ครั้งนี้ไป๋หยุนเฟยถูกชักจูงสำเร็จ จึงกล่าวโดยไม่ลังเลว่า “ข้ารับปาก”
มุมปากของชายชรากระตุกวูบ ก่อนจะฉีกยิ้มแทบถึงใบหู...
ชายชราล้วงแหวนสีดำจากอกเสื้อยื่นให้แก่ไป๋หยุนเฟยพร้อมกับอธิบายว่า “นี่คือแหวนช่องมิติซึ่งมีมิติย่อส่วนอยู่ภายในใช้บรรจุสิ่งของได้ ยามที่พลังิญญาของเ้าตื่นขึ้นอย่างเต็มที่ เพียงถ่ายทอดพลังิญญาลงไปก็จะสามารถนำเคล็ดวิชาการฝึกปรือิญญาที่อยู่ภายในออกมาได้ เมื่อฝึกฝนิญญาตามเคล็ดวิชานี้จะสามารถพัฒนาพลังของเ้าได้”
หลังจากสังเกตดูแหวนอยู่ชั่วครู่ ไป๋หยุนเฟยจึงกำเอาไว้ในมือ ก่อนจะมองไปยังชายชราด้วยท่าทีราวกับมีอันใดแต่ลังเลที่จะเอ่ยปาก
"มีอันใด? หรือเ้ายังมีคำถามใดอีก?” ชายชราถามอย่างยิ้มแย้ม
“ท่านมีเงินทองติดตัวหรือไม่? ขอให้แก่ข้าบ้าง...”
“…”
ชายชรายื่นถุงบรรจุเงินส่งให้ไป๋หยุนเฟยรับมาเปิดดู มิคาดกลับมีเหรียญทองอยู่เต็มถุง แต่มันเพียงหยิบออกมาสองเหรียญจากนั้นจึงค้อมศีรษะคารวะแก่ชายชรา
“ผู้าุโ หากมีโอกาสข้าจะต้องตอบแทนความเมตตาของท่านอีกสิบเท่าในภายหลังอย่างแน่นอน”
ชายชรามองเงาหลังไป๋หยุนเฟยลับตาไปด้วยรอยยิ้มเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วใบหน้า หลังจากเงียบงันชั่วขณะจึงทอดถอนใจกล่าวว่า
“โธ่... นี่เป็คนที่สี่แล้ว... มันจะเป็ผู้ปัดเป่าภัยพิบัติให้แก่สำนักชะตาลิขิตของข้าหรือไม่? สหายน้อยผู้นี้แปลกพิเศษอยู่บ้าง น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจยุ่งเกี่ยวการพัฒนาตนของมันเกินไปนัก...”
“จงอย่าได้สร้างความผิดหวังให้แก่ข้า เด็กน้อยเอ๋ย...”
................
หลังจากกลับเข้าเมืองไป๋หยุนเฟยจึงเช่าห้องพักที่โรงเตี๊ยม ด้วยอายุเท่านี้ของมัน นี่นับเป็ “ความฟุ่มเฟือย” แรกในชีวิต
“ข้ายังไม่พบความสำเร็จอันใด แต่กลับคิดค้างหนี้บุญคุณถึงสองครั้ง...” ขณะที่เหยียดกายบนเตียง ไป๋หยุนเฟยพึมพำกับตนเองพลางัักับแหวนในอกเสื้อ
ความรู้สึกเหน็ดเหนื่อยสิ้นเรี่ยวแรงพลันเข้าครอบงำ ไม่เพียงแค่ทางร่างกายแม้แต่จิติญญาก็รู้สึกอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง มันจึงล้มตัวลงหลับลึกอย่างรวดเร็ว... สำหรับไป๋หยุนเฟยซึ่งใช้ชีวิตมาสิบแปดปีด้วยวิถีทางอันธรรมดา ถึงกับยัง “ต่ำต้อย” ด้วยซ้ำ สิ่งที่มันเผชิญในวันนี้และสิ่งที่มันตัดสินใจเลือกทางเดินในวันข้างหน้าล้วนหนักหนาสาหัส พวกเราปล่อยให้มันได้พักผ่อนสักคืนเถอะ...
