องครักษ์ทั้งห้าก็อึ้งไปเช่นกันในสายตาของพวกเขา เด็กกลุ่มนี้ไม่มีทางเลือกอื่นมีเพียงการยอมมอบตัวแต่โดยดีเท่านั้นหากสามารถต่อต้านหรือขัดขืนได้บ้างแม้เพียงเล็กน้อยแค่นั้นก็นับเป็ความกล้าที่มากมหาศาลแล้ว
แต่พวกเขาคิดไม่ถึง และคิดไม่ออกด้วยว่าเด็กกลุ่มนี้ไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกล้าเป็ฝ่ายจู่โจมพวกเขาก่อนเช่นนี้
บางที อาจเป็เหมือนที่โบราณว่าไว้...วัยแรกรุ่นมุทะลุ ก็เหมือนกับลูกวัวที่ไม่กลัวเสือขย้ำ
พวกเขามองหน้ากันครู่หนึ่ง ความหมายที่ส่งผ่านมาทางสายตาชัดเจนมากวันนี้พวกเขาจะสอนให้พวกเด็กรุ่นกลุ่มนี้รู้เอง ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเหนืุ์มียอดมนุษย์...
ระลอกแห่งพลังปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่ององครักษ์ทั้งห้าะเิพลังิญญาออกมาอย่างเต็มที่ในที่สุด
“ฉางอัน!” เซี่ยโหวฟ่งอวี้ะโเรียก
“อืม” ซูฉางอันขานรับเขาเข้าใจความหมายที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้้าจะสื่อแล้ว...แทนที่จะทำให้นิ้วทั้งสิบได้รับาเ็ สู้ตัดนิ้วหนึ่งทิ้งไปเลยจะดีกว่าแม้จะโจมตีทั้งห้าคน ก็ไม่อาจทำอันตรายต่อพวกเขาได้สู้พุ่งการโจมตีไปที่คนเพียงคนเดียวดีกว่า...
เพียงพริบตาเดียวคนทั้งสองกลุ่มก็ปะทะเข้าด้วยกันแล้ว
ซูฉางอันพุ่งเข้าไปหาองครักษ์สองคนทางด้านซ้ายมือแล้วเหวี่ยงดาบที่หลอมขึ้นมาจากพลังแห่งคมดาบออกไปพร้อมกับสายลมที่ดังหวีดหวิว
เซี่ยโหวฟ่งอวี้พุ่งเข้าไปรับมือกับองครักษ์สองคนทางด้านขวามือนางตวาดเสียงแหลม ขณะที่ประกายแสงจากคมกระบี่ก็พุ่งตามไปเป็เงา เพียงพริบตาเดียวลำแสงแห่งกระบี่ก็ครอบคลุมร่างขององครักษ์ทั้งสองเอาไว้เสียแล้วนี่เป็กระบวนที่สองของวิชา ‘ มาลุตวสันต์’ วิชากระบี่ที่อวี้เหิงสอนให้ซึ่งมีนามว่าท่าวายุลูบเถาหลิวนั่นเอง
ลิ่นหยูพุ่งเข้าไปหาองครักษ์หนึ่งในนั้นโดยตรงเขาเพิ่มความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆคล้ายเป็วัวชนที่จมเข้าสู่ความโกรธเกรี้ยวอย่างไรอย่างนั้นทางด้านกู่หนิงกับซูโม่ พวกเขาเปลี่ยนพลังิญญาให้กลายเป็พลังโจมตีแล้วส่งพลังเ่าั้เข้าไปโจมตีองครักษ์ที่อยู่ตรงกลางอย่างต่อเนื่องพวกเขาปิดทางหนีทีไล่ขององครักษ์ผู้นี้เอาไว้จากทุกทางแล้ว
แสงหนึ่งประกายวาบขึ้นในแววตาขององครักษ์ทั้งห้ากลยุทธ์ศึกเช่นนี้นับว่าเยี่ยมยอดไม่เบาเลย
ให้คนสองคนที่แข็งแกร่งมากที่สุดถ่วงกำลังส่วนมากเอาไว้จากนั้นก็ให้คนอื่นๆ รุมโจมตีศัตรูอีกคนโดยอาศัยความได้เปรียบเื่จำนวนคนวางแผนศึกที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ด้วยเวลาสั้นๆ ช่างน่ายกย่องเสียจริง
เพียงแต่ ในบางครั้งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมากกว่าตนอย่างสิ้นเชิงไม่ว่าจะมีกลยุทธ์ทางการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมมากขนาดไหนก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี
องครักษ์ที่อยู่ในตำแหน่งตรงกลางหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นะเืเขาคำรามเสียงดังลั่นขึ้น ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาคิดไปเองหรือเปล่าแต่ดูเหมือนร่างขององครักษ์คนนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมมาก เขายกมือขึ้นไม่คิดจะหลบเลี่ยง หรือหลบหนีไปเลยแม้แต่น้อยกลับเตรียมจะรับการโจมตีที่ทรงพลังของลิ่นหยูเอาไว้เสียอย่างนั้น
พลังโจมตีของกู่หนิงกับซูโม่เองก็ไม่อาจทำอันตรายต่อร่างกายของเขาได้ไม่ต่างไปจากมดตัวน้อยที่คิดจะโค่นต้นไม้เลยการโจมตีของพวกเขาฝ่าเข้าไปในม่านพลังที่ปกคลุมร่างกายขององครักษ์คนนั้นเอาไว้ไม่ได้ด้วยซ้ำทางด้านลิ่นหยูเอง แม้การโจมตีของเขาจะแลดูทรงพลังเป็อย่างมากแต่ก็ทำอะไรองครักษ์คนนั้นไม่ได้เหมือนกันองครักษ์เพียงถอยหลังไปแค่สองก้าวเท่านั้น ก็กลับมายืนอย่างมั่นคงได้แล้ว
อีกด้านองครักษ์ที่ปีกซ้ายและขวาต่างก็เบี่ยงหลบไปทางด้านหลังทำให้หลบจากการโจมตีของซูฉางอันและเซี่ยโหวฟ่งอวี้ไปได้จากนั้นก็หันกลับไปมององครักษ์ที่อยู่ในตำแหน่งตรงกลางอีกครั้งเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จึงประกายรอยยิ้มเหยียดหยามขึ้น
แต่ความได้ใจเช่นนี้กลับคงอยู่เพียงไม่นานเท่านั้นเพราะวินาทีที่พวกเขาเบี่ยงหลบไปทางด้านหลัง ซูฉางอันกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้ก็หมุนปลายดาบและคมกระบี่ไปที่องครักษ์ที่อยู่ในตำแหน่งตรงกลางอย่างฉับพลัน
ในตอนนั้นเองในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็เพียงการจัดฉากเท่านั้นแต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ต่างหาก จึงเป็สิ่งที่พวกเขาอยากทำมาั้แ่แรก
พวกเขารีบพุ่งตัวกลับเข้ามาด้วย้าจะให้ความช่วยเหลือองครักษ์อีกคน แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว
เซี่ยโหวฟ่งอวี้เป็นักรบระดับเก้าดาราแม้จะมีระดับพลังิญญาที่อ่อนแอกว่าองครักษ์ตรงหน้า แต่กระบี่ที่นางกำลังถืออยู่เป็ถึงกระบี่ที่มหาจักรพรรดิประทานให้ด้วยตนเอง... กระบี่โยวอวี้วิชากระบี่ที่ฝึกฝนอยู่ วิชามาลุตวสันต์เองก็เป็วิชากระบี่ที่อวี้เหิงคิดค้นขึ้นเอง ทั้งสองสิ่งนี้ ล้วนทรงพลังและไม่ธรรมดาเป็สิ่งที่นักกระบี่ทุกคนใฝ่ฝันจึงสามารถทดแทนจุดด้อยเื่พลังของนางได้อย่างสบายๆ เลย
ทางด้านซูฉางอันเองแม้วิชาดาบของเขาจะแลดูยุ่งเหยิง วุ่นวายไปหมดทั้งยังมีระดับพลังที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแต่ปราณดาราในร่างของเขาเป็สิ่งที่ได้รับมาจากนักรบระดับดาราจักรมันจึงมีพลังที่ไม่ธรรมดา หาใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะรับมือได้ไม่
แค่กระบวนแรกองครักษ์ที่ตำแหน่งตรงกลางก็ถูกกระแทกจนกระเด็นออกไปหลายเมตรแล้วร่างของเขาร่วงลงที่ข้างคุณชายหวังผู้เป็เ้านาย จากนั้นก็สลบเหมือดไปในที่สุด
หลังโจมตีสำเร็จทั้งห้าก็ถอยกลับออกมาทันที
พวกเขาไม่มีท่าทางว่าอยากจะต่อสู้ต่อไปเลยสักนิดเมื่อการโจมตีเป็ผล ทั้งหมดก็ถอยกลับออกไปรวมกันแล้วมองไปยังองครักษ์อีกสี่คนที่เหลืออย่างระแวดระวังทันที
กลยุทธ์นี้ เป็ความคิดของลิ่นหยูคนร่างใหญ่ที่มักจะเก็บตัวเงียบอยู่เสมอนั่นเอง นักสู้ที่พูดน้อยบ่นน้อยคนนี้แสดงความสามารถด้านการวางแผนที่ยอดเยี่ยมของตัวเองให้เห็นั้แ่ตอนยังอยู่ในดินแดนทางเหนือแล้ว
องครักษ์ทั้งสี่มองวัยรุ่นสี่คนตรงหน้าด้วยใบหน้าบูดบึ้งขณะที่เสียงก่นด่าของผู้เป็เ้านายก็แว่วมาข้างหูในที่สุดพวกเขาก็เลิกประมาทศัตรู แล้วตั้งท่าว่าจะพุ่งเข้าโจมตีทันที
ซูฉางอันกับพวกไม่ได้ลดความระแวดระวังลงเพียงเพราะจัดการองครักษ์ไปได้หนึ่งคนเลยสักนิดเพราะพวกเขารู้ดีว่าที่สามารถโจมตีศัตรูได้สำเร็จเป็เพราะกลยุทธ์อันแสนยอดเยี่ยมและความประมาทของอีกฝ่าย ทว่าในตอนนี้ความได้เปรียบของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับองครักษ์ที่มีพลังอยู่ในระดับเก้าดาราขั้นสูงสี่คนไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ยังไม่พ้นขีดอันตรายอยู่ดี
เห็นได้ชัดว่าองครักษ์เ่าั้โมโหมากพวกเขาพุ่งเข้ามาหาพร้อมกับสีหน้าบูดบึ้ง ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำทั้งยังส่งพลังโจมตีที่คมเฉียบและรุนแรงออกมาทันทีที่ลงมือซูฉางอันกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้จึงพร้อมใจกันเข้าไปบังร่างของกู่หนิงกับพวกเอาไว้
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่มีพลังิญญาเต็มเปี่ยมทั้งยังมีกระบี่ชั้นดีอย่างโยวอวี้คุ้มกายสามารถรับมือกับการโจมตีได้อย่างราบรื่นมาก
แต่ทางด้านของซูฉางอันนอกจากจะมีพลังิญญาที่อ่อนแอแล้ว ในมือยังมีเพียงดาบที่สร้างขึ้นจากพลังแห่งคมดาบซึ่งไม่มีตัวตนอยู่จริงอีก เขาจึงจมเข้าสู่ความอันตรายในพริบตา
ป้องกันการโจมตีได้เพียงไม่กี่รอบที่ไหล่และแขนก็ได้รับาเ็เสียแล้ว นี่ยังถือว่าองครักษ์ทั้งสี่ยอมออมมือให้เพราะเห็นว่าคนที่เข้ามาในหอหมู่ตันได้ย่อมเป็คนที่มีฐานะสูงส่งไม่เบาไม่เช่นนั้นป่านนี้ซูฉางอันคงได้รับาเ็สาหัสจนไม่อาจรับศึกได้อีกต่อไปแล้ว
แต่ถึงกระนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็ยังเลวร้ายมากอยู่ดี หากยังเป็แบบนี้ต่อไป อีกไม่เกินสิบนาทีพวกเขาต้องพ่ายแพ้ และถูกคุมตัวแน่
“ท่านโหวเยน้อยแห่งตระกูลหวังท่านช่างใจกล้าเสียจริงถึงได้กล้าลงไม้ลงมือกับองค์หญิงใหญ่แห่งแผ่นดินต้าเว่ยและลูกศิษย์ของยอดนักดาบเช่นนี้” ในตอนนั้นเอง จู่ๆเสียงที่เต็มไปด้วยความเกียจคร้านก็ดังลงมาจากชั้นสอง
ผู้คนภายในร้านต่างสะดุ้งใไปตามๆกัน เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองจึงพบว่าหญิงในชุดในเครื่องแบบของหอหมู่ตันกำลังเดินนำชายคนหนึ่งลงมาจากชั้นบนอย่างเชื่องช้าชายคนนั้นมีใบหน้าขาวประดุจหิมะ ทั้งยังมีรูปลักษณ์ค่อนไปทางสตรีอีกด้วยเขาจับพัดเอาไว้ในมือ ท่าทางในการพัดของเขาอ่อนช้อยมีความเป็สตรีอยู่มากเหลือเกิน
แต่กลับไม่มีลูกค้าคนไหนกล้าวิพากษ์วิจารณ์ท่าทางของชายคนนี้เลยสักคนทันทีที่ชายคนนี้ปรากฏตัวขึ้น พวกเขาก็ประกายความตกตะลึงออกมาอย่างพร้อมเพรียงจากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็เคารพนอบน้อมในเวลาต่อมาซึ่งท่าทางเช่นนั้นอาจออกมาจากความจริงใจหรืออาจเป็เพียงการเสแสร้งก็ได้
“ทำความเคารพท่านประมุข” คนเฝ้าประตู แม่เล้า พนักงานภายในร้านหรือแม้แต่หญิงสาวภายในหอต่างก็คุกเข่าลง แล้วพูดขึ้นอย่างพร้อมเพรียง
“ลุกขึ้นเถอะ” ชายคนนั้นโบกมือด้วยท่าทางเกียจคร้านจากนั้นก็เดินผ่านร่างของซูฉางอันกับพวกจนไปหยุดอยู่หน้าคุณชายหวังในที่สุด
ในที่สุดซูฉางอันก็มองเห็นชัดๆ เสียทีที่แท้หญิงที่เดินนำทางให้ชายคนนี้ก็คือแม่นางหรูเยี่ยนที่เคยนั่งร่วมโต๊ะกับพวกเขานั่นเองเมื่อลองคิดไตร่ตรอง ซูฉางอันก็เข้าใจได้ในทันทีแม่นางหรูเยี่ยนคงจะดูออกว่าพวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ขององครักษ์พวกนั้นจึงเดินทางไปเชิญชายคนนี้ลงมานั่นเอง เมื่อคิดได้ดังนั้นซูฉางอันก็อดรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของแม่นางหรูเยี่ยนไม่ได้
อาจเป็เพราะเห็นแก่หน้าของชายคนนี้หรืออาจเป็เพราะเกรงกลัวในตำแหน่งของซูฉางอันกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้ในที่สุดคุณชายหวังก็โบกมือเป็เชิงให้องครักษ์เ่าั้ถอยกลับมาพลางกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง “ที่ท่านประมุขพูดเป็เื่จริงรึ?”
“หึๆ คุณชายหวังถ่อมตัวเกินไปแล้วกระบี่โยวอวี้ขององค์หญิงใหญ่ กับพลังแห่งดาบของมั่วทิงอวี่ ข้าจะจำผิดได้เยี่ยงไร” ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาปิดปากที่แดงราวกับถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ
ในที่สุดคุณชายหวังก็หน้าเสียไป เขากลอกตาไปมาราวกำลังครุ่นคิดเื่บางอย่างจากนั้นจึงกัดฟันกรอด ประสานมือในท่าทำความเคารพ แล้วพูดกับซูฉางอันและพวกในที่สุด “ข้ามีตาหามีแววไม่ทำให้องค์หญิงต้องเสียขวัญ ทำลายความสำราญของคุณชายซู ถือเป็การล่วงเกินหวังว่าทั้งสองท่านจะไม่ถือสา!”
