หงเซียใช้สายตาเหยียดหยามมองไปที่มู่อวิ๋นจิ่น โดยที่มู่หลิงจูมองอย่างชื่นชม
จื่อเซียงได้ฟังที่หงเซียพูดถึงกับไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ จนต้องยกมือท้าวสะเอว “หงเซีย คุณหนูของพวกเราเป็ถึงพระชายาหก เ้าไม่มีสิทธิ์พูดจาเช่นนี้กับคุณหนู!”
หงเซียถลึงตาโตใส่จื่อเซียง “คนในจวนอัครเสนาบดีมู่ต่างรู้กันหมดแล้วว่าคุณหนูสาม ถูกขับออกจากจวนองค์ชายหก เช่นนั้นไม่นับว่าเป็พระชายาหกแล้ว ”
“หงเซีย เ้าพูดเช่นนั้นไม่ถูกต้อง หนังสือปลดจากองค์ชายหกยังมาไม่ถึง คุณหนูก็ยังคงเป็พระชายาหกอยู่วันยังค่ำ รีบขอโทษคุณหนูซะ!” มู่หลิงจูแสร้งทำเป็ตวาดใส่หงเซีย
หงเซียเข้าใจความหมายที่มู่หลิงจูสื่อ จึงย่อตัวแสดงการขอโทษ “บ่าวปากพล่อย ขอให้พระชายาหกอภัยให้ด้วยเพคะ”
สิ้นเสียงขอโทษ มู่หลิงจูและบ่าวใช้ต่างหัวเราะคิกคักขึ้นมา
“คุณหนู……” จื่อเซียงจ้องเขม็งไปที่คนมาสร้างเื่ก่อนหันมองมู่อวิ๋นจิ่นอย่างเป็ห่วง
มู่อวิ๋นจิ่นยกมือแคะขี้เล็บ พร้อมมองไปที่มู่หลิงจู ก่อนหัวเราะเยาะขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นหยุดหัวเราะลง หันมองหงเซียที่ยืนด้านข้างมู่หลิงจู “หงเซีย นางบ่าวชั่ว ทำผิดแล้วผิดอีก ลากตัวนางไปโบยจนตาย!”
“ลากไปโบยจนตาย? เหอะๆๆ มู่อวิ๋นจิ่นเอ๋ย ที่จวนแห่งนี้เ้าไม่มีอำนาจอีกแล้ว ใครจะฟังเ้า” มู่หลิงจูลอยหน้าลอยตา
มู่หลิงจูพูดจบลง มู่อวิ๋นจิ่นหยิบนกหวีดที่เก็บไว้ในชายเสื้อขึ้นมาเป่าเบาๆ
จากนั้นเรือนมวลบุปผา มีองครักษ์ลับชุดม่วงโผล่ขึ้นบนหลังคาและกำแพง หัวหน้าองครักษ์ลับะโลงมาทำความเคารพมู่อวิ๋นจิ่น
“พระชายามีเื่ใดให้รับใช้พ่ะย่ะค่ะ?”
มู่อวิ๋นจิ่นเงยหน้าเห็นมู่หลิงจูตะลึงงัน จึงยิ้มเย้ยออกมาก “จับตัวนางบ่าวชั่วคนนี้ลากไปโบยให้ตาย!”
“ได้พ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับชุดม่วงพุ่งตัวไปจับหงเซีย
“มู่อวิ๋นจิ่นเ้ากล้าหรือ!” มู่หลิงจูนึกไม่ถึงว่ามู่อวิ๋นจิ่นจะเรียกองครักษ์ลับชุดม่วง ที่เคยได้ฟังเื่ราวให้มาปรากฏตัว เมื่อได้ยินองครักษ์ลับชุดม่วงเรียกนางว่าพระชายา มู่หลิงจูพลันทราบทันทีว่านางพลาดไปแล้ว
“ทำไมจะไม่กล้า? ข้าอยากโบยบ่าวใช้ของเ้าที่ติดตามมาให้ตาย เ้าจะทำอะไรข้าได้?” มู่อวิ๋นจิ่นพูดอย่างเืเย็น
มู่หลิงจูผู้นี้เจ็บแล้วไม่เคยจำเลยสักครั้ง ในเมื่อเป็เช่นนี้ นางก็ต้องช่วยให้น้องสาวคนนี้จำฝังใจสักหน่อย!
