เฉินจิ้งเจียส่ายหน้า “หากไท่จื่อเป็พวกเ้าชู้ไม่เลือกหน้าเล่า?”
“หากไท่จื่อมีโรคภัยติดตัวปิดบังไว้เล่า?”
“หากไท่จื่อหลงใหลในงานอดิเรกแปลกๆ เล่า?”
…
“คุณหนู พวกเรากุเื่ให้ไท่จื่อเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ดีหรือไม่เ้าคะ?” หนานจือเอ่ยเสียงต่ำ กระซิบข้างหูเฉินจิ้งเจีย
แม้นางจะดื้อด้านไปบ้าง แต่สิ่งไหนควรพูดสิ่งไหนไม่ควรพูดนั้น นางรู้จักแยกแยะได้ชัดเจน
เมื่อเห็นเฉินจิ้งเจียเบ้มุมปากท่าทางไม่แยแสแล้ว หนานจือเป็อันต้องส่ายหน้าตาม คุณหนูเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม มักกระทำและพูดเื่น่าใ ทำเอาคนฟังตื่นตะลึงไปทั่วหลายครา
“ก็ได้เ้าค่ะ บ่าวรู้แล้วเ้าค่ะ ยามนี้พูดอันใดไปก็คงไม่เข้าหูท่านแล้ว เพราะในใจเอาแต่คิดคะนึงหาคุณชายเผยอยู่นั่นแหละ” หนานจือเอ่ย คิดในใจว่าคุณหนูคงลุ่มหลงในความรัก หากแต่...
“แต่ดูท่าไท่จื่อจะทรงคิดอะไรกับท่านเป็แน่ หากท่านโหวตอบรับละก็...” หนานจืออดที่จะกังวลขึ้นเสียมิได้
เื่อื่นไม่ต้องพูด แต่หากเป็เื่ที่ข้องเกี่ยวกับอนาคตของตนนับจากนี้ ท่านพ่อของนางอย่างท่านโหวย่อมระมัดระวังเป็อย่างดี
หากมิใช่เพราะชาติก่อนตนโง่เง่าและดื้อรั้นจะแต่งงานละก็ ป๋อชางโหวคงปรับเปลี่ยนเื่การแต่งงานให้นางไปแล้ว ไหนเลยจะเกิดเื่ราวเลยเถิดอย่างตอนท้ายเช่นนั้นขึ้น
“ท่านพ่อไม่มีทางทำเช่นนั้น” เฉินจิ้งเจียตัดบทการคาดเดาของหนานจือด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
…
“ข้าไม่เห็นด้วย!” ป๋อชางโหวเอ่ย ฝ่ามือฟาดลงโต๊ะเต็มแรง ะเืถึงเฉินอี้เหอจนชายหนุ่มเป็อันต้องกระตุกมุมปาก
เขาพยักหน้า “ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ เมื่อวานในเวลานี้ไท่จื่อก็เข้ามาวอแวเจียเอ๋อร์ วันนี้ยังส่งของให้ถึงที่ั้แ่เช้าตรู่อีก แสดงสิ่งที่คิดไว้ให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้ว”
“ต่อให้ท่านไม่พูด ข้าก็ไม่มีทางยอมให้เจียเอ๋อร์แต่งงานกับเขาอยู่แล้ว”
ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นหน้าตา ก็เอาอกเอาใจเสียขนาดนี้แล้ว ย่อมยากที่จะทำให้ใครต่อใครเชื่อว่าเขาไม่มีความคิดอื่นแอบแฝง
ป๋อชางโหวถอนหายใจ “เดิมทีคิดว่าขอเพียงจวนป๋อชางโหวของเรามีอำนาจพอ ข้าก็ปกป้องคนในครอบครัวข้าได้ ทว่ายามนี้...”
อำนาจคือดาบสองคม
“มิใช่ว่าเจียเอ๋อร์ชอบพอบัณฑิตยาจกผู้นั้นหรือ วันนี้ข้าจะลงเขา รุ่งขึ้นจะพาบัณฑิตผู้นั้นมาให้ท่านพ่อดูตัวเองขอรับ” เฉินอี้เหอเอ่ยตามสิ่งที่คิด
“ทางบ้านของบัณฑิตผู้นั้นยากจนสินะ หากเป็จริง พวกเราอาจทำข้อตกลงด้วยได้ ให้เขาแต่งเข้าจวนป๋อชางโหว ถึงวาระนั้นเจียเอ๋อร์ก็ยังอยู่ในจวนเรา มีพวกเราอยู่ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าคุกคามนางแน่”
เฉินอี้เหอบอกแผนของตน นี่เป็วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ไขปัญหาเท่าที่เขาจะคิดได้ในยามนี้แล้ว
ป๋อชางโหวพยักหน้า “คงทำได้แค่เท่านี้ หากคุณสมบัติของคนผู้นี้สูงส่งพอ เช่นนั้นจวนป๋อชางโหวของเรา จะช่วยเหลือเขาสักคราก็มิเหลือบ่ากว่าแรง หาก...”
“หากเขามิใช่คนดี จะให้ข้าเลี้ยงดูเจียเอ๋อร์ไปชั่วชีวิตก็ไม่เป็ไร!” เฉินอี้เหอเอ่ยจริงจัง
การที่ไท่จื่อส่งของขวัญให้ถึงหน้าประตูอย่างยิ่งใหญ่เต็มยศเช่นนี้ ใครเห็นก็ล้วนทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้เดิมทีมีคนครหาต่อเฉินจิ้งเจียอยู่บ้าง แต่ยามนี้จะมีใครกล้าต่อกรกับไท่จื่ออีก?
เฉินอี้เหอเพิ่งออกจากเรือนป๋อชางโหวไม่นาน ก็เห็นหนานจืออยู่หน้าประตู
“คุณชายใหญ่ คุณหนูให้บ่าวมาเชิญท่านไปหาเ้าค่ะ”
เมื่อเผชิญหน้ากับเฉินอี้เหอ หนานจือก็มิได้รู้สึกว่าตนเป็เพียงเป็บ่าวไพร่แม้แต่น้อย ไม่ต่างกับยามอยู่กับเฉินจิ้งเจียนั่นเอง
เฉินอี้เหอเองก็มิได้โกรธกริ้วแต่อย่างใด ยกยิ้มขึ้นก่อนสาวเท้ามุ่งหน้าไปทางเฉินจิ้งเจีย
“เจียเอ๋อร์ตามหาพี่ คงมีเื่อะไรสินะ?”
หนานจือยกม่าน เฉินอี้เหอย่อตัวลงเดินเข้าไป เงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนประดับใบหน้า
เฉินจิ้งเจียเงยหน้าตาม พลางส่งยิ้มให้เฉินอี้เหอ “ท่านพี่ ท่านพ่อ พวกท่านคงตกลงเื่ที่ข้าจะแต่งงานกับคุณชายเผยแล้วสินะเ้าคะ?”
สิ้นเสียงนาง ใบหน้าเฉินอี้เหอพลันแข็งทื่อทันใด
ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเพิ่งคุยกับท่านพ่อเสร็จ ไฉนยามนี้เจียเอ๋อร์ถึงเดาออกแล้วล่ะ?
“ดูจากท่าทางท่านพี่แล้ว ข้าเดาว่าคงไม่เลวทีเดียว”
เฉินจิ้งเจียเอ่ย ยกถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นดื่มหนึ่งอึก ท่าทีสบายใจทำเอาเฉินอี้เหอตื่นตะลึง
“เจียเอ๋อร์ เ้าเดาออกได้อย่างไรกัน?” เฉินอี้เหออดที่จะถามขึ้นเสียมิได้
เฉินจิ้งเจียเองมิได้ปิดบังแต่อย่างใด “ไท่จื่อเคลื่อนไหวการใหญ่เพียงนี้ มิใช่เพราะมาดหมายชิงสร้างสัมพันธ์กับจวนป๋อชางโหวก่อนหรือเช่นไร ความคิดเช่นนี้ มีหรือท่านพ่อจะยอมวางใจให้ข้าแต่งงานกับเขา?”
เฉินอี้เหอถอนหายใจ “เ้าเดาได้ดีทีเดียว ท่านพ่อมิอยากให้เ้าแต่งงานกับไท่จื่อ ดังนั้นจึงคิดอยากเจอเผยฉางชิงดูสักครา”
เจอเขา?
เฉินจิ้งเจียวางถ้วยชาในมือ เงยหน้าจดจ้องไปทางเฉินอี้เหอ “ท่านพ่อจะไปเจอเขาเมื่อไรเ้าคะ?”
“พรุ่งนี้ ตอนนี้ข้าจะลงเขาไปตามหาเขา และกลับมาตอนวันรุ่งขึ้น” สำหรับเฉินจิ้งเจียแล้ว เฉินอี้เหอไม่เคยหมกเม็ดปิดบังนางมาก่อน
ในเมื่อเป็เช่นนี้ละก็...
เฉินจิ้งเจียยืนขึ้น “ท่านพี่ พาข้าไปด้วยเถิด”
ประโยคดังกล่าวเกือบทำเอาชาที่ยังไม่ทันเข้าปากเฉินอี้เหอกระฉอก เขาผุดเงยหน้าขึ้นทันใด มองเฉินจิ้งเจียเบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา “เ้า เ้าว่าอะไรนะ?”
“มิใช่ว่าท่านพี่จะไปตามหาคุณชายเผยหรอกหรือ? พาเจียเอ๋อร์ไปด้วยสิเ้าคะ!” เฉินจิ้งเจียยิ้มหวาน
เฉินอี้เหอส่ายหน้าโดยพลัน “ไม่ได้ ข้าไม่มีทางพาเ้าไปด้วยแน่!”
“ท่านพี่...”
…
“ยังดีที่เส้นทางวัดอันเหรินไม่ถือว่าขรุขระกันดารมาก ยังพอใช้รถม้าเดินทางได้ มิเช่นนั้นเ้าคงต้องพึ่งสองขาของตัวเองปีนลงเขาแล้วล่ะ!”
เฉินอี้เหอนั่งด้านนอกรถม้า สะบัดแส้ในมือด้วยความโมโห พลางคุยกับบุคคลในรถ
ในห้องรถม้า เฉินจิ้งเจียกำลังกินขนมไปพลางยิ้มแฉ่ง จากนั้นจึงเอ่ยตอบ “ไม่มีทาง ท่านพี่รักข้าที่สุด หากเส้นทางบนเขาลูกนี้มิอาจใช้รถม้าสัญจรได้ ท่านพี่ย่อมแบกข้าลงเขาเป็แน่”
เป็อย่างไรล่ะ! เขารู้อยู่แล้วว่ายัยหนูน้อยเฉินจิ้งเจียรู้ดีว่าตนรักน้องสาวหัวแก้วหัวแหวนยิ่ง! ในเมื่อพวกเขารักและเอ็นดูนางขนาดนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกลัวเกรงอีก!
หากแต่พวกเขาก็อดที่จะตำหนินางไม่ได้เช่นกัน
หนานจือที่นั่งข้างเฉินจิ้งเจียได้ยินคำพูดคุณหนูของตนแล้ว ก็เป็อันต้องปาดเหงื่อตรงหน้าผากทั้งที่แห้งสนิทเสียมิได้
“คุณหนูเ้าคะ แม้นยามนี้ท่านกับคุณชายเผยจะยังไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่เราออกไปเจอบุรุษข้างนอก กลัวไว้บ้างไม่ดีหรือเ้าคะ?”
เป็ถึงบุตรสาวของตระกูลผู้มั่งมี ไหนเลยจะมีใครได้ยินคุณหนูบ้านไหน ออกไปเจอบุรุษข้างนอกตามอำเภอใจบ้าง? ชื่อเสียงน่ะ ยังอยากรักษาอยู่หรือไม่?
เฉินจิ้งเจียปัดเศษขนมบนฝ่ามือ ก่อนหยิบถุงสัมภาระใต้ที่นั่งออกวางบนโต๊ะ “เรามาเปลี่ยนเ้านี่กันเถอะ”
คอยกระทั่งมาถึงโรงเตี๊ยมตีนเขาแล้ว คุณชายน้อยรูปงามสองคนจึงเดินออกจากรถม้า
ครั้นเห็นกลุ่มคนนั่งรถม้าเข้ามา รวมถึงอาภรณ์ประดับกายที่ไม่ธรรมดาแล้ว เสี่ยวเอ้อร์[1]ผู้ปราดเปรื่องจึงเร่งเดินเข้ามา
“คุณชายทั้งสามมารับประทานอาหารหรือเข้าพักขอรับ?”
เฉินอี้เหอส่งม้าให้คนเลี้ยงม้าข้างๆ สายตาดุดันกวาดมองไปยังเสี่ยวเอ้อร์ครู่หนึ่ง “มาตามหาคน ที่นี่มีบัณฑิตชื่อเผยฉางชิงใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินเผยฉางชิงสามคำนี้แล้ว ท่าทางเคารพนอบน้อมแต่เดิม พลันเปลี่ยนเป็เฉื่อยชาขึ้นทันใด “มาตามหาเขาหรือ?”
พูดจบก็เห็นร่างใครคนหนึ่งถือชามข้าวจากหน้าโต๊ะเก็บเงินเดินไปด้านหลัง ชายหนุ่มรีบยกมือชี้ “นั่นมันบัณฑิตเผยมิใช่หรือ?”
มองตามทิศทางปลายนิ้วมือของเขา ก็เห็นคนที่พวกเขา้าตามหาอยู่จริงๆ
“ท่านคือคุณชายเผยใช่หรือไม่?” เฉินจิ้งเจียมองผักกาดกวางตุ้งอันน่าสงสารไม่กี่ก้านบนจานในมือเขาก่อนเอ่ย “ค่าเดินทางไม่พอแล้วหรือ?”
---------------------
[1] เสี่ยวเอ้อร์ คำที่ใช้เรียกบริกรหรือเด็กเสิร์ฟอาหารในโรงเตี๊ยม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้