันเก็บมาให้กระต่ายกินเสร็จแล้วก็กลับบ้านตนเองไป
สองวันต่อมา เจินจูและผิงอันก็ใช้ชีวิตวุ่นวายอยู่กับงานไม่ค่อยเป็ระเบียบนั้น ทุกวันหลังจากตื่นนอนตอนเช้าแล้วทำงานจุกจิกในบ้านเสร็จ ก็จะมารวมตัวกับเอ้อร์หนิว จากนั้นก็ใช้วิธีการเดิมจับกระต่ายสองคอกอีกครั้ง กระต่ายตัวใหญ่เล็กที่จับมาได้นั้นมีตัวใหญ่สี่ตัว ตัวเล็กสิบเอ็ดตัว จู่ๆ ก็มีกระต่ายมากขึ้นเช่นนี้ เจินจูตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกไปพักหนึ่งเลย
ปัญหาหลักคือหูฉางกุ้ยไม่อยู่บ้าน ไม่มีคนทำกรงกระต่าย ในระยะแรกเอากระต่ายตัวใหญ่รวมอยู่ที่เดียวกัน ผลสุดท้ายผ่านไปได้ไม่นานก็ตีกันเป็กลุ่ม เจินจูมองอย่างตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ตกตะลึงได้พักหนึ่งจึงรีบนำพวกมันแยกกัน ต่อมาเธอครุ่นคิดอย่างหนักจึงคิดหาวิธีได้ อันดับแรกขยายมุมหนึ่งของหลังบ้านให้กว้างออกเล็กน้อย แล้วแบ่งพื้นที่กั้นแยกออกจากกันเป็สี่เขต โดยใช้กิ่งไม้ล้อมไว้ให้ดี ้าสุดใช้กิ่งไม้คลุมทับซ้อนกันให้หนาแน่นพอ กระต่ายจะได้ไม่ะโออกมาข้างนอกกะทันหัน
ตอนกลางวันก็เอากระต่ายแต่ล่ะคอกออกมาเลี้ยงแยกกันไว้ในพื้นที่โล่งกว้าง ตอนเย็นค่อยจับกลับเข้ากรงทั้งสี่ และเพื่อให้กระต่ายป่าที่เพิ่งจับมาใหม่เชื่องขึ้น เธอยังลองให้หญ้าสงบจิตให้กระต่ายกินอีกด้วย
เป็ไปดังคาด กระต่ายที่เลี้ยงด้วยหญ้าจิติญญาสงบลงไปไม่น้อย พวกมันมีความสุขในทันที สุดท้ายเธอจึงป้อนให้พวกมันทีละตัวไปหนึ่งรอบ
เนื่องจาก้ากรงอย่างเร่งด่วน เจินจูจำใจต้องลงสู่สนามปฏิบัติด้วยตนเอง เธอตอกตะปูกรงไม้สองอันอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก แม้กรงจะตอกตะปูได้อย่างบิดๆ เบี้ยวๆ แต่อย่างน้อยก็ยังสามารถใช้งานได้ ผิงอันมองดูกรงแล้วกลั้นหัวเราะอยู่นาน
ยุ่งอยู่กับงานเช่นนี้มาสองวัน ขึ้นเขาจับกระต่าย ตอกตะปูกรง ล้อมรั้ว นับว่าเป็งานที่ค่อนข้างหนัก แม้จะดื่มน้ำแร่จิติญญาทุกวัน เจินจูก็รู้สึกเหนื่อยเสียจนทนไม่ไหว สองคืนติดต่อกันแล้วที่รดน้ำไร่นาลวกๆ แล้วก็นอนหลับไป
รอถึงเช้าของวันที่สาม เจินจูตื่นมาหาวหวอด นอนเอกเขนกคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าสองสามวันนี้จะไม่ไปรมควันกระต่ายแล้ว กำลังแรงงานหลักไม่อยู่บ้าน จับกระต่ายกลับมาเยอะเช่นนั้นก็ไม่สามารถนำไปขายได้ทันที แล้วยังไม่มีกรงแยกเลี้ยงอีก ไหนจะต้องเก็บหญ้าธัญพืชของฤดูหนาวด้วย ช่างเป็เื่ที่แสนจะทุกข์ใจเหลือเกิน หรือว่าควรจะชะลอฝีเท้าก้าวให้ช้าลง ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าว แค่ศึกษาลักษณะนิสัยการใช้ชีวิตของกระต่ายให้ดี หาวิธีเพาะเลี้ยงที่สมเหตุสมผลก่อน ต่อไปยิ่งนานวันกระต่ายก็จะเยอะขึ้นตามธรรมชาติเอง
แม้ครอบครัวยากจนนี้จะ้าเงินมาปรับเปลี่ยนชีวิต แต่ “ยิ่งรีบก็ยิ่งช้า” เพื่อความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งด้วยวัตถุสิ่งของ แต่เื่นี้กลับทำให้ต้องยุ่งยากกับงานและสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจมากจนเกินไป ก็ไม่ใช่ชีวิตที่เธอ้า
เดิมทีนิสัยเธอเป็คนเชื่องช้า ในยุคสมัยใหม่ที่เร่งรีบ เธอเคยทำงานในบริษัทที่มีเงินเดือนสูงแห่งหนึ่งมาก่อน ทำงานล่วงเวลาและทำเกินหน้าที่ความรับผิดชอบ ภาวะงานที่มีความเครียดสูงทำให้จิตใจตึงเครียดและเหนื่อยล้าเป็อย่างมาก ประหนึ่งว่าทุกวัน บรรยากาศในการทำงานเร่งรัดให้ชีวิตของเธอต้อง “เร็วเข้า รีบหน่อย” อยู่ตลอดเวลา ไม่ถึงสองเดือนเธอก็ละทิ้งงานที่เงินเดือนสูงและหนักหน่วงนี้ไป ในยุคที่ผู้คนตายจากการทำงานหนักมากจนเกินไป และภาวะซึมเศร้าออกอาละวาดในที่ทำงาน เธอเลือกอีกวิถีชีวิตหนึ่งที่ราบเรียบสบายๆ แม้ว่าไม่ได้ร่ำรวยทางวัตถุ แต่มีชีวิตที่เรียบง่าย แข็งแรง และดำเนินไปอย่างช้าๆ ทำให้เธอใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจและสงบมากขึ้น
เมื่อคิดได้ดังนี้ สภาพจิตใจก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น นิ้วมือค่อยๆ ลูบไล้รอยย่นบนนิ้วหัวแม่มือ ในเมื่อ์ส่งเธอมายังยุคโบราณที่เรียบง่ายแห่งนี้ มายังครอบครัวที่ยากจนครอบครัวนี้ เธอก็จะใช้ชีวิตปล่อยไปตามธรรมชาติ [2] เธอจะเอาประสบการณ์เดิมทั้งหมดมาใช้ปรับเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมการใช้ชีวิตของครอบครัวนี้ ไม่จำเป็ต้องตั้งเป้าหมายให้ยิ่งใหญ่กว้างไกลอันใด เธอที่เป็คนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แม้นจะไม่ได้มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ แต่ก็ไม่ทะเยอทะยานอยากเอาชนะ เธออยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ร่างกายแข็งแรง และมีความสุขไปจนแก่เฒ่า แค่นี้ก็ทำให้เธอพอใจมากแล้ว
ชีวิตอย่าได้คิดเล็กคิดน้อยจนต้องสูญเสียมากเกินไป มองโลกในแง่ดีและเปิดใจกว้างบ้าง ชะลอจังหวะของชีวิต จะทำให้ขั้นตอนแต่ละก้าวเปลี่ยนไปอย่างประณีตบรรจง การใช้ชีวิตอีกชีวิตหนึ่งอย่างอิสระไม่ลุกลี้ลุกลนเอ้อระเหยสบายๆ ก็เป็ความเพลิดเพลินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเธอ
เจินจูยิ้มมุมปากโค้งขึ้น พลิกกายอย่างสบายใจ เห็นว่าหน้าต่างมีแสงสว่างส่องทะลุเข้ามารางๆ ประมาณเวลาคร่าวๆ แล้วน่าจะยังเช้าอยู่ จึงคิดที่จะค่อยๆ เคลื่อนไหวเข้าไปในมิติช่องว่าง
เชิงอรรถ
[1] หมาไน จิ้งจอก เสือ เสือดาว เป็สำนวน หมายถึงสัตว์ร้ายทุกชนิดที่ทำร้ายคน (เช่น เสือ สิงโต เสือดาว) และปศุสัตว์
[2] สำนวนนี้ใช้เพื่ออธิบายสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ หมายถึงการอนุญาตให้บางอย่างเกิดขึ้น