ฉินหยีหนิงก้มหัวลง เนื่องด้วยไม่อยากมีเื่กับล่าวไท่จุน นางจึงเพียงแค่กล่าวตอบสั้นๆ “เ้าค่ะ ”
ครั้นล่าวไท่จุนเห็นฉินหยีหนิงที่ดูเรียบร้อยเช่นนี้ นางย่อมรู้สึกโล่งอกกระนั้นยังไม่วายกำชับ “ถึงแม้ว่าจะพูดอย่างนี้ แต่เ้าอย่าลืมสิ่งที่ต้องเรียนก็รีบเรียนให้ได้เร็วที่สุด อีกสองวันพี่เจียเจี่ยร์ก็จะเข้าพิธีปักปิ่นแล้ว และอีกหนึ่งปีข้างหน้าเ้ากับหยีเจี่ยร์ก็ต้องเข้าพิธีปักปิ่นเช่นกัน ระหว่างนั้นข้าจะช่วยดูๆ เื่ครอบครัวสามีในอนาคตของพวกเ้าให้ หากเ้าเป็โคลนทำกำแพงไม่ได้ละก็ จะทำให้คนอื่นดูถูกเอานะ เื่งานแต่งต้องไม่ดีแน่นอน ข้าคร้านที่จะจัดการเื่ของเ้าแล้ว”
ฉินหยีหนิงเลียริมฝีปากของตน ยามที่เงยหน้ามองล่าวไท่จุนนางก็ฉีกยิ้มอย่างสงบเสงี่ยม “ที่ล่าวไท่จุนสอนมานั้น ข้าจะเรียนอย่างตั้งใจ และจะไม่ทำให้ท่านต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
ที่จริงแล้ว ใบหน้าของนางนั้นก็เหมือนแกะสลักออกมาไม่มีผิด ถึงแม้ว่าจะมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนให้หลงใหล แต่ประกายั์ตากลับบริสุทธิ์ใสกระจ่าง เมื่อฉีกยิ้มออกมา แก้มทั้งสองข้างได้บุ๋มลงเล็กน้อยกลายเป็ลักยิ้ม ทำให้นางดูน่ารักมากยิ่งขึ้น ล่าวไท่จุนเกือบจะใจอ่อนเพราะโดนเสน่ห์ลักยิ้มกับความเรียบร้อยอ่อนน้อมของนาง
ล่าวไท่จุนออกอาการเก้อเขิน ก่อนจะโบกมือกลบเกลื่อน “เ้าออกไปได้แล้ว”
“เ้าค่ะ หลานขอตัวลาเ้าค่ะ” ฉินหยีหนิงโค้งคำนับและหันหลังออกไป
ล่าวไท่จุนเอ่ยเสริมออกมาอย่างเกร็งๆ ประโยคหนึ่ง “หากมีปัญหาอะไร ก็มาหาแม่นมฉินนะ”
ฉินหยีหนิงฉีกยิ้มในทันที เป็รอยยิ้มที่ไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป ทั้งสีหน้าของนางก็คล้ายกับกำลังยินดีเมื่อได้รับความเอ็นดู “เ้าค่ะ ขอบพระคุณล่าวไท่จุน ”
ล่าวไท่จุนมองตามฉินหยีหนิงกระทั่งแผ่นหลังของเด็กสาวลับสายตา ถึงได้เกริ่นเริ่มคำถาม “หลู่จวน เ้าคิดว่าเด็กคนนี้เป็อย่างไร?”
