่ต้นยามโหย่ว [1] แขกของจวนอ๋องต่างทยอยกลับกันไม่น้อยแล้ว หานอ๋องจวินเหยียนจึงเดินกลับมายังซินฝาง [2] ทว่า สิ่งที่เขาคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อเปิดประตูเข้ามาจะเห็นสตรีตนกำลังหลับสนิทอยู่บนเตียง อีกทั้งในอ้อมแขนนั้นยังสวมกอดเด็กน้อยไว้คนหนึ่ง
หัวคิ้วเขาขมวดเข้าน้อยๆ ในดวงตาฉายแววไม่พอใจอยู่เล็กน้อย “เหตุใดจวิ้นจู่น้อยถึงมาอยู่ที่นี่? ” น่าตายนัก วันนี้เป็คืนเข้าหอของเขา ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่า ความเป็ไปได้ที่ตนจะได้กินเนื้อนั้นมีน้อยมาก แต่จะให้เด็กตัวเล็กๆ เข้ามาสร้างความวุ่นวายอีกไม่ได้
สาวใช้ที่รออยู่ด้านนอกรีบคุกเข่าลงแล้วกล่าวตอบ “ทูลองค์ชาย จวิ้นจู่น้อยเสด็จมาที่นี่ได้ครู่หนึ่งแล้วเพคะ และเป็พระชายาที่อุ้มนางไปพักผ่อนบนเตียงด้วยองค์เองเพคะ” จริงๆ แล้วพวกนางล้วนห้ามปรามอีกฝ่ายแล้ว แต่พระชายากลับไม่รู้ฟัง
จวินเหยียนนึกถึงหวานหว่าน สุดท้ายจึงได้ถอนหายใจออกมา “เอาล่ะ ออกไปเถอะ” เขาปิดประตูแล้วเดินเข้าไปในห้อง จากนั้นก็มองดูสตรีที่ไม่รู้ว่าลืมตาตื่นขึ้นมาั้แ่เมื่อไร เขาแค่นเสียงเ็า “เหตุใดถึงให้หวานหว่านนอนที่นี่? ”
“แล้วเหตุใดจึงให้นางนอนที่นี่ไม่ได้? ” อวิ๋นซีลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะถามกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
จวินเหยียนกัดฟันตอบ “อวิ๋นซี วันนี้เป็วันมงคลของเรา แต่เ้ากลับให้หวานหว่านมานอนเป็เพื่อนเ้าที่นี่ เ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าคนด้านนอกนั่นจะมองเ้าเช่นไร จะมองพวกเราอย่างไร? หากเ้าอยากยืนให้มั่นคงในจวนแห่งนี้ ก็หาได้มีทางเลือกอื่น ได้แต่ต้องทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเราไปกันได้ดี ต่อให้จะต้องเสแสร้งทำเป็รักใคร่ แต่นี่ก็ถือเป็สิ่งที่เ้าต้องทำในตอนนี้”
น่าตายนัก กว่าจะเอาคนมาไว้ในจวนอ๋องได้ก็ไม่นับว่าง่ายเลย ดังนั้น หากถูกบุตรสาวตนทำลายทุกสิ่งที่วาดหวังไว้เสีย เขาคงต้องโกรธจนวิ่งพุ่งชนกำแพงเป็แน่
อวิ๋นซีขบคิด ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างกะทันหัน “ตอนนี้ฟ้ายังสว่างอยู่เลย ทำไมหรือ ท่านอ๋องอยากจะทำเื่น่าอายตอนกลางวันแสกๆ อย่างนั้นหรือเพคะ? ”
“เ้า” จวินเหยียนถูกคำพูดของนางทำให้โกรธจัด สตรีนางนี้ไม่รู้จักชั่วดีจริงๆ