หลังสิ้นเสียงกล่าวซูฉางอันกับพวกก็ชะงักอึ้งไปในทันที คิดไม่ถึงเลยว่าเื่จะกลายมาเป็เช่นนี้ได้
“เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะเนอะ?” ซูฉางอันพูดขึ้น
“ขอบใจคุณชายซู” คุณชายหวังทิ้งความผยองและทิฐิของตัวเองไปเขาโค้งตัวให้ซูฉางอันกับพวกอีกครั้งจากนั้นก็พาสหายและองครักษ์เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย
“สมแล้วที่เป็บุตรของหวู่อันโหวคุณชายหวังมีจิตใจกว้างขวางจริงๆ น่ายกย่องยิ่งนัก” ชายผู้เต็มไปด้วยความอ่อนช้อยประดุจสตรีมองตามร่างของคุณชายหวังที่เดินจากไปไกลพลางปรบมือไปด้วย แต่เมื่อพูดมาจนถึงตรงนี้ จู่ๆเขาก็หันมามองที่ซูฉางอันกับพวกอย่างกะทันหัน และมีสีหน้าเย็นะเืขึ้นในพริบตา “เช่นนั้น คุณชายซู องค์หญิงได้เวลามาคิดบัญชีของหอหมู่ตันกันแล้ว!”
ซูฉางอันกับพวกที่เพิ่งรู้สึกโล่งอกไปทีะเิความกังวลขึ้นมาอีกครั้งดูจากท่าทางที่คุณชายหวังมีต่อชายคนนี้แค่นี้ก็รู้แล้วว่าชายคนนี้ต้องรับมือลำบากกว่าองครักษ์พวกนั้นหลายเท่าเลย
ซูฉางอันมองไปยังชายคนนั้นด้วยคิ้วขมวดมุ่น “คิดบัญชีเื่อะไร?”
ชายตรงหน้าประกายรอยยิ้มออกมามันเป็รอยยิ้มที่ยั่วยวนเหลือเกิน หากรอยยิ้มเช่นนี้เป็ของหญิงคนใดคนหนึ่งนั่นต้องเป็อะไรที่งดงามมากแน่ๆ แต่เมื่อเ้าของรอยยิ้มเป็ชายเช่นนี้แล้วมันกลับทำให้ภาพตรงหน้าแลดูประหลาดมากเหลือเกิน
“เื่งานประมูลยอดบุปผาแห่งหอหมู่ตันอย่างไรเล่า” พอพูดจบเขาก็ปรายตามองไปที่ฝานหรูเยว่ที่ข้างๆซึ่งใกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนสติหลุดลอยออกไปจากร่างแวบหนึ่ง
“หมายความว่ายังไง?” ซูฉางอันไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่
“คุณชายซูจะทำยังไงกับแม่นางฝานหรูเยว่?” ชายคนนั้นกล่าวถาม
“แน่นอนว่าต้องพานางออกไปด้วย” ซูฉางอันพูดออกมาอย่างง่ายดายราวกับนี่เป็เื่ที่สมเหตุสมผลมากที่สุดในโลกเช่นนั้น
“หากจะพาคนของหอหมู่ตันออกไปย่อมต้องปฏิบัติตามระเบียบของหอหมู่ตัน” ชายคนนั้นหรี่ตาลงพลางกล่าวขึ้นอีกครั้ง
คนที่คุ้นเคยกับเขาย่อมรู้ดีว่าหากประมุขแห่งหอหมู่ตันหรี่ตาลงเช่นนี้แปลว่าเขารู้สึกอารมณ์ไม่ดีจนถึงขีดสุดแล้ว และตอนที่อารมณ์ไม่ดีคนที่ทำให้เขาอารมณ์เสียย่อมต้องรับเคราะห์อย่างไม่ต้องสงสัยเลย
หรูเยี่ยนที่อยู่ข้างๆส่งสายตาเป็เชิงไปให้ซูฉางอันอย่างร้อนใจอาจเป็เพราะท่าทางตอนที่ซูฉางอันลุกยืนท่ามกลางฝูงคนเหมือนกับภาพที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของหัวใจของนางมากจนเกินไป ดังนั้นนางจึงทนเห็นซูฉางอันลำบากไม่ได้นั่นเอง
แต่ดูเหมือนซูฉางอันจะไม่รับรู้ถึงการเตือนของหรูเยี่ยนเลยแม้แต่น้อยเขาเอียงคอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวขึ้น “แต่ระเบียบของพวกเ้าไม่ถูกต้อง”
เมื่อได้ยินดังนั้นชายคนนั้นก็ะเิเสียงหัวเราะออกมา
“คุณชายซูช่างเป็คนที่น่าสนใจจริงๆหากมีเวลาว่าง ข้าต้องหาโอกาสมานั่งคุยกับท่านให้ได้เลย” ชายคนดังกล่าวพูดขึ้น แต่เพียงไม่นานน้ำเสียงผ่อนคลายเช่นนี้ก็หายไปเสียแล้ว เสียงของเขาเย็นะเืลงอีกครั้ง “แต่ข้าอยากให้คุณชายซูเข้าใจอะไรเอาไว้อย่างหนึ่งกฏระเบียบ ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นโดยคนที่ถูกต้อง แต่ถูกสร้างโดยคนที่แข็งแกร่งต่างหาก!”
“ส่วนคนที่อ่อนแอก็มีหน้าที่ต้องทำตามกฏเท่านั้น” ชายคนนั้นกล่าวขึ้นพลันกลิ่นอายแห่งพลังที่มหาศาลและเย็นะเืก็กระจายออกมาจากร่างของเขาหอหมู่ตันมีอุณหภูมิลดลงหลายองศาในเสี้ยววินาทีทางด้านซูฉางอันกับพวกที่อยู่ในจุดศูนย์กลางของกลิ่นอายแห่งพลังนั้นบัดนี้ก็ไม่ต่างไปจากเรือน้อยที่แล่นอยู่ในทะเลกว้างท่ามกลางพายุหากไม่ระวังไปเพียงเล็กน้อย พวกเขาก็อาจจะจมลงสู่ท้องทะเลได้ทุกเมื่อเลย
ซูฉางอันรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังที่ชายคนนี้กระจายออกมาแข็งแกร่งกว่าพลังที่อินซานโจ๋วแสดงออกมาเมื่อวานหลายเท่าและเขาก็ไม่รู้ว่าในวันนี้ตนจะโชคดีเหมือนเมื่อวานหรือเปล่าไม่รู้ว่าฉู่ซีฟงจะปรากฏตัวขึ้นในยามอันตรายแล้วช่วยชีวิตตนเอาไว้อีกครั้งหรือเปล่า
แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงเพราะนอกจากเขาแล้ว ยังมีศิษย์พี่ และเพื่อนที่เป็คนบ้านเดียวกันอีก
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูฉางอันรู้สึกเสียใจที่ทำอะไรลงไปอย่างวู่วามและเป็ครั้งแรกที่เขารับรู้ได้ว่าในโลกใบนี้ไม่สามารถใช้เหตุผลตัดสินได้ทุกเื่ แต่เื่บางอย่างต้องตัดสินด้วยหมัดต่างหาก
“เช่นนั้นกฏระเบียบของเ้าคืออะไรกัน?” ซูฉางอันเริ่มขับเคลื่อนพลังิญญาระลอกสุดท้ายที่มีขึ้นแล้วส่งพลังไปครอบคลุมร่างของกู่หนิงกับพวกที่ยืนอยู่ทางด้านหลังซึ่งมีพลังค่อนข้างอ่อนแอเอาไว้แม้มันจะต้านพลังอันแสนเย็นะเืของชายคนนี้ไม่ได้ทั้งหมดแต่อย่างน้อยมันก็ช่วยลดพลังกดดันลงไปได้บ้าง
“กฎระเบียบของข้างั้นรึ? ข้าเป็พ่อค้าดังนั้นกฎของข้าก็ง่ายมาก ใครจ่ายมากกว่าคนนั้นก็เป็ฝ่ายได้ไป แต่ในวันนี้คุณชายซูทำลายกฎของข้า ข้าย่อมต้องทวงค่าเสียหายกลับคืนมาเ้าเป็ศิษย์หลานของท่านอวี้เหิง ข้าย่อมแตะต้องไม่ได้องค์หญิงเป็ธิดาหัวแก้วหัวแหวนของมหาจักรพรรดิ ย่อมแตะต้องไม่ได้เช่นกันเมื่อเป็เช่นนี้...” ชายคนนั้นเลิกคิ้วแล้วมองผ่านร่างของซูฉางอัน จากนั้นก็กวาดตามองกู่หนิงกับพวกที่อยู่ทางด้านหลังจนในที่สุด สายตาก็ไปหยุดลงที่ร่างของซูโม่ “สาวน้อยคนนี้ไม่เลวเลยทิ้งนางเอาไว้ที่นี่ ให้นางมาเป็ยอดบุปผาคนต่อไปของหอหมู่ตัน”