หลู่จวนคือชื่อเล่นของแม่นมฉิน
แม่นมฉินก็ยิ้มออกมา พลางยกเครื่องทองเหลืองที่อุณหภูมิอุ่นกำลังดีส่งให้ล่าวไท่จุนอุ่นมือ จากนั้นยิ้มและออกความคิดเห็น “ล่าวไท่จุนตาดี ถึงได้คิดจะแกะสลักหยกเม็ดนี้ใช่หรือไม่? ถึงอย่างไร นางก็เป็ถึงทายาทหญิงที่แท้จริงของนายท่าน คุณสมบัติของนางนับว่าไม่เลว อีกอย่าง บ่าวรู้สึกว่า การที่นางสามารถเอาตัวรอดในสถานการณ์ยากลำบากมาจนถึงทุกวันนี้ นางต้องเป็คนที่เข้มแข็งและฉลาดเฉลียวอย่างแน่นอน”
ไม่เข้มแข็ง เด็กตัวเล็กแค่นั้นไม่สามารถมีชีวิตรอดได้ถึงหกปีหรอก ไม่ฉลาดเฉลียวพอ ก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตในสถานการณ์อันตรายอย่างในป่าเขาและรอดมาจนถึงวันนี้ได้เช่นกัน
ล่าวไท่จุนถอนหายใจ กล่าวต่ออีกว่า “ความรู้สึกของข้าที่มีต่อนางนั้นช่างซับซ้อนนัก หรืออาจจะเป็เพราะเืเนื้อเชื้อไขกระมัง...เื่ของฮุ่ยเจี่ยร์นั้นจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ? พวกเ้าต้องดูให้ละเอียดหน่อยนะ อย่าทำให้ฮุ่ยเจี่ยร์ต้องเสียใจล่ะ”
แม่นมฉินเมื่อได้ยินที่ล่าวไท่จุนพูดก็ไม่ได้เก็บสิ่งใดมาขบคิด ถึงพูดออกไปก็ไม่รู้จะพูดอะไร ทำได้แค่ยิ้มตอบก็เท่านั้น
เมื่อฉินหยีหนิงออกจากบ้านหลังใหญ่ และเดินเข้าไปในสวน นางก็รู้สึกว่ามีสายตาอาฆาตคอยจ้องมองอยู่ข้างหลัง ทันใดนั้นนางก็หันหลังไปดู ทว่าสิ่งที่เห็นเป็เพียงแค่หน้าต่างซึ่งปกคลุมด้วยม่านครึ่งหนึ่ง มิหนำซ้ำก็ไม่เห็นว่าจะมีใครยืนอยู่ตรงนั้น
อย่างไรก็ตาม เป็คนย่อมไม่กลัวที่จะโดนยุงกัด ในบ้านนี้มีตั้งหลายคนที่เกลียดนาง อีกอย่างเด็กสาวก็ไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าคนที่มองอยู่นั้นเป็ใคร นางเดินเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว และออกจากเรือนสื่อเซี่ยว
รอให้ฉินหยีหนิงเดินออกไปไกลแล้ว ฉินฮุ่ยหนิงถึงได้ทิ้งผ้าเช็ดหน้าที่โดนบิดจนเป็เกลียวลง บ่าวปี้ถงก็รีบส่งแก้วน้ำผึ้งอุ่นๆ ให้นางทันที “คุณหนูอย่าโมโหเลยเ้าค่ะ ก็แค่เด็กป่าอ่อนหัดผู้หนึ่งเท่านั้น”
ฉินฮุ่ยหนิงถอนหายใจ พลางหยิบแก้วน้ำผึ้งอุ่นๆ ขึ้นมาดื่ม ความหวานฉ่ำของน้ำผึ้งทำให้นางรู้สึกดีขึ้น นางครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ จึงเอ่ยขึ้นมา “แม่นม”
ช่ายซื่อยิ้มและพูดตอบรับ “คุณหนูมีอะไรให้รับใช้เ้าคะ?”