“ข้ากับท่านอ๋องหรงจะแต่งงานกันแล้ว เ้ายังกล้าให้ในจวนเกิดเืตกยางออกอีกเหรอ หากทำเื่ไม่เป็มงคลเช่นนี้ ไม่กลัวท่านอ๋องหรงจะลงโทษเ้า?” มู่อวิ๋นจิ่นกัดฟันยกท่านอ๋องหรงเข้ามาขู่
“ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องหรงจะต้องสนับสนุนหลานสะใภ้คนนี้ ส่วนเ้ามู่หลิงจู ไปดูให้ดีก่อนว่าอยู่ในฐานะอะไรค่อยมาพูดกับข้า”
“ลากตัวออกไป!”
สิ้นเสียงมู่อวิ๋นจิ่นแล้ว องครักษ์ลับชุดม่วงโผล่ขึ้นมาจับตัวหงเซียลากไปข้างนอกเรือนมวลบุปผา คนที่เหลือที่อยู่ด้านในต่างได้ยินเสียงกรีดร้อง ร้องไห้ของหงเซีย
มู่หลิงจูได้แต่ยืนฟังเสียงทุรนทุรายจากด้านนอก กลับนึกขึ้นมาได้ว่านางมิมีกำลังเอาคืนได้ ได้แต่ก้มหน้าก้มตายอมให้มู่อวิ๋นจิ่นกด
ชั่วพริบตาเดียว มู่หลิงจูนึกหัวเราะตนเองที่กลายเป็ตัวตลกในสายตาของทุกคน
“มู่หลิงจูอย่านึกว่าการแต่งเข้าจวนท่านอ๋องหลงแล้ว ถือเป็การชุบชีวิตตัวเองใหม่ เชื่อข้าเถอะ ที่นั่นเป็จุดเริ่มต้นของความพินาศ!” มู่อวิ๋นจิ่นแสยะยิ้ม เหลือบมองมู่หลิงจูด้วยหางตา แล้วสะบัดหน้าเดินกลับเข้าห้องไป
ภายในลานเรือนมวลบุปผาเหลือเพียงมู่หลิงจูและบ่าวใช้เป็สิบยืนนิ่งงัน
มู่หลิงจูกัดฟันด้วยความเคียดแค้น กำหมัดทั้งสองข้างแแ่ มองไปยังประตูที่ปิดสนิทบานนั้น
“มู่อวิ๋นจิ่นแล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
หลังจากนั้นมู่หลิงจูหันกลับไปมองบ่าวใช้ต่างหน้าตื่นด้วยความหวาดกลัว รีบก้มหน้าก้มตาแทบไม่ทัน
“อวิ๋นจิ่นกลับมาจวนได้ไม่กี่วัน เ้าก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้วสินะ?” มู่อวิ๋นหานเดินมาเอ่ยเบื้องหน้ามู่หลิงจู
“พี่ชาย ข้า……” มู่หลิงจูพลันหน้าแดง ด้วยไม่รู้ว่ามู่อวิ๋นหานได้ยินที่นางพูดเมื่อครู่นี้ไปมากน้อยเท่าไหร่ จึงไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไร
มู่อวิ๋นหานขมวดคิ้วขึ้น “สตรีที่มีความสามารถเป็อันดับหนึ่งในอาณาจักรซีหยวน ช่างมีแผนการชั่วร้ายถึงเพียงนี้เลยหรือ ดูแแล้วช่างน่าขันสิ้นดี”
“พี่ชาย ข้าก็เป็น้องท่านนะ ทำไมทุกครั้งต้องเข้าข้างพี่สามตลอด?” มู่หลิงจูเอ่ยด้วยรู้สึกไม่ยุติธรรม
นึกๆ ดูั้แ่เล็ก นางอยากสนิทสนมกับพี่ชายคนนี้มาโดยตลอด แต่เขาเ็าไม่สนใจ กลับให้ความสนิทสนมกับมู่อวิ๋นจิ่นที่ไร้ความสามารถผู้นั้นอย่างออกหน้าออกตา
“การกระทำของเ้าทั้งหมดมานี้ คู่ควรที่พี่อยากสนิทสนมกับเ้าไหม?” มู่อวิ๋นหานมองไปที่แววตาของมู่หลิงจู จากนั้นจ้องไปที่บ่าวใช้ด้านหลังของนางอย่างไม่สบอารมณ์
“รีบกลับไปเสีย อย่าให้พี่เห็นเ้ามาหาเื่อวิ๋นจิ่นอีก!”
มู่หลิงจูกัดฟันกรอดๆ จนตัวสั่น นึกถึงเื่ที่ท่านแม่ซูปี้ชิงถูกมู่อวิ๋นจิ่นให้ร้ายจนตาย พลันเกิดความน้อยใจ “พี่ชาย ท่านลืมเื่ท่านแม่ของพวกเราแล้วหรือ?”
“นั่นเป็เพราะนางหาเื่ใส่ตัวเองทั้งนั้น เกี่ยวอะไรกับอวิ๋นจิ่นด้วยเล่า? เ้าไปได้แล้ว!”
มู่หลิงจูไม่รู้จะหาเื่ใดพูดต่อไป ทำได้เพียงสงบสติอารมณ์ จากนั้นแสร้งทำเป็เชื่อฟังทำความเคารพมู่อวิ๋นหาน และเดินกลับไปแต่โดยดี “น้องขอตัวก่อนนะเ้าค่ะ”
หลังจากที่นางเดินออกจากเรือนมวลบุปผาแล้ว สาวใช้ตัวน้อยคนหนึ่งวิ่งอย่างรีบร้อนมา คุกเข่าลงเบื้องหน้า “คุณหนู หงเซียสิ้นลมแล้วเ้าค่ะ”
“ข้ารู้แล้ว” มู่หลิงจูเอ่ยเสียงเรียบ นึกไม่ถึงว่ามาที่เรือนมู่อวิ๋นจิ่นเพียงครู่เดียว กลับต้องเอาชีวิตหงเซียมาทิ้งไว้
มู่หลิงจูเดินต่อไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดฝีเท้าลง กวักมือเรียกบ่าวใช้หนุ่ม “เ้าเอาเื่ที่หงเซียถูกโบยจนตายไปแพร่ให้ทั่ว ข้าจะไม่ยอมให้หงเซียตายอย่างเปล่าประโยชน์”
“ขอรับคุณหนู”
บ่าวใช้หนุ่มรีบวิ่งไปทางประตูหลังจวน ระหว่างที่หยุดพักใต้ต้นไม้ใหญ่ อยู่ๆ มีเข็มพุ่งเข้าปักทะลุลำคอ พริบตาเดียวก็ล้มขาดใจลงกับพื้น
มู่อวิ๋นจิ่นเดินออกมาจากข้างหลังต้นไม้ใหญ่ ก้มลงดึงเข็มที่ทะลุออกจากต้นไม้
“มู่หลิงจูเอ๋ยมู่หลิงจู เ้ายังชอบใช้แผนเดิมๆ อย่างนี้ไม่เปลี่ยนเลย!”
……
เวลาล่วงเลยมาจนตอนเย็น บนโต๊ะอาหารในจวนอัครเสนาบดีมู่
เื่ที่หงเซียถูกโบยจนสิ้นใจเมื่อเช้า ทุกคนในจวนต่างรู้กันเกือบทั้งหมด ในเวลานี้อัครเสนาบดีมู่ที่นั่งทานข้าว ปรายตามองมู่อวิ๋นจิ่นโดยที่ไม่เอ่ยถึงเื่นี้ขึ้นมา
มู่หลิงจูตั้งใจมาทานข้าวเย็นที่ห้องอาหาร เพื่อรอให้ท่านพ่อให้ความเป็ธรรมกับนาง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงเื่นี้ขึ้นมาสักคนเดียว
“พี่สามทานจานนี้เยอะๆ หน่อย” มู่เซี่ยโหรวคีบกระดูกหมูหลายชิ้นใส่ชามมู่อวิ๋นจิ่น
“ขอบใจน้องห้า” มู่อวิ๋นจิ่นหันไปยิ้มให้
มู่เซี่ยโหรวยิ้มตอบ “พี่สามมิต้องเกรงใจ นานๆ ทีพี่จะมีโอกาสกลับมาอยู่ที่จวน ต้องทานให้อิ่ม หากกลับไปจวนองค์ชายหกด้วยรูปร่างผอมโซ มีหวังองค์ชายหกอาจมาต่อว่าพวกเราเป็ได้”
คำพูดของมู่เซี่ยโหรวทำให้ทุกคนบนโต๊ะสีหน้าแตกต่างกันไป
มู่หลิงจูชายตาค้อนไปที่มู่เซี่ยโหรว ก่อนวางตะเกียบในมือลงด้วยไม่มีอารมณ์ทานอีกแล้ว
มู่เซี่ยโหรวไอ้น้องชั่ว เมื่อก่อนตอนที่มู่อวิ๋นจิ่นถูกกักบริเวณ วันๆ ก็เข้ามาประสบจอพลอนางเช้าเย็น มาตอนนี้เห็นมู่อวิ๋นจิ่นมีอำนาจอยู่ในมือ กลับหันมาดูแคลนนาง
ช่างเป็คนปลิ้นปล้อนไม่มีใครเทียบได้!
“หลิงจู ทำไมไม่ทานแล้วละ?” ลัวหนิงอวี่ถามด้วยเสียงอ่อนโยน
มู่หลิงจูกลับยิ้มตอบเสียงเรียบ “ซานเหนียง ข้าทานอิ่มแล้ว”
มู่อวิ๋นจิ่นเหลือบมองไปทางมู่หลิงจู เห็นนางทานไปได้ไม่กี่คำ พลันทราบได้ทันทีว่าความโกรธของนางยังไม่ทุเลาลง ดังนั้นนางจึงพูด ด้วยความสร้อยเศร้า “คนบางคนใช้ชีวิตแต่ละวันดีๆ ไม่ชอบ กลับแปลงกายมาเป็นางมารร้าย แต่คนบางคนเกิดมาก็เป็นางมารร้ายั้แ่ต้น คิดไปคิดมาช่างน่าสนใจยิ่งนัก”
คำเปรียบเปรยของมู่อวิ๋นจิ่น ทุกคนต่างเข้าใจในฉับพลัน บรรยากาศในการทานอาหารเย็นจึงเงียบเชียบและกร่อยไปโดยปริยาย
“พี่สาม ชอบพูดล้อเล่นไปเรื่อย ฟังดูไม่ขันเลยสักนิดเดียว” มู่หลิงจูกวาดสายตามองหาบ่าวใช้หนุ่มที่นางสั่งให้ไปปล่อยข่าว จนบัดนี้ยังไม่เห็นกลับมารายงาน พลันเกิดความกังวลใจขึ้น
“ไม่ต้องมองแล้ว เขาไม่กลับมาแล้ว” มู่อวิ๋นจิ่นดื่มน้ำแกงไป พร้อมกับเปรยขึ้นมา
“มู่อวิ๋นจิ่น เ้า……” มู่หลิงจูสูดหายใจเข้าลึกๆ วิเคราะห์คำพูดของมู่อวิ๋นจิ่น จากนั้นหันมองด้วยแววตาที่แปลกใจและลนลาน
“ปั้ง……”
อัครเสนาบดีมู่ที่นั่งทานข้าวอยู่เงียบเชียบกลับตบโต๊ะขึ้นเสียงดังลั่น จากนั้นวางตะเกียบในมือลงโต๊ะอีกครั้ง ก่อนหันมองมู่หลิงจูด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ก่อนถึงวันแต่งงาน เ้าจงอยู่แต่ในหอมุกดา ไม่อนุญาตออกมาแม้แต่ก้าวเดียว!”
“ท่านพ่อ ทำไมเป็ข้าอีกแล้ว?” มู่หลิงจูไม่ยอมใจ ถ้ามู่หลิงจูเป็พระชายาหกจึงมีฐานะต่างออกไป แต่อีกไม่นานข้าจะเป็สนมของของท่านอ๋องหรงแล้ว ฐานะย่อมไม่ต่ำไปกว่ามู่หลิงจูแม้แต่น้อย เหตุใดทุกคนในจวนต่างเข้าข้างมู่อวิ๋นจิ่นกันไปหมด
“หลี่ผิง นำตัวคุณหนูสี่กลับไปที่หอมุกดา ไม่มีคำสั่งของข้าไม่อนุญาตให้ออกมา!”
“ขอรับ นายท่าน”
มู่หลิงจูถูกพาตัวกลับหอมุกดาแล้ว บรรยากาศบนโต๊ะอาหารค่อยดีขึ้นเป็ลำดับ จ้วงอวี้เหยียนที่นั่งทานโดยไม่ปริปาก เวลานี้กลับทานได้อร่อยขึ้น
“น้องอวิ๋นจิ่น วันนี้ทานน้อยไปหน่อย หรือว่าอาหารไม่ถูกปากเอ่ย?”
มู่อวิ๋นจิ่นส่ายหน้าปฏิเสธ
“คืนนี้ที่ตลาดมีเทศกาลโคมไฟจะต้องคึกคักเป็แน่ ประเดี่ยวทานอาหารเสร็จพวกเราไปเที่ยวเล่นกันเอาไหม?” จ้วงอวี้เหยียนพูดยิ้มๆ
“ดีเลย ดีเลย พี่สะใภ้ ข้าขอไปด้วย” เซี่ยมู่โหรวรีบเสริมขึ้น
มู่อวิ๋นจิ่นเห็นจ้วงอวี้เหยียนเสนอความคิดออกมา จึงพยักหน้ารับด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม
……
ไม่นานนัก มู่อวิ๋นจิ่น มู่อวิ๋นหาน จ้วงอวี้เหยียนและมู่เซี่ยโหรวรวมสี่คนต่างออกจวนไปพร้อมกัน
ในตลาดเวลานี้ ผู้คนขวักไขว่ต่างประดับประดาและแขวนโคมไฟกันเต็มไปหมด แต่ละคนที่เดินผ่านต่างมีโคมไฟถืออยู่ในมือกันทั้งนั้น มู่อวิ๋นจิ่นมองโคมไฟรูปทรงต่างๆ พลันนึกถึงฉู่ลี่โดยมิได้ตั้งใจ
พอนึกถึงหน้าฉู่ลี่ มู่อวิ๋นจิ่นรีบยกมือขึ้นเขกหัวตนเองอย่างจนปัญญา
“ไปทะเลสาบเทพวารีกันเถอะ” จ้วงอวี้เหยียนเสนอขึ้น
เมื่อเดินมาถึงทะเลสาบเทพวารี มู่อวิ๋นจิ่นเดินเรียบทางไม้ที่ต่อยื่นออกไป เห็นสองข้างทางเดินมีโคมดอกบัวแขวนไว้ยาวเหยียด
ระหว่างสองข้างทางมีร้านขายโคมดอกบัวมิน้อย ต่างพากันเรียกลูกค้าอย่างสนุกสนาน
มู่อวิ๋นจิ่นเดินเรียบไปตามทางไม้ทะเลสาบเทพวารี เห็นหนุ่มสาวพากันอธิษฐานลอยโคมไฟดอกบัวกันเต็มไปหมด
ระหว่างที่เอาแต่มองโคมไฟดอกบัว ลอยไปมาบนผิวน้ำละลานไปหมด จู่ๆ มีคนยื่นโคมไฟดอกบัวให้นางตรงหน้า
มู่อวิ๋นจิ่นขมวดคิ้วเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมอง เห็นมู่อวิ๋นหานที่ยืนด้านข้างยื่นโคมไฟดอกบัวมาให้ “อ่ะ เอาไปพี่ให้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้