“เอาล่ะ ข้ามีเื่บางอย่างที่ต้องพูดกับท่าน อย่าได้ถลึงตามองข้าเช่นนี้อยู่เลย” อวิ๋นซีสวมรองเท้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ล้างหน้าบ้วนปาก แล้วจึงเดินมานั่งบนเก้าอี้ข้างกายชายหนุ่ม
“คนข้างกายหวานหว่านเป็คนสนิทของท่านหรือ? ” เมื่อนางนึกถึงถ้อยคำที่คนเ่าั้ใช้ชี้นำหวานหว่านก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ หวานหว่านเป็แค่เด็กที่ยังอายุไม่ถึงสามขวบด้วยซ้ำ แต่คนเ่าั้กลับรอไม่ไหวที่จะยุแยงให้ความสัมพันธ์อันดีระหว่างตนกับหวานหว่านต้องเสียไป
คนเ่าั้คงเห็นผู้อื่นเป็เพียงลูกพลับอ่อน [3] และคิดว่านางเป็แค่หมอหญิงธรรมดาๆ หากเป็เช่นนี้จริงๆ ละก็ จุดจบของพวกนางก็ได้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องน่าอนาถอย่างแน่นอน
จวินเหยียนหันมองนาง ถามเสียงขรึม “ทำไม? เ้าสงสัยคนข้างกายหวานหว่าน? ” ถึงแม้หวานหว่านจะเป็บุตรสาวเขา แต่เขาก็ชัดเจนอยู่ว่าอวิ๋นซีเป็สตรีที่มีหลักการแน่วแน่ยิ่ง หากนางคิดจะพูดสิ่งใดย่อมไม่มีทางพูดจาซี้ซั่ว และยิ่งไม่มีทางคิดจะทำไม่ดีต่อหวานหว่านั้แ่เพิ่งแต่งเข้าจวนมา ไม่ว่าอย่างไรปัญหาที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ แต่เดิมในใจของสตรีผู้นี้ก็ไม่มีตนอยู่แม้แต่น้อย ดังนั้น นางไม่มีทางเปลืองสมองคิดหาวิธีจัดการกับบุตรสาวตนอย่างแน่นอน
อวิ๋นซีเสมองหวานหว่านที่กำลังหลับสนิทอยู่อีกทางหนึ่ง “เปล่าหรอก ก็แค่ลองถามดู” ในตอนที่ยังไม่มีหลักฐาน นางไม่มีทางยอมเสี่ยงบอกความเคลือบแคลงเหล่านี้ให้จวินเหยียนฟัง อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็ถิ่นเขา ไม่รู้ว่าเขาจะเลือกเข้าข้างตนหรือจะเลือกเข้าข้างบ่าว นี่ถือเป็เื่ที่พูดยาก
“หากว่ามีเื่ใด เ้าจะต้องบอกข้า” พูดจบ เขาก็เดินไปที่ข้างเตียง ก่อนจะอุ้มหวานหว่านขึ้นมา แล้วพูดกับนาง “ข้าจะพาลูกกลับเรือนก่อน ประเดี๋ยวกลับมา”
อวิ๋นซีมองดูแผ่นหลังของเขา จากนั้นจึงนึกย้อนไปถึงหวงกุ้ยเฟย ในตอนนั้นที่ตนอยู่ข้างกายโอวหยางเทียนหัวก็ได้ทราบมาว่าหวงกุ้ยเฟยและโอวหยางเทียนหัวมักลอบวางสายที่เป็คนสนิทตนไว้ในจวนของบรรดาเชื้อพระวงศ์และขุนนางใหญ่ทั้งหลาย ด้วยเื่นี้พวกเขาจะทำกันอย่างลับๆ นางจึงรู้เพียงว่ามีเื่เหล่านี้เกิดขึ้น แต่ไม่ได้รู้ว่าคนเ่าั้เป็ใครบ้าง และยิ่งไม่รู้เลยว่า ในจวนหานอ๋องที่อยู่ห่างไกลจากเมืองหลวงหลายพันลี้นี้จะมีคนของพวกเขาอยู่ด้วยหรือไม่
แต่ว่า ความคาดเดานี้ก็เป็ไปได้สูงยิ่ง เพราะหวงกุ้ยเฟยเป็คนที่มีจิตใจซับซ้อนและรอบคอบ คนธรรมดายากจะคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายได้ ยิ่งกว่านั้น ในใจนางเองก็ยังเคลือบแคลงว่า เหตุที่จวินเหยียนถูกเนรเทศมายังหานโจวนี้ก็ถือเป็ผลงานของหวงกุ้ยเฟยด้วยหรือไม่
ขณะที่อวิ๋นซีกำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ด้านหลังของตนกลับมีคนคนหนึ่งมายืนอยู่แล้ว “กำลังคิดอยู่ใช่หรือไม่ว่าจวนอ๋องของข้ามีสายลับแฝงตัวอยู่? ”
“ท่าน” นางหันกายไปมองเขา หรือว่าคนผู้นี้จะเป็พยาธิในท้อง [4] นางกันแน่ กระทั่งเื่เช่นนี้ก็ยังเดาออกมาได้ ถึงกระนั้นเื่ที่นางคิดก็เกี่ยวข้องกับสายลับอยู่จริงๆ
“เป็เช่นนั้นจริงด้วย” เขาหัวเราะออกมา “นอกจากตัวข้าและหวานหว่านแล้ว คนที่เหลือเ้าล้วนสงสัยได้ทั้งสิ้น และขอเพียงเ้าสามารถนำหลักฐานนั้นมาให้ข้าได้ ข้าก็จะกำจัดคนเ่าั้ให้สิ้นซาก”
คนที่เขาบอกว่าสามารถสงสัยได้นั้นยังรวมถึงสี่องครักษ์ใหญ่ของเขา และเหล่าสาวใช้กับแม่นมข้างกายหวานหว่าน เนื่องด้วยตัวเขาเองก็เชื่อเช่นกันว่า คนในจวนนี้ล้วนมีความเป็ไปได้ที่จะทำร้ายตน ซึ่งแน่นอนว่าต้องยกเว้นอวิ๋นซีไว้คนหนึ่ง ด้วยเหตุที่นางยอมแต่งเข้ามาในจวนอ๋องนี้เพราะมีเป้าหมายสำคัญอื่นอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้น ก่อนที่เื่เหล่านี้จะประสบผลสำเร็จ นางย่อมไม่มีทางคิดร้ายต่อตนแน่ ส่วนตัวเขาก็ยังพอจะมีเวลาให้ได้เปลี่ยนสตรีนางนี้ก่อนที่เื่ทุกอย่างจะสำเร็จ
อวิ๋นซีอึ้งไป นี่จะถือเป็การแสดงออกหรือไม่ว่าเขาเชื่อตนโดยไร้ข้อกังขาใดๆ?
“ลืมเื่เ่าั้ไปก่อนเถิด เมื่อครู่นี้ตอนที่ข้าเดินกลับมาได้สั่งให้คนยกสำรับเย็นมาให้แล้ว คืนนี้เป็คืนแต่งงานของเรา ดังนั้นต้องกินให้อิ่มเสียก่อนถึงจะมีแรงไปยุ่งเื่อื่น” เขาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองนาง ทว่าประโยคสุดท้ายที่ส่อความหมายชัดเจนเพียงนั้นกลับทำให้สตรีข้างกายถึงกับเปลี่ยนสีหน้าในทันใด
“จวินเหยียน จริงจังหน่อยได้หรือไม่” นางอดขมวดคิ้วพึมพำต่อไม่ได้ “เพราะท่านเป็เช่นนี้ ข้าจึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวตนของท่านเป็เช่นไรแน่”
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็ให้หัวเราะ “ต่อหน้าเ้า ตัวข้าในตอนนี้ก็คือตัวข้าที่แท้จริง ทว่า เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น ตัวข้าจะเป็เช่นไร ชายาหาได้จำเป็ต้องกังวลใจ”
เมื่อถึงเวลาอาหารค่ำที่แสนสมบูรณ์พูนสุข คนทั้งสองที่ไม่ได้กินข้าวร่วมกันเป็ครั้งแรกจึงดื่มกินด้วยกันอย่างเป็ธรรมชาติยิ่ง แต่อวิ๋นซีกลับทนรับกับการกระทำที่แปลกประหลาดของบุรุษผู้นี้ไม่ไหว จึงได้แต่หยุดมองเนื้อเ่าั้ในถ้วยตน ก่อนจะกัดฟันพูด “จวินเหยียน ข้าคีบกับเองได้”
“หากเ้ารู้สึกเกรงใจมากนัก ก็ช่วยคีบให้ข้าบ้างก็ได้นะ” พูดจบเขาก็วางถ้วยตนลงตรงหน้านาง เพื่อเป็การส่อความหมายให้นางคีบกับให้ตน มิหนำซ้ำยังแสดงท่าทางที่ราวกับจะบอกว่า หากเ้าไม่คีบให้ ข้าก็จะไม่กิน
เมื่อสาวใช้และผอจื่อ [5] ทั้งหลายที่ยืนเฝ้าอยู่นอกประตูได้เห็นฉากนี้เข้าก็พากันเบิกตากว้าง เดิมทีท่านอ๋องเป็คนรักความสะอาด ในยามปกติหากเสวยสิ่งใดก็จะไม่อนุญาตให้มีสาวใช้รอรับใช้อยู่ในห้อง แม้วันนี้จะเป็การร่วมเสวยกับพระชายาก็เถอะ เพราะอย่างไรเสียคนทั้งสองก็เป็สามีภรรยากันแล้ว ทว่าท่านอ๋องถึงกับคีบอาหารให้พระชายาด้วยตนเอง แล้วพระชายายังขานพระนามของท่านอ๋องโดยตรงอีกด้วย ยิ่งกว่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ท่านอ๋องยังถึงกับขอให้พระชายาช่วยคีบอาหารให้ตนด้วยท่าทางที่แฝงไว้ด้วยความประจบประแจงอยู่หลายส่วน
ใช่แล้ว สีหน้าของจวินเหยียนที่บรรดาสาวใช้เห็นอยู่ในขณะนี้คือการประจบ
พวกนางต่างพากันคาดคะเนไปต่างๆ นานาเกี่ยวกับนายหญิงคนใหม่ผู้นี้อยู่เพียงในใจ ซึ่งคนที่ก่อนหน้านี้มีความคิดเป็อื่นต่อนางด้วยเห็นว่าคนเป็แค่หมอหญิงต่ำศักดิ์ต่างก็ริเริ่มมองนางใหม่แล้ว เนื่องด้วยสตรีที่ท่านอ๋องยืนหยัดจะแต่งด้วยคงเป็เพราะพระองค์ต้องทรงรักใคร่เป็อย่างยิ่งแน่ และวันนี้ที่ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ทุกสิ่งก็เป็เช่นนั้นจริงๆ
อวิ๋นซีมองเขาไปทีหนึ่ง สุดท้ายก็ยอมรับในชะตากรรมด้วยการคีบผักกาดขาวและผักอีกนิดหน่อยลงในถ้วยเขา การที่นางได้รู้จักมักคุ้นกับเขามาหลายวันช่วยให้นางได้รู้จักจวินเหยียนผู้นี้เป็อย่างดีแล้ว เขาเป็คนที่หากมิใช่เนื้อก็จะไม่ชอบกินเอาเสียเลย แม้แต่ในตอนที่พักอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านสกุลโจว เขายังถึงกับต้องขึ้นเขาไปล่าสัตว์ นั่นก็เพื่อจะได้มีเนื้อกิน
———————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ยามโหย่ว(酉时)่เวลาห้าโมงเย็นถึงหนึ่งทุ่ม
[2] ซินฝาง(新房)หมายถึง ห้องนอนสำหรับคู่แต่งงานใหม่
[3] พลับอ่อน(软柿子)หมายถึง คนที่อ่อนแอถูกรังแกได้ง่าย
[4] พยาธิในท้อง(肚子里的蛔虫)เปรียบเทียบถึงคนที่รู้ความคิดของผู้อื่นเป็อย่างดี
[5] ผอจื่อ(婆子)หมายถึง คนรับใช้ที่เป็หญิงมีอายุ