“ข้าจำได้ว่า ท่านกับบ่าวคนสนิทของท่านแม่ที่ชื่อแม่นมจินคุยกันอยู่หลายประโยค”
ช่ายซื่อเป็หลานสาวของแม่นมจิน
“ก็ปกตินะเ้าคะ คุณหนูมีอะไรหรือเ้าคะ”
“เ้ามานี่ มา” ฉินฮุ่ยหนิงเรียกช่ายซื่อให้มาเบื้องหน้าของนาง พลางกระซิบอยู่หลายประโยค
เมื่อฉินหยีหนิงออกจากเรือนสื่อเซี่ยวไปแล้ว นางยังไม่ทันได้ดูสภาพแวดล้อมตรงหน้าให้ชัดเจนนัก ก็มีเด็กสาวมาคำนับอยู่เบื้องหน้า อีกฝ่ายคือผู้ที่แนะนำแม่นมจินให้นางรู้จัก เด็กสาวแย้มยิ้มขณะพูดทักทาย “สวัสดีพี่สี่ ข้าชื่อป่าวหนิง อยู่ลำดับที่แปดของตระกูล พ่อของข้าคือนายท่านสาม ใช่แล้ว! ผู้ที่โดนล่าวไท่จุนต่อว่าเมื่อครู่นั้นคือพี่ชายของข้าเอง”
ฉินป่าวหนิงเพิ่งช่วยนาง และบวกกับฉินหานที่ดูแลอารักขานางในระหว่างทาง อีกทั้งการพูดที่ร่าเริงและตรงไปตรงมาของคู่สนทนา ทำให้นางรู้สึกชื่นชอบป่าวหนิงเป็อย่างมาก
ฉินหยีหนิงเรียนรู้วิธีการคำนับของฉินป่าวหนิงเมื่อสักครู่ และคืนคำนับกับนาง “สวัสดีจ้ะ น้องป่าวหนิง”
ฉินป่าวหนิงยิ้มอย่างร่าเริง “พี่สี่เพิ่งกลับมา ในจวนนี้ทุกอย่างพี่ยังไม่เข้าใจ ถ้ามีเื่อะไรมาหาข้าได้นะ ข้าอาศัยอยู่กับพี่สามที่เรือนชุ่ยเวย” นางเอ่ยปากพลางดึงแขนฉินเจียหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ พร้อมกล่าวแนะนำ “ท่านนี้คือพี่สาม”
ฉินเจียหนิงดึงมือที่ถูกฉินป่าวหนิงกุมอยู่ จากนั้นะโออกมา “เ้าตัวป่วนเอ๊ย!” ตามด้วยถ้อยคำอีกประโยค “เ้าพูดมากขนาดนี้ ไม่กลัวพี่สี่ของเ้ารำคาญหรืออย่างไร ”
ฉินป่าวหนิงแลบลิ้นทะเล้น แต่กลับไม่ได้โต้ตอบคำใด
ฉินเจียหนิงจึงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “เด็กคนนี้ลากข้าเพื่อมารอเ้าที่นี่ให้ได้เลย ข้าบอกกับนางแล้วว่า รอให้เ้าจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน พวกเราค่อยไปก่อกวนเ้า แต่นางไม่ฟังข้าสักนิด กลับรีบมาและได้เอ่ยอยู่แค่สองประโยค ก็ต้องจากกันแล้วนี่? แม่นมจินกำลังรออยู่นะ รอให้น้องสาวสี่จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยมาเจอกันอีกนะ”
“ที่พี่สามพูดก็ถูก รอให้ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ข้าอาจจะไปก่อกวนเ้าเมื่อไรก็ได้” เพราะฉินหยีหนิงต้องใช้เวลาในการคิดทำให้นางพูดช้าอยู่บ้าง น้ำเสียงที่พลิ้วไหวของนาง เมื่อได้ยินแล้วกลับรู้สึกเสนาะหูยิ่งนัก
“พี่สี่ไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้นก็ได้ ไม่แน่ พวกเราเกิดทนไม่ไหวไปก่อกวนพี่ก่อนล่ะ!” ฉินป่าวหนิงหัวเราะพลางจับมือนาง
ฉินหยีหนิงเมื่อได้ยินที่นางพูด ก็หัวเราะขึ้นมาในทันที
จากนั้นไม่นาน ทั้งสามก็บอกลาแยกย้าย
เมื่อแม่นมจินเห็นคุณหนูทั้งสองเดินออกไป จึงยิ้มอ่อนพร้อมเดินไปเบื้องหน้า “คุณหนู พวกเราไปกันเถอะ”
ฉินหยีหนิงยิ้มและรีบเอ่ยออกมา “รบกวนแม่นม ที่รอข้านานแล้ว”
“การดูแลคุณหนูคือหน้าที่ของบ่าว ท่านอย่าเกรงใจเลยเ้าค่ะ”
แม่นมจินพาฉินหยีหนิงไปยังทิศทางซึ่งเป็ที่ตั้งของเรือนเสวี่ยลี่
จวนอัครมหาเสนาบดีมีเรือนอยู่สี่หลัง เรือนสื่อเซี่ยวที่ล่าวไท่จุนอาศัยอยู่นั้นใหญ่กว่าเรือนหลังอื่นๆ และตั้งอยู่ทิศตะวันตกของจวน เมื่อออกจากเรือนสื่อเซี่ยวเลี้ยวซ้าย เดินผ่านทางเดินที่ปูด้วยกระเบื้องหินอ่อน ตรงไปอีกเล็กน้อยทางฝั่งขวาก็คือประตูฉวนฮวาเหมิน
แม่นมจินกำลังชี้ไปยังประตูนั้น “ยามปกติ คุณหนูอย่าออกประตูสองเชียวนะเ้าคะ หากมีธุระจะต้องทำ ก็เรียกคนใช้ไปทำแทนได้ ประตูสองจะลงกลอนั้แ่ยามซวี (19:00 น. - 21:00 น.) และจะเปิดอีกครั้งเมื่อถึงยามเหม่า (05:00 น. - 07:00 น.) จะซื้ออะไร หาใคร อย่างไรคุณหนูต้องดูเวลาให้ดีนะเ้าคะ”
“ขอบพระคุณแม่นมจินที่แนะนำ”
แม่นมจินยังคงประดับรอยยิ้มบาง นางพาฉินหยีหนิงเดินผ่านกระเบื้องหินอ่อนยาวไปข้างหน้า ระหว่างทางนางชี้ไปยังเรือนสาม นั่นคือเรือนกว่างป๋อเอวี้ยน เรือนสองคือเรือนฉางหนิง
ระหว่างทางหลังจากที่ผ่านสวนดอกไม้ ก็จะพบกับทะเลสาบกว้างใหญ่ มีสะพานหินสีขาวเพื่อข้ามไปฝั่งตรงข้าม ในสระมีใบบัวซึ่งเหี่ยวแห้งอยู่เรียงราย แต่กลับทำให้คนเห็นนึกถึงฤดูร้อนอย่างอดไม่ได้ ความงามของต้นหลิวและท้องฟ้าสีครามกระจ่างกว้างใหญ่ไพศาล อันเป็ทิวทัศน์เื้ัใบบัวเขียวขจี เมื่อมองดูอย่างละเอียด จะเห็นธารน้ำใสไหลผ่าน มันคือน้ำที่ไหลจากนอกจวน มองไปข้างหน้าสู่จูหลานหินขาว หลังคารูปทรงสวยงาม มองใกล้ๆ เห็นดอกไม้และต้นไม้เรียงราย คอยช่วยให้แสงส่องมาที่พื้นนั้นเบาบางลง และมีเพียงสวนแห่งนี้เท่านั้นที่มีความหรูหรางดงาม ซึ่งฉินหยีหนิงไม่เคยได้เห็นเลยในชีวิตนี้
สีหน้าชื่นชอบของฉินหยีหนิงทำให้แม่นมจินแอบมองนางอยู่บ้าง ผ่านสวนหลังบ้าน แม่นมจินชี้ไปยังตึกชุ่ยเวย เมื่อเลี้ยวไปอีกนิด ก็จะเห็นเรือนของนายท่านและฮูหยินอาศัยอยู่คือเรือนซิ่งหนิง แต่อีกฝ่ายกลับพานางไปยังทิศทางที่ตรงกันข้าม
ยิ่งเดินไปเท่าไร ก็ยิ่งไกลมากขึ้นไปอีก และเมื่อเดินตรงไปยังจุดสิ้นสุดของทางเดิน มองเห็นผนังกำแพงด้านหลังของจวนแล้ว นางถึงได้เปิดประตูพร้อมเปิดปาก “นี่คือเรือนเสวี่ยลี่”
หลังก้าวพ้นประตูใหญ่ เมื่อเข้าเขตเรือนจะมีอาคารเล็กๆ ทางเดินแคบๆ โรยด้วยหินกรวดไปจนถึงระเบียงบ้าน ในเขตเรือนมีต้นไผ่อยู่หลายกอ มีต้นสาลี่อยู่มากมาย อีกทั้งยังมีต้นหวายแก่และใหญ่มาก มีห้องอยู่สามห้อง ห้องฝั่งทิศตะวันออกมีสองห้อง และอาคารข้างหลังมีอีกสามห้อง มีลานขนาดเล็ก สภาพบรรยากาศโดยรวมดูหดหู่เล็กน้อย
“ลานแห่งนี้มีความสดใหม่และสง่างาม ซึ่งเหมาะสมกับคุณหนูที่สุดแล้ว เนื่องจากการจัดการอย่างกะทันหันของล่าวไท่จุน ทำให้ไม่ทันหาคนมาทำความสะอาด บ่าวกำลังจะสั่งให้ไปหาคนมาทำเดี๋ยวนี้ พร้อมทั้งจะพาบ่าวที่ฮูหยินได้จัดแจงไว้มาแนะนำให้คุณหนูรู้จัก คุณหนูพักผ่อนรออยู่ที่นี่ก่อนเถิดเ้าค่ะ”
แม่นมจินเอ่ยด้วยความสุภาพมาก
ฉินหยีหนิงได้แต่พยักหน้าขอบคุณเท่านั้น
แต่ว่านางก็พอเข้าใจ หากให้ความสำคัญกับนางจริงๆ คงไม่ให้นางมาอาศัยอยู่หลังจวนห่างไกลจากผู้คน นอกจากนั้นก็คงจะทำความสะอาดก่อนพานางมาที่นี่ รวมถึงคงไม่ลงกลอนประตูเรือนด้วย
นี่คงจะเป็การแสดงอำนาจของพวกเขาต่อนางสินะ
อย่างไรก็ตาม สามารถมีบ้านแบบนี้ มันก็ยังดีกว่าอยู่ในถ้ำในเขากับอยู่ในกองฟางที่นางเคยอาศัยมาก่อนหน้า
ฉินหยีหนิงหาม้านั่งหินที่อยู่ถัดจากกอไม้ไผ่และนั่งรอ
ใครจะรู้ว่า ต้องนั่งรอเป็ชั่วโมง กระทั่งสีสันเจิดจ้าของท้องฟ้าเหมือนกำลังใกล้ถึงตอนเที่ยงแล้ว ฉินหยีหนิงอยากจะเรียกผู้คน แต่นางไม่รู้ว่าในบ้านหลังนี้สามารถเรียกหาใครได้บ้าง โชคดีที่นางฝึกความอดทนจากการล่าสัตว์เป็เวลาหลายปี ทำให้นางมีความอดทนอย่างมาก นางจึงนั่งนิ่งๆ บนม้านั่งหินอย่างสง่างาม
ลมหนาวพัดผ่านไป และใบไผ่ร่วงเป็ระยะๆ หญิงสาวสวมชุดสีเหลืองกำลังนั่งหลับตาอยู่ภายใต้แสงแดดสดใสยามบ่าย พื้นหลังคือสีเขียวไม้ไผ่ ทำให้เห็นเหมือนภาพวาดที่ดูอ่อนนุ่มลง
ผมยาวดำสลวยพัดพลิ้วระต้นคอเรียวของนาง ผิวพรรณบริเวณนั้นก็ขาวสะอาด ใบหน้าด้านข้างก็ดูพิไลน่ามอง
ภาพดังกล่าวปรากฏอยู่ในสายตาของคนสองคนซึ่งหมอบอยู่บนหลังคา
ผู้ที่มีลักษณะคล้ายหัวหน้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีอ่อน มีใบหน้างดงาม คิ้วเรียวยาว ั์ตาดังหงส์ทว่าดูเ็าและลึกลับราวกับค่ำคืนหนาวเย็นซึ่งมีเพียงดวงดาวส่องแสง เขามีริมฝีปากเรียวบาง สีหน้าไม่บ่งบอกถึงอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย ลักษณะท่าทางของเขาดูสง่างามและถือตัว ถึงกระนั้นดวงหน้าที่เขาไม่ต่างจากใบมีดคมกริบ ผู้คนได้ยลแค่ครั้งเดียวกลับต้องยอมก้มหัวไม่กล้าจะมองเขาซ้ำสอง
เขาเฝ้าดูฉินหยีหนิงอย่างเงียบๆ เป็ครู่ใหญ่กว่าจะถอยห่างจากบ้านฉินไปพร้อมกับองครักษ์ผู้ติดตาม การเคลื่อนไหวของพวกเขาไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย
ผู้คุ้มกันของเขามีอายุราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี เป็หนุ่มเต็มที่ สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน มัดผมยาวที่ด้านหลังศีรษะ ทำให้ดูทะมัดทะแมงมากยิ่งขึ้น
เมื่อออกจากจวนตระกูลฉินแล้ว เด็กหนุ่มเอ่ยถามเ้านายด้วยความอยากรู้ในทันควัน “นายท่าน ผู้หญิงคนนั้นเป็คนที่นายท่านกำลังตามหาอยู่ใช่หรือไม่?”
“ใช่”
“นางยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ นางช่างแข็งแกร่งจริงๆ! ท่านเจิ้งบอกว่าครั้งก่อนท่านเจอนางตอนอายุได้เจ็ดขวบ”
“ใช่”
“ตระกูลฉินนี่ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เลย ให้นางร้อนหนาวอยู่ข้างนอกคนเดียว แม้แต่เสื้อผ้าที่อุ่นก็ไม่ให้ ยังดีนะที่นางอดทนมาได้”
“ใช่”
“ก็ใครให้นางเกิดเป็ทายาทของฉินเิล่ะ สมน้ำหน้า! ท่านเจิ้งบอกว่า ตอนนั้นท่านให้เงินแก่นาง เพื่อให้นางเอาไปรักษาแม่บุญธรรมของนางที่เจ็บป่วยอยู่? นายท่าน ไม่ใช่ว่าข้าจะต่อว่าท่านหรอกนะ แต่ท่านเป็คนดีเกินไป ลูกของศัตรู ท่านจะไปดูแลทำไมกัน ให้นางตายๆ ไปเสียได้ก็ดี! นางตายก็แค่ตายแทนพ่อสารเลวของนางก็เท่านั้น ทำไมถึงต้องเป็ห่วงนางด้วย?”
ทันทีที่เขาเอ่ยประโยคเมื่อสักครู่จบ ชายผู้นั้นก็เตะเขาหนึ่งที สีหน้าของชายหนุ่มยังไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ ครั้นพอได้หันไปมองชายผู้นั้น กลับทำให้เขาต้องขนลุกเกรียวทันควัน และไม่กล้าเปิดปากพูดมากอีกเลย
ท่านอ๋องของเขาอะไรๆ ก็ดีไปหมด แต่แค่รู้สึกว่าเ็าเกินไป เขาติดตามท่านอ๋องมาหลายปีแล้ว แต่ไม่เคยเห็นนายท่านยิ้มเลยสักครั้งเดียว หรือแม้แต่หนึ่งปีก่อนที่ฮ่องเต้ยกเลิกความผิดของแม่ทัพผาง ย้อนความดีในฐานะ “ซื่อสัตย์และเชื่อฟังราชวงศ์” นายท่านได้เลื่อนยศเป็อ๋อง ก็ไม่เห็นจะดีใจเลยสักนิด
หรือว่าวันข้างหน้า วันที่แก้แค้นศัตรูจนหมดสิ้น เขาจะปล่อยวางได้จริงๆ เสียที?
“นี่ นายท่าน รอข้าด้วย พวกเราจะไปไหนกันหรือ?”