วันต่อมาไป๋หยุนเฟยซ่อนตัวในเงามืดมองดูครอบครัวของผู้เฒ่าอู๋ฝังศพชายชราจากที่ห่างไกล จากนั้นจึงขอเช่ากระท่อมธรรมดาไว้อยู่อาศัยที่ริมถนนเล็กๆ ห่างไกลออกไปด้านใต้ของเมือง
ไป๋หยุนเฟยรับเงินจากชายชรามาสองเหรียญทอง หนึ่งเหรียญทองมีค่าเทียบเท่าหนึ่งร้อยเหรียญเงิน และหนึ่งเหรียญเงินมีค่าเทียบเท่าหนึ่งร้อยเหรียญทองแดง สำหรับผู้ที่เคยได้รับค่าแรงเพียงยี่สิบเหรียญทองแดงต่อวันอย่างไป๋หยุนเฟย เงินสองเหรียญทองนี้นับได้ว่ามากมายนัก เพียงพอให้มันใช้ชีวิตได้อีก่ใหญ่
ภายในบ้านหลังเล็กที่มีเพียงเตียงตั้งอยู่ข้างหน้าต่างพร้อมด้วยตู้เล็กๆ อีกหนึ่งหลัง ไป๋หยุนเฟยนั่งอยู่บนเตียงกำลังถือก้อนอิฐอันแสนพิเศษนั้นอยู่ในมือ
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัปเกรด: +10
พลังโจมตี: 9
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 16
ผลกระทบเพิ่มเติมระดับ +10: เมื่อจู่โจมมีโอกาส 1% ที่จะสร้างความมึนงงให้เป้าหมายเป็เวลาสูงสุด 3 วินาที (เมื่อโจมตีศีรษะโอกาสสร้างความมึนงงเพิ่มเป็ 5%)
สิ่งจำเป็ในการอัปเกรด: แต้มิญญา 12 แต้ม
ยามเพ่งความคิดไปยังก้อนอิฐ แถบข้อมูลก็พลันปรากฏขึ้นในความคิดทันที หยุนเฟยครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก่อนจะเอ่ยปากแ่เบาว่า “อัปเกรด”
ราวกับบางอย่างในตัวพลันถูกดึงออกไปกะทันหัน ส่งผลให้มันแทบสิ้นสติไป
“วันนั้นข้าหมดสติไปเพราะจ่าย ‘แต้มิญญา’ มากเกินไปจริงๆ”
“อัปเกรดล้มเหลว”
“ไอเทมถูกทำลาย”
ข้อมูลสองแถวที่ปรากฏขึ้นในความคิดสร้างความตื่นตระหนกให้แก่ไป๋หยุนเฟยยิ่ง “ถูกทำลาย? หรือว่า...”
มันรู้สึกมือเบาโหวงจึงก้มศีรษะลงมอง ยามนี้จึงแลเห็นก้อนอิฐแปรเปลี่ยนเป็ฝุ่นผงร่วงลงสู่พื้น!
“นี่...” ไป๋หยุนเฟยซึมเซาไปชั่วขณะ จากนั้นกล่าวกับตนเองอย่างงุนงง “ถูกทำลาย ถูกทำลาย... ไม่ใช่ว่าอัปเกรดล้มเหลวแล้วระดับลดลงหรอกหรือ? ไฉนเมื่อครู่กลับถูกทำลายในทันที?”
มันมองไปยังกองฝุ่นทรายแทบเท้าอย่างงุนงง เนิ่นนานจึงค่อยสงบใจลงได้
“ข้ายังคงไม่เข้าใจกระบวนการอัปเกรดไอเทมนี้ดีพอ...” ไป๋หยุนเฟยใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนก่อนจะสาวเท้าออกจากบ้านไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา มันยังคงนั่งอยู่บนเตียงถือก้อนอิฐไว้ในมือ แต่ที่แตกต่างจากก่อนหน้าคือมีดสั้นยาวครึ่งเชียะหลายเล่มบนหลังตู้พร้อมด้วยก้อนอิฐสีแดงสดสิบกว่าก้อนที่กองอยู่ด้านข้าง
และที่พื้นเบื้องหน้ามันยังมีกองทรายเล็กๆ สีแดงสดกองอยู่
“หลังจากอัปเกรดถึงระดับ +8 หากอัปเกรดล้มเหลววัตถุจะถูกทำลาย ข้าอัปเกรดก้อนอิฐไปสามก้อนแต่กลับไม่มีก้อนใดสามารถอัปเกรดสำเร็จถึง +9 นับว่าข้าโชคดียิ่งที่สามารถอัปเกรดถึง +10 ได้ในคืนนั้น” ไป๋หยุนเฟยกล่าวกับตนเองหลังจากก้อนอิฐได้แปรเปลี่ยนกองฝุ่นทรายอีกครั้ง จากนั้นจึงหยิบมีดสั้นขึ้นมา “ลองสิ่งนี้ดูบ้าง”
ผ่านไปเนิ่นนาน...
