ในตอนที่เสิ่นจือลี่ความคิดปั่นป่วน มู่หรงฉือกลับก้มหน้าพุ้ยข้าวเงียบๆ
ในห้องเงียบลง ทุกคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเอง บรรยากาศไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้เลยสักนิด ส่วนตัวต้นเหตุอย่างมู่หรงอวี้ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการมาถึงของตนทำให้บรรยากาศเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ยังคงทานอาหารด้วยท่าทางสง่างาม
มู่หรงสือเห็นองค์รัชทายาทสนใจแต่พุ้ยข้าวไม่กินกับ นางจึงยืนขึ้นคีบกับข้าวส่งให้ “เตี้ยนเซี่ย ทานกับข้าวให้มากหน่อยเถิดเพคะ”
ครั้งนี้มู่หรงฉืออยากจะตีองค์หญิงมากเื่คนนี้เสียเหลือเกิน
กว่าจะทานข้าวจนหมดถ้วยจะได้รีบออกไปจากที่นี่ นางกลับยังจะคีบอาหารมาให้อีก มู่หรงฉือฉุนจัด
ทว่าตะเกียบที่คีบอาหารยังไม่ทันถึงที่หมายก็ต้องแข็งค้างอยู่กลางทาง เพราะมู่หรงอวี้พูดเสียงเย็นออกมาหนึ่งประโยค “นั่งลงแล้วทานอาหารของตัวเองไป”
มู่หรงสือมองใบหน้าที่ดูไม่สบอารมณ์ของเขา ไม่กล้าไม่เชื่อฟังแล้วนั่งลงทานอาหารไปเงียบๆ
ต่อมา ดวงตาสี่คู่ก็มองมู่หรงอวี้คีบอาหารวางใส่ถ้วยของมู่หรงฉือ ทั้งยังไม่หยุดอยู่เพียงครั้งเดียว กลับคีบเสียจนเต็มถ้วย!
ในใจของมู่หรงฉือมีน้ำตานอง ได้แต่ลอบกัดฟัน
“เตี้ยนเซี่ยคิดว่าอาหารในจวนของเปิ่นหวางไม่อร่อยมากเลยหรือ?” เขาถามด้วยเสียงผ่อนคลาย
“แน่นอนว่าไม่ ย่อมต้องอร่อยมาก” นางได้ยินเสียงตัวเองกัดฟันพูด “เพียงแต่เปิ่นกง...”
“เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยก็ทานให้อร่อยเถิด” เขามองนางอย่างมีนัยลึกซึ้ง “เตี้ยนเซี่ยค่อยๆ กิน อย่าสำลักเล่า”
นางกำหมัดแน่นแล้วคลาย ก่อนจะค่อยๆ คีบกับข้าวบนถ้วยขึ้นทาน
เสิ่นจือเหยียนถอนหายใจอย่างจนใจ องค์รัชทายาทกับอวี้หวางเป็ศัตรูกันอย่างที่คิด กระทั่งเื่ทานอาหารก็ยังทิ่มแทงกันได้
มู่หรงสือไม่พอใจมาก ทั้งยังหงุดหงิดเป็ที่สุด เหตุใดท่านอาสามถึงไม่ให้ตนคีบอาหารให้องค์รัชทายาท? แต่ตัวเขาเองกลับคีบอาหารให้องค์รัชทายาทมากมายขนาดนั้น? นี่ไม่ใช่ว่าตั้งใจรังแกนางหรือ?
เสิ่นจือลี่เองก็ไม่เข้าใจ เหตุใดอวี้หวางถึงได้คีบอาหารให้องค์รัชทายาท?
ไม่เพียงเท่านี้ มู่หรงอวี้ยังตักโจ๊กข้าวโพดอีกครึ่งถ้วยแล้ววางลงตรงหน้ามู่หรงฉือ เอ่ยเสียงนุ่ม “โจ๊กนี้ดียิ่ง เตี้ยนเซี่ยลองทานดู”
เสิ่นจือลี่ยิ่งคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ อวี้หวางดีกับองค์รัชทายาทถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แต่ว่าองค์รัชทายาทดูเหมือนไม่ค่อยอยากรับน้ำใจสักเท่าไหร่
มู่หรงฉือน้ำตาไหลนองอีกครั้ง นางยกโจ๊กข้าวโพดขึ้นแล้วเงยหน้าซดลงไปในคราวเดียว
มู่หรงอวี้สมควรถูกฟันให้เป็พันชิ้น! เขาจะต้องจงใจแน่นอน!
เนื่องจากในใจกรุ่นโกรธ โทสะเดือดปุดๆ บวกกับนางกระดกถ้วยโจ๊กเข้าไปอย่างรวดเร็ว จึงสำลักขึ้นมา ยิ่งไอยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนน้ำหูน้ำตาไหล
มู่หรงสือกังวลแทบตายแล้ว นางถามด้วยความร้อนใจ “ท่านอาสาม เตี้ยนเซี่ยไอหนักขนาดนี้จะดีได้อย่างไรเพคะ?”
มู่หรงฉือส่งเสียงไอออกมาหนักๆ ก่อนจะโบกมือ แสดงออกว่าตนเองไม่เป็อะไร
พี่น้องตระกูลเสิ่นเองก็เป็กังวลเช่นกัน “เตี้ยนเซี่ยไม่เป็อะไรใช่หรือไม่”
“แค่สำลักเท่านั้น ไม่เป็ไร”
มู่หรงอวี้สีหน้าไม่เปลี่ยน ไม่มีความกังวลแม้แต่กระผีกเดียว เพียงยื่นมือมาตบหลังของมู่หรงฉือเบาๆ จากนั้นก็ลูบขึ้นลง
มู่หรงฉือโมโหจนปอดแทบจะะเิ ทั้งเจ็บใจทั้งเจ็บตัว นางไอจนปอดแทบจะหลุด นี่เป็ความผิดของเขาเพียงผู้เดียวแท้ๆ! เขายังจะอาศัยโอกาสนี้มาเอาเปรียบนางอีก!
ชั่วร้ายเกินไปแล้ว!
เวลาผ่านไปนางก็ค่อยๆ หยุดไอ
มู่หรงสือรินชาหนึ่งถ้วยตั้งใจจะเดินไปดูแลองค์รัชทายาทโดยเฉพาะ แต่กลับถูกอาสามยื่นมือมารับถ้วยชาไปแทน เมื่อเห็นสายตาเ็าของท่านอาสาม นางจึงไม่กล้าอีก ได้แต่กลับไปยังที่นั่งของตนเอง
เสิ่นจือเหยียนถามด้วยความกังวล “เตี้ยนเซี่ยดีขึ้นแล้วหรือไม่?”
มู่หรงฉือหน้าแดงไปหมด ได้แต่ก้มหน้าแล้วพยักหน้าแทนคำตอบ
ทันใดนั้น นางก็ยกแขนเสื้อของมู่หรงอวี้ขึ้นมาเช็ดหน้า จนแขนเสื้อสะอาดสะอ้านนั้นเปื้อนน้ำมูกน้ำตา
สามคนที่เหลือถึงกับมองตาค้าง เตี้ยนเซี่ยกำลังทำอะไร? ใช้แขนเสื้อของอวี้หวางมาเช็ดน้ำมูก?
ความคิดเดียวของมู่หรงสือก็คือ : แย่แล้ว อาสามจะต้องโกรธขึ้นมาเป็แน่ เตี้ยนเซี่ยแย่แล้ว!
จะทำอย่างไรดี?
คิ้วเรียวของมู่หรงอวี้เลิกขึ้นเล็กน้อย ขนตาดำหนาหลุบลงปล่อยให้นางเช็ดน้ำมูกน้ำตาไป
เสิ่นจือลี่เห็นมุมปากของอวี้หวางเหมือนจะยกยิ้มเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
แต่ก็เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น จากนั้นนางก็หารอยยิ้มนั้นไม่เจออีก
มู่หรงฉือจัดการเช็ดหน้าเช็ดตาตัวเองจนเรียบร้อยแล้วเงยหน้าขึ้นก่อนจะลุกหยิบถ้วยชาจากมือของเขาขึ้นดื่มจนหมด จากนั้นก็วางถ้วยชาที่ว่างเปล่ากลับไปไว้ในมือเขาอีกครั้ง
ทุกคนตะลึงตาค้างไปอีกครั้ง
ส่วนมู่หรงอวี้ยังไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาสีดำพราวระยับ
นางรู้สึกได้ระบายความคับข้องใจออกมาเล็กน้อย อารมณ์กลับมาปกติแล้ว จึงคลี่ยิ้มน้อยๆ “เปิ่นกงยังมีเื่ที่ต้องทำ ขอตัวก่อน ทุกคนค่อยๆ ทาน”
เพิ่งจะพูดจบนางก็สาวเท้าหมุนตัวออกไปทันที
“เตี้ยนเซี่ย เปิ่นหวางมีเื่อยากจะปรึกษากับเ้า”
เขายืนขึ้นแล้วเดินออกไปข้างนอก ฝีเท้าก้าวตามอย่างรวดเร็วดุจสายลม “เชิญเตี้ยนเซี่ยตามเปิ่นหวางไปที่ห้องตำรา”
มู่หรงฉืออยากจะเตะเขาไปให้ไกลสุดขอบฟ้า “เปิ่นกงมีเื่ที่ต้องทำจริงๆ...”
มู่หรงอวี้เหมือนไม่ได้ยิน ยังสาวเท้าไวๆ ก้าวออกไป
นางมองไปทางคนสามคนที่ตัวแข็งทื่อเป็รูปสลักก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆ รอยยิ้มนั้นน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
นางไม่อยากจะใส่ใจคำพูดของมู่หรงอวี้แล้วออกไปเสีย แต่สามคนนั้นจะสงสัยเอาได้ ด้วยความหมดหนทาง นางจึงจำใจต้องตามเขาไปที่ห้องตำรา
ประตูห้องตำราเปิดกว้าง เขาหันหลังออกไปด้านนอก ถอดเสื้อคลุมสีดำออกแล้วโยนไปบนเก้าอี้ เหลือไว้เพียงเสื้อตัวกลางสีขาวก่อนจะนั่งลง ครั้นเห็นนางเข้ามา เขาก็พูดเสียงทุ้ม “ปิดประตู”
“ในห้องร้อนนัก เปิดประตูให้ลมเข้าจะได้เย็นขึ้นหน่อย”
เห็นเขาถอดชุดตัวนอกที่เปรอะเปื้อนออก มู่หรงฉือก็คิดขึ้นมาได้ทันทีว่าหลุมที่ตัวเองขุดเอาไว้จะอย่างไรก็ต้องะโลงไป
มู่หรงอวี้ลุกขึ้นไปปิดประตู พูดเสียงเรียบ “ร้อนก็ถอดเสื้อเสีย”
นางบ่นอุบอยู่ในใจ มีแต่ผีน่ะสิที่จะถอดเสื้อ “ท่านอ๋องมีอะไรจะปรึกษากับเปิ่นกงหรือ?”
“เื่องค์หญิงจาวฮวากับกงจวิ้นหาว เตี้ยนเซี่ยสืบไปถึงไหนแล้ว? เหลือเวลาอยู่เพียงห้าวันเท่านั้น” เขาถามก่อนจะนั่งลง
“ตอนนี้ยังไม่พบสาเหตุ อีกอย่างหลายวันมานี้มีเื่เกิดขึ้นมากมาย เปิ่นกงยังยุ่งอยู่กับเื่อื่นๆ”
“ทางที่ดีที่สุดเตี้ยนเซี่ยอย่าให้เปิ่นหวางต้องลำบากใจเลย”
“เปิ่นกงจะตรวจสอบหาความจริงออกมาให้ได้!” มู่หรงฉือเงยหน้าขึ้นพูดอย่างมีแผนการ
“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด” มู่หรงอวี้เหลือบตามองนาง “หากเตี้ยนเซี่ยรู้ว่าเปิ่นหวางจะกลับมาที่จวน เ้าคงไม่มีทางมาทานอาหารที่นี่สินะ”
“ไม่ได้เกี่ยวกับท่านสักหน่อย” เมื่อถูกจับได้ นางไม่มีทางยอมรับเด็ดขาด จึงได้แต่พูดอ้อมแอ้มกลับไป “คิดไปเองทั้งนั้น”
“อาฉือ”
ในสียงทุ้มต่ำนั้นแหบพร่าอยู่เล็กน้อย ราวกับรวบรวมความรู้สึกลึกซึ้งอย่างไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ ส่งออกมาจากส่วนลึกของจิติญญา
นางอดมองไปยังเขาไม่ได้ หัวใจพลันสั่นไหว
นางสามารถรับรู้ได้ว่าเสียงเรียกนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อน
เขามองมาที่นาง ดวงตาเปล่งประกายวาววับมีความรู้สึกซับซ้อนพัวพันอยู่ด้วยกันจนนางแยกไม่ออก เดาไม่ได้
ก๊อกๆๆ
มีคนเคาะประตู ต่อมาก็เป็เสียงของเสิ่นจือลี่ “เตี้ยนเซี่ย ท่านอ๋อง จือลี่นำชามาให้เพคะ”
มู่หรงฉือได้สติขึ้นมาทันที “เข้ามา”
เสิ่นจือลี่ผลักประตูเข้ามา ย่างฝีเท้าเข้ามาอย่างแ่เบา สองมือถือถาดไม้ นางก้มหน้าน้อยๆ สายตามองไปทางอวี้หวาง จากนั้นก็วางถ้วยชาทั้งสองลงบนโต๊ะ
อวี้หวางไม่มองมาที่นางเลยสักนิด...
นางถอยหลังออกมาเงียบๆ ผ่อนฝีเท้าเดินอย่างเชื่องช้า ช้ามากๆ หวังว่าเขาจะมองมาที่ตนเอง หวังว่าเขาจะสังเกตเห็นตนบ้าง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันเอาเสื้อของท่านออกไปให้บ่าวรับใช้ซักให้นะเพคะ” เสียงของนางอ่อนโยน ได้ยินแล้วสบายหู
“อืม” มู่หรงอวี้ตอบด้วยเสียงขึ้นจมูก
“หม่อมฉันทูลลาเพคะ” นางหยิบเสื้อคลุมสีดