การได้พบกับหลิวชิงเวยในครั้งนี้ ถือเป็โชคดีที่เหนือความคาดหมาย หมี่หลันเยว่รู้สึกยินดีที่ตัวเองได้ช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนเ่าั้สมควรได้รับการช่วยเหลือ เพราะด้วยคำรับรองของหลิวชิงเวย หมี่หลันเยว่จึงเชื่อมั่นในคุณธรรมของคนเหล่านี้มากทีเดียว แม้หลิวชิงเวยจะอายุยังน้อย แต่เขาก็เป็ตำรวจสายตรวจมาหลายปีแล้ว
นับั้แ่หมี่หลันเยว่รู้จักเขาจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไปสี่ปีครึ่งแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ทัศนคติในการทำงานของเขายังจริงจังและแน่วแน่อีกด้วย คนแบบนี้ เวลาสี่ปีครึ่งก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้จักทุกคนในละแวกนี้อย่างละเอียด เด็กพวกนี้แทบจะเรียกได้ว่าเขาเฝ้าดูพวกเขาเติบโตมาแต่เล็กแต่น้อย เื่ราวเบื้องลึกเื้ัจึงไม่ต้องพูดถึง
"หลันเยว่ นี่เธอให้ตำรวจหลิวช่วยแนะนำลูกจ้างให้จริงๆ เหรอ?"
ตอนเย็นเมื่อกลับถึงบ้าน หมี่หลันเยว่บอกความตั้งใจของเธอให้พี่ชายฟัง หมี่หลันหยางค่อนข้างแปลกใจกับการตัดสินใจของน้องสาว เพราะตำแหน่งคนดูแลคลังสินค้านั้นสำคัญมาก คุณภาพของคนจึงสำคัญอย่างยิ่ง
แต่หมี่หลันหยางก็รู้ดีว่าการตัดสินใจของน้องสาวไม่ใช่เื่ง่ายๆ หลายเื่ที่ดูเหมือนเธอจะตัดสินใจอย่างไม่ใส่ใจ แต่จริงๆ แล้วผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบมาแล้ว ครั้งนี้การตัดสินใจของน้องสาวค่อนข้างกะทันหัน หมี่หลันหยางจึงอยากรู้ความคิดที่แท้จริงของน้องสาว
"พี่คะ พี่หลิวบอกว่า พวกเขาเป็เด็กที่ไม่มีเงิน เรียนไม่จบ ต้องทนเรียนจนจบแค่ชั้นมัธยมต้น ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนต่ออีกแล้ว ถ้าปล่อยให้พวกเขาเดินเตร็ดเตร่ไปวันๆ ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็ยังไง?"
หมี่หลันเยว่รู้สึกหดหู่เล็กน้อย ระหว่างทางกลับบ้าน เธอคิดอะไรมากมาย ในเมื่อสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือได้ เธอก็ยินดีที่จะประคองพวกเขาไปสักระยะ แม้สุดท้ายจะพาพวกเขาขึ้นสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้วถูกพวกเขาทอดทิ้งก็ตาม แต่สิ่งนี้ก็ถือเป็การทำบุญที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้
แต่หมี่หลันเยว่รู้ว่าเธอจะไม่เสียใจ ตราบใดที่พวกเขามีอนาคตที่ดี ไม่เดินเข้าสู่เส้นทางที่ผิด เธอก็จะไม่เสียแรงเปล่า และในบรรดาคนเหล่านี้ ตราบใดที่สามารถเก็บใครไว้ได้สักคน คนคนนั้นก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ซื่อสัตย์และจงรักภักดี หมี่หลันเยว่จะไม่ปล่อยให้คนแบบนั้นต้องเสียใจแน่นอน
"พี่คะ ฉันอยากช่วยเหลือพวกเขา ก่อนอื่นให้พวกเขามาทำงาน แล้วดูนิสัยใจคอ ถ้าเป็ไปได้ ฉันจะพยายามอำนวยความสะดวกในการทำงานให้พวกเขา ให้พวกเขาสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้ ถ้าพวกเขา้า ฉันอาจจะให้ทุนพวกเขาไปเรียนภาคค่ำด้วยก็ได้"
แม้ช่วยไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ขอช่วยสักคนก็ยังดี อย่างไรเธอไม่ใช่แม่ชีที่จะสละทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แต่บนพื้นฐานของการเสริมสร้างความมั่นคงให้กับกิจการของตัวเองแล้ว เธอก็้าที่จะช่วยเหลือผู้อื่นอยู่ดี การช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ อาจนำมาซึ่งอะไรบางอย่างที่ดีในอนาคตได้
"หลันเยว่ พี่สนับสนุนทุกอย่างที่เธออยากทำ แต่พี่ก็หวังว่าเธอจะคิดให้รอบคอบ เหมือนเื่ครั้งนี้ แม้เธออยากจะช่วย ก็ต้องคิดถึงสถานการณ์ของโรงงานและร้านค้าของเราก่อน ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้พาคนมาเป็กองทัพ แล้วเธอรับไว้หมด เราจะจัดแจงยังไง จะให้เลี้ยงดูเฉยๆ อย่างนั้นเหรอ"
หมี่หลันหยางกลัวว่าน้องสาวจะใจดีเกินไป แล้วเกิดความเมตตาขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ยังไงซะ ตอนนี้พวกเขากำลังทำธุรกิจ ไม่ใช่สถานสงเคราะห์ ไม่สามารถเพิ่มภาระให้กับธุรกิจเพียงเพราะความใจอ่อนของตัวเองได้ หมี่หลันหยางยัง้าที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ทีละก้าวใน่เริ่มต้นธุรกิจนี้
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าความคิดของน้องสาวนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน จุดเริ่มต้นของธุรกิจที่ซวงเฉิงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาน้องสาวในอนาคต ถ้าก้าวออกไป โลกภายนอกเป็สิ่งที่เราไม่คุ้นเคย ดังนั้นจึงจำเป็ต้องมีฐานที่มั่นคงอยู่เื้ั ดังนั้นเขาจึงไม่อยากเห็นธุรกิจที่ซวงเฉิงได้รับผลกระทบหรือความเสียหายที่ไม่จำเป็
"ไม่หรอกค่ะพี่ พี่ไม่เชื่อใจฉันเหรอ ฉันมีแผนอยู่แล้ว เดิมทีฉันตั้งใจจะรับแค่คนเดียว ให้พี่เผิงเฟยพาคนออกมาแบบนี้พี่เผิงเฟยก็จะสบายขึ้น แต่คำพูดของพี่หลิวในวันนี้ ทำให้ฉันมีความคิดมากขึ้น"
หมี่หลันเยว่ตัดสินใจที่จะคุยกับพี่ชายอย่างละเอียดเกี่ยวกับภาพรวมที่เธอวาดไว้ในใจ เพื่อให้พี่ชายคลายความกังวลใจในการตัดสินใจของเธอ และยังสามารถช่วยดูแลเธอได้อีกด้วย ยังไงซะ การตัดสินใจของเธอไม่อาจถูกต้องได้เสมอไป ถ้ามีการตัดสินใจใดที่ไม่ถูกต้อง ก็ให้พี่ชายช่วยชี้นำทิศทางให้เธอด้วย
"พี่คะ ฉันคิดแบบนี้ค่ะ"
เมื่อเห็นน้องสาว้าอธิบายความคิดของเธออย่างละเอียด หมี่หลันหยางก็รีบเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ ในเมื่อรู้ว่าความคิดของน้องสาวนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน เขาก็ยิ่ง้าที่จะช่วยเธอให้สำเร็จ
"พี่ลองคิดดู พวกเราสี่คน โอ้ รวมพี่เถียจู้ด้วยก็เป็ห้าคน ถ้าปีนี้สอบเลื่อนชั้นได้ บวกกับมัธยมปลายอีกสามปี ก็จะอยู่ที่ซวงเฉิงได้อีกแค่สี่ปีครึ่งเท่านั้น สี่ปีครึ่ง จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ถ้าพวกเราห้าคนออกจากซวงเฉิงไปพร้อมกัน แล้วธุรกิจของเราจะเป็ยังไง?"
"พี่อย่าบอกนะว่าพี่ไม่เคยคิดถึงเื่นี้ กลุ่มพวกเรา รวมพี่หลิวเสี่ยวหว่าน พี่หลิวลี่ ทั้งหมดมีแค่เจ็ดคน ถ้าพวกเราหายไปทีเดียวห้าคน แถมยังเป็กำลังสำคัญ จะต้องปิดธุรกิจของเราที่ซวงเฉิงเหรอคะ? เพราะพวกเราห้าคนจะต้องออกไปอย่างแน่นอน นั่นคืออนาคตของเรา"
"ในเมื่อเราไม่สามารถหยุดรากฐานของซวงเฉิงนี้ได้ แถมยังต้องถือว่ามันเป็รากฐานสำหรับธุรกิจในอนาคตของเรา ดังนั้นเราจึงทำได้แค่ทำให้มันดีขึ้น เงื่อนไขก็คือ เราไม่สามารถขาดแคลนพนักงาน ไม่สามารถหยุดการพัฒนาของมันได้ ดังนั้น สี่ปีครึ่ง ฉันจะต้องหาคนใหม่ที่จะสามารถรับภาระนี้ได้ และคนใหม่นั้นไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่นอนค่ะ"
คำพูดของน้องสาวชัดเจนมาก หมี่หลันหยางไม่คิดว่าน้องสาวจะคิดไปไกลขนาดนี้ เขารู้ว่าน้องสาว้าก้าวออกไป และรู้ว่าเธอกำลังพยายามไปในทิศทางนั้น แต่เขาไม่เคยรู้เลยว่าเธอได้วางแผนเื่ต่างๆ อย่างละเอียดและสมบูรณ์ขนาดนี้ ทำให้เขาที่เป็พี่ชายรู้สึกผิดอยู่บ้าง
เขาก็รู้ว่าคนอื่นๆ จะต้องสอบออกไป และรู้ว่าธุรกิจที่นี่จะต้องมีคนดูแล และรู้ว่าเหลือเวลาอีกสี่ปีครึ่ง แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องเริ่มหาคนรุ่นต่อไปั้แ่ตอนนี้ ใช่แล้ว สี่ปีครึ่ง จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น
เหมือนกับภาพที่เขาและน้องสาวตั้งแผงหนังสือ ดูเหมือนยังอยู่ตรงหน้า แต่ก็ผ่านมาสี่ปีครึ่งแล้ว เวลามันช่างโหดร้ายนัก ในขณะที่คุณไม่ทันตั้งตัว มันก็เดินไปไกลแล้ว เหลือไว้เพียงความทรงจำที่ยังคงอยู่ที่เดิม แต่ยังไงซะมันก็เป็แค่ความทรงจำ คุณถูกเวลาลากไปแล้ว
"หลันเยว่ พี่ไม่ได้คิดถึงเื่นี้เอง เธอคิดถูกแล้ว แต่คนพวกนี้จบแค่ชั้นมัธยมต้น เธอคิดว่าพวกเขาจะสามารถแบกรับอนาคตของห้องเสื้อหลันเยว่ได้เหรอ ถึงแม้จะเป็แค่สาขาซวงเฉิง แต่ในอนาคต ห้องเสื้อหลันเยว่จะต้องเป็ป้ายโฆษณาของซวงเฉิงอย่างแน่นอน นี่เป็สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย"
หมี่หลันหยางมีความมั่นใจในธุรกิจของน้องสาว และมีความมั่นใจในความสามารถของคนอื่นๆ อนาคตแบบนั้นแทบจะไม่ต้องพูดถึง ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถวางใจที่จะมอบมันให้กับคนอื่นได้ในทันที มันเหมือนกับลูกของตัวเอง โตขึ้นจะต้องปล่อยออกไป แต่ผู้ปกครองมักจะมีความกังวลแบบนี้เสมอ
"พี่คะ สาขาซวงเฉิง พวกเราจะต้องปล่อยมืออยู่ดี ดีที่เรายังมีเวลาอีกสี่ปีครึ่ง ฉันจะใช้เวลานี้ให้ดี ต่อไปถ้าฉันทำอะไรหรือตัดสินใจอะไร ฉันจะให้หลันซิงไปด้วยค่ะ"
เมื่อได้ยินคำพูดของน้องสาว หมี่หลันหยางก็ยังคงลังเลอยู่บ้าง
"เธอหมายความว่า...?"
ในใจของหมี่หลันหยาง น้องชายยังเด็กเกินไปอยู่บ้าง
"พี่อย่าเอาหลันซิงไปเปรียบกับเด็กๆ สิ ตอนพี่เก้าขวบ ก็เป็คนตัดสินใจออกไปตั้งแผงหนังสือกับฉันแล้ว ตอนนั้นฉันอายุแค่หกขวบเองนะ ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้น้องมีพวกเรานำอยู่ เวลาสี่ปีครึ่งน้องก็น่าจะโตพอแล้ว ให้เขาทำความคุ้นเคยกับคนที่กำลังจะเข้ามาเป็ส่วนหนึ่งของกลุ่มย่อยของเราด้วย"
"พี่คะ ฉันมีมั่นใจว่าน้องทำได้แน่นอน พี่ไม่เคยเห็นตอนน้องดูแลร้านเหรอ มีลูกเล่นเยอะแยะเลย แถมคนที่จะได้รับการแนะนำจากพี่หลิวด้วย ฉันก็ค่อนข้างมั่นใจนะคะ ลองคิดดูสิ บ้านจนขนาดนั้นยังอุตส่าห์ดิ้นรนเรียนจนจบมัธยมต้นได้ แสดงว่าต้องเป็คนที่มุ่งมั่นและใฝ่เรียนรู้ ตอนนี้เด็กบ้านนอกมีกี่คนที่เรียนจบแค่ประถมแล้วก็ไม่เรียนต่อแล้ว"
เมื่อเห็นน้องสาวมั่นใจขนาดนั้น หมี่หลันหยางก็ทำได้แค่คอยสนับสนุน
"อย่างนี้ดีไหม พรุ่งนี้หลังเลิกเรียน พี่ไปด้วยกับเธอด้วย พี่จะช่วยเธอดูคนด้วย ยังไงซะ เธออยากจะปั้นพวกเขาให้เป็ผู้นำ พี่ก็ต้องดูให้ดี"
เมื่อเห็นพี่ชายยังคงกังวลอยู่ หมี่หลันเยว่ก็หัวเราะ รู้ว่าพี่ชายกังวลมากเกินไป
"พี่คะ อย่าเครียดขนาดนั้นได้ไหมคะ ฉันแค่มีภาพในใจเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าต้องเป็คนพวกนี้แน่นอน ฉันแค่มั่นใจในคนที่พี่หลิวแนะนำ ถึงแม้พวกเขาจะไม่สามารถเป็ผู้นำของห้องเสื้อหลันเยว่สาขาซวงเฉิงได้ แต่ในฐานะพนักงานระดับล่าง พวกเขาก็ต้องทำได้อย่างแน่นอน"
"แต่พี่จะไปด้วยพรุ่งนี้ ฉันจะพาหลันซิงไปด้วย ให้เขาเริ่มจากการรู้จักคน ให้เขาเริ่มจากการคิดว่าคนพวกนี้เหมาะที่จะทำอะไรจากความประทับใจแรกของตัวเอง จากนั้นก็ดูว่าในอนาคต พวกเขาจะสามารถทำผลงานได้ตามที่เขาคาดไว้หรือเปล่า"
"ถ้าเขาตัดสินใจถูกต้อง ก็จะเป็ประโยชน์ต่อการตัดสินใจของเขาในอนาคต จะทำให้เขามั่นใจมากขึ้น ถ้าไม่ถูกต้อง ก็จะทำให้เขารู้ว่าการตัดสินและการใช้งานคนของตัวเองยังต้องปรับปรุง หลันซิงยังเด็ก มีเวลาให้เรียนรู้อีกมาก มีความยืดหยุ่นสูงมาก แถมฉันก็มีความมั่นใจในตัวเขาด้วย"
"พี่คะ ไม่ใช่ว่าฉันอวยหลันซิงนะคะ ในสายตาของฉัน ในด้านธุรกิจ หลันซิงจะมีศักยภาพที่จะก้าวข้ามพี่ไปได้ในอนาคต นี่ก็ถือเป็การตัดสินของฉัน พี่ต้องพยายามเข้านะคะพี่ ให้เรารอดูกันว่าอนาคตของหลันซิงน้อยของเราจะเป็ยังไง"
ไม่คิดว่าน้องสาวจะให้เกียรติน้องชายสูงขนาดนี้ หมี่หลันหยางเริ่มมีความระมัดระวังตัว เขาไม่ได้อิจฉาน้องชาย เขาแค่้าให้ตัวเองมีความตระหนักถึงวิกฤต ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาเริ่มต้นก่อนน้องชายมามากขนาดนี้ เขาไม่สามารถแพ้ได้ นั่นหมายความว่าความพยายามของเขายังไม่เพียงพอ
"พร์เป็ส่วนหนึ่ง แต่ความขยันก็สำคัญนะ พี่ไม่เชื่อว่าพี่จะแพ้"
หมี่หลันหยางกำหมัดแน่น
"ฉันเชื่อในตัวพี่ค่ะ ก็เลยให้พี่พยายามเข้าน่ะสิคะ อย่ามัวแต่ให้น้องชายแซงหน้าไปล่ะ ฮ่าๆ..."
เมื่อเห็นพี่ชายมีท่าทีประหม่า หมี่หลันเยว่ก็หัวเราะอย่างมีความสุข พี่ชายั้แ่เล็กจนโต มักจะเป็ผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ ที่สุขุมและสงบ การทำให้เขาประหม่าได้ ไม่ใช่เื่ง่ายเลย
"พี่คะ พี่กลัวแพ้จริงๆ เหรอคะ?"
"พี่กลัวแพ้จริงๆ ดังนั้นพี่จะพยายาม!"
ในความทรงจำของหมี่หลันเยว่ พี่ชายเคยประหม่าเพราะน้องสาวอย่างเธอเท่านั้น นี่เป็ครั้งแรกสำหรับตัวเขาเอง หมี่หลันเยว่จับมือพี่ชายไว้ จับไว้แน่นๆ