“อัปเกรดสำเร็จ”
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัปเกรด: +8
พลังโจมตี: 21
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 18
สิ่งจำเป็ในการอัปเกรด: แต้มิญญา 10 แต้ม
ไป๋หยุนเฟยส่ายศีรษะซึ่งเริ่มวิงเวียนอยู่บ้าง “ข้าถึงขีดจำกัดแล้ว? เช่นนั้นลองทดสอบสมมุติฐานดู...”
กล่าวจบจึงใช้มีดสั้นกรีดนิ้วมือให้เป็แผล
“อัปเกรด...”
จากนั้นไป๋หยุนเฟยก็หมดสติล้มลงบนหมอนที่มันตระเตรียมไว้ก่อน
................
วันต่อมา ยามแสงแดดอันอบอุ่นฉายผ่านหน้าต่างเข้ามาภายในบ้าน ไป๋หยุนเฟยจึงยืดเอวบิดี้เีก่อนจะลุกขึ้นนั่งบนเตียง
“เป็ดังคาด ข้าหมดสติหลังจากใช้ ‘แต้มิญญา’ จนหมด แต่จากนั้นก็จะฟื้นฟูกลับคืนมา ทั้งยังช่วยเยียวยาาแตามร่างกายระหว่างการฟื้นฟูอีกด้วย นี่เป็เหตุผลว่าไฉนาแที่ถูกทุบตีบนร่างข้าถึงหายไปยามที่ตื่นขึ้นมาในสมรภูมิเดรัจฉาน”
“อีกทั้งข้าััได้ว่า... ข้ามีพลังเข้มแข็งขึ้น! นี่ไม่ใช่ความเข้มแข็งทางกาย มันช่างเป็ความรู้สึกที่สุดจะบรรยาย หากข้าคาดเดาไม่ผิดน่าจะเป็เพราะสิ่งที่เรียกว่า ‘แต้มิญญา’ นี้เพิ่มพูนขึ้นระหว่างการฟื้นฟู“
“แต้มิญญา แต้มิญญา หรือว่า...”
ไป๋หยุนเฟยหยิบมีดสั้นขึ้นมาจากใต้เตียง
ระดับไอเทม: ธรรมดา
ระดับการอัปเกรด: +9
พลังโจมตี: 21
พลังโจมตีเพิ่มเติม: 23
สิ่งจำเป็ในการอัปเกรด: แต้มิญญา 12 แต้ม
หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ไป๋หยุนเฟยจึงหยิบก้อนอิฐขึ้นมาก่อนจะเงื้อมีดสั้นฟันลงไป เสียงวัตถุกระทบพื้นแว่วมาแ่เบายามชิ้นส่วนของก้อนอิฐร่วงหล่นสู่พื้น มิคาดก้อนอิฐแข็งแกร่งกลับถูกตัดขาดราวหั่นเต้าหู้
ไป๋หยุนเฟยถึงกับสูดลมหายใจหนาวเหน็บ “พลังของ +9 ช่างร้ายกาจนัก”
“แต่กลับไม่มีผลกระทบเพิ่มเติมอย่างสร้างอาการมึนงง หรือจะเพียงปรากฏเมื่อข้าอัปเกรดวัตถุถึงระดับ +10”
มันหยิบมีดสั้นและก้อนอิฐขึ้นมาอัปเกรดจนถึงระดับ +8 ทีละชิ้น
ยามนี้มันกระทำอย่างเชื่องช้า หลังจากการอัปเกรดแต่ละครั้ง ไป๋หยุนเฟยจะหยุดและจับััอย่างระมัดระวัง... ยามนี้มันััถึงสิ่งที่เรียกว่า “แต้มิญญา” ได้อย่างเลือนรางแล้ว
ภายหลังการอัปเกรดอย่างต่อเนื่องไป๋หยุนเฟยจึงเริ่มรู้สึกสิ้นเรี่ยวแรง ดูเหมือน “แต้มิญญา” ในร่างมันถูกจ่ายออกไปเกือบหมดสิ้นแล้ว
“ข้าสมควรอัปเกรดต่อไปและใช้แต้มิญญาของข้าให้หมดเพื่อทดสอบหรือไม่?”
“เอาเถอะ ยิ่งรีบเร่งยิ่งเชื่องช้า ข้ายังไม่ทราบว่าหากหมดสติเช่นนั้นจะส่งผลร้ายหรือไม่ ทางที่ดีเพียงทดสอบวันละครั้งจะปลอดภัยกว่า...”
ไป๋หยุนเฟยวางมีดสั้นและก้อนอิฐลง จากนั้นจึงหยิบแหวนที่ได้รับมาจากชายชราเมื่อคืนก่อนมาชมดู
“นี่เป็แหวนช่องมิติ? ไฉนจึงรู้สึกคุ้นเคยเช่นนี้? ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีของเช่นนี้มาก่อนด้วยซ้ำ... มีมิติที่สามารถบรรจุสิ่งของด้านในอยู่ด้วย? ข้าสามารถใช้งานได้เมื่อพลังิญญาของข้าตื่นขึ้นเต็มที่และก้าวสู่ด่านนวกะิญญาระดับต้น... ทว่าเมื่อใดข้าจะบรรลุถึงระดับที่เรียกว่า ‘ตื่นขึ้น’? ต้องเป็เช่นใดจึงเรียกว่าเป็ผู้ฝึกปรือิญญาได้...?”
“ใช่แล้ว...” ยามนี้เมื่อนึกถึงกระบวนการอัปเกรดไอเทม ไป๋หยุนเฟยจึงมองไปที่แหวนในมือก่อนจะเพ่งความคิดในใจ
ระดับไอเทม: ดีเลิศ
สิ่งจำเป็ในการอัปเกรด: แต้มิญญา 5 แต้ม
ไป๋หยุนเฟยตะลึงงัน “ดีเลิศ? ไม่มีพลังโจมตีอีกทั้งการอัปเกรดครั้งแรกต้องใช้แต้มิญญามากถึง 5 แต้ม”
มันครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจอัปเกรดสักครั้งเพื่อดูว่าจะเป็อย่างไร...
“อัปเกรดสำเร็จ”
ระดับไอเทม: ดีเลิศ
ระดับการอัปเกรด: +1
คุณลักษณะเพิ่มเติม: พละกำลัง +1
สิ่งจำเป็ในการอัปเกรด: แต้มิญญา 6 แต้ม
“พละกำลัง +1? นี่หมายความว่าสามารถเพิ่มพูนกำลังกายของผู้สวมใส่กระมัง? แล้ว +1 คือเท่าใดกันแน่?”
ไป๋หยุนเฟยสวมแหวนบนนิ้วชี้ขวาแล้วกำหมัด แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีอันใดพิเศษ มันจึงอัปเกรดอีกหลายครั้ง กระทั่งรู้สึกวิงเวียนอย่างรุนแรงจึงหยุดลง
ระดับไอเทม: ดีเลิศ
ระดับการอัปเกรด: +5
คุณลักษณะเพิ่มเติม: พละกำลัง +15
สิ่งจำเป็ในการอัปเกรด: แต้มิญญา 10 แต้ม
หลังจากสวมแหวนอีกครั้ง ไป๋หยุนเฟยกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังพลุ่งพล่านอยู่ภายในร่าง ยามนี้มันรู้สึกว่ากระทั่งแยกศิลาทลายภูผาก็กระทำได้
แต่น่าเสียดายมันรู้สึกจิตใจเหนื่อยล้าราวกับแบกกระสอบข้าวสารมาทั้งวัน ไป๋หยุนเฟยจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ล้มตัวลงบนเตียงเพื่อพักผ่อน
หลังจากล้มตัวลงนอนอย่างง่วงงุนอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่นานเท่าใดไม่ทราบ ในที่สุดไป๋หยุนเฟยก็ลุกขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าจะยังไม่ฟื้นฟูเต็มที่แต่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว
ยามมองไปยังแหวนบนนิ้วมือก็รู้สึกถึงผลกระทบจากแหวนได้ มันรู้สึกถึงพละกำลังที่เพิ่มพูนขึ้นจริงๆ
ไป๋หยุนเฟยหยิบก้อนอิฐขึ้นจับที่ปลายทั้งสองด้านก่อนจะบิดด้วยกำลัง ก้อนอิฐพลันแตกหักเป็สองส่วน มันจึงหยิบก้อนอิฐระดับ +8 ขึ้นมาพยายามบิดด้วยกำลังอยู่หลายครั้ง แต่กลับไม่มีอันใดเกิดขึ้น
“ข้าแข็งแรงขึ้นจริงๆ อีกอย่างหลังจากวัตถุถูกอัปเกรดโครงสร้างของมันกลับแข็งแกร่งขึ้นมากนัก...”
เมื่อมองท้องฟ้าผ่านหน้าต่างออกไป ไป๋หยุนเฟยจึงพบว่าเป็ยามสนธยาแล้ว... เวลาหนึ่งวันกลับผ่านไปเช่นนี้
จากนั้นความรู้สึกชนิดหนึ่งพลันพุ่งเข้าจู่โจมจิตใจมัน “ข้าหิวโหยนัก...”
................
ยามสนธยาไป๋หยุนเฟยไปยังหลุมศพของผู้เฒ่าอู๋พร้อมด้วยตะกร้าเครื่องเซ่นไหว้และสุราหนึ่งขวด
หลังจากจัดวางเครื่องเซ่นไหว้มันจึงโขกศีรษะคำนับสามครั้งอย่างนอบน้อม
“ผู้เฒ่าอู๋ข้ามาเยี่ยมท่าน ได้โปรดอภัยให้แก่ข้าที่ไม่ได้มาร่วมฝังศพท่าน...”
“ผู้เฒ่าอู๋ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าจะไม่ให้ท่านตายเพื่อข้าอย่างไร้ค่า ข้าจะให้จางหยางชดใช้ต่อการตายของท่านและหลานสาว ต้องให้มันชดใช้ในสิ่งที่ทำกับพวกเราอย่างแน่นอน!”
ไป๋หยุนเฟยนึกถึง่เวลาแสนสั้นที่ได้อยู่ร่วมกับผู้เฒ่าอู๋ นึกถึงว่าผู้เฒ่าอู๋มองมันด้วยความรักและเมตตาอย่างไร นึกถึงว่าผู้เฒ่าอู๋ผลักมันออกอย่างไร โลหิตของผู้เฒ่าอู๋สาดกระเซ็นทั่วใบหน้ามันอย่างไร และผู้เฒ่าอู๋กล่าวคำพูดใดก่อนตาย...
น้ำตาเอ่อล้นในดวงตาของมันอย่างไม่อาจควบคุม ไป๋หยุนเฟยแหงนหน้าขึ้นฟ้าเพื่อไม่ให้หลั่งน้ำตา ขณะที่ความเดือดดาลคั่งแค้นพลุ่งพล่านในใจจนสุดระงับ
มันยกขวดสุราด้านข้างขึ้นดื่มอึกใหญ่ ความรู้สึกแผดเผาพลันไหลผ่านลำคอลงสู่ทรวงอก
ไป๋หยุนเฟยสะบัดศีรษะยกสุราขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก ใบหน้าของมันกลายเป็แดงฉาน กระทั่งดวงตายังค่อยๆ แดงก่ำด้วยสายเื
ทว่าความเดือดดาลคั่งแค้นในใจมันกลับคล้ายเปลวเพลิงได้น้ำมัน ราวกับจะทะลวงร่างออกมา
“ผู้เฒ่าอู๋ ข้าต้องฆ่าจางหยางให้จงได้ ข้าต้องฆ่ามันกับมือของข้าเอง”
มันแหงนหน้าขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะดื่มสุราที่หลงเหลือลงไปรวดเดียว
“ข้าไป๋หยุนเฟย สาบานด้วยหัวใจว่าข้าจะไม่มีวันยินยอมให้ผู้ใดมาบังคับควบคุมชีวิตข้าอีก! ไม่มีวันทนรับการเหยียดหยามใดอีก! ข้าจะเหยียบย่ำผู้ที่ดูิ่ข้า! ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินข้ามันต้องจ่ายค่าตอบแทน!”
ชั่วพริบตา บางอย่างในร่างของมันราวกับแตกสลายไป พลังวิ่งพล่านไปทั่วร่าง มือขวาที่กำขวดสุราของมันพลันขยายใหญ่ด้วยกล้ามเนื้อที่เบ่งพองขึ้น
“เพล้ง!”
ขวดสุราถูกขยี้แหลกคามือ ส่วนที่อยู่ในอุ้งมือก็ส่งเสียงเกรียวกราว ยามมันคลายมือออก เศษชิ้นส่วนที่แหลกละเอียดก็ร่วงพรูลงสู่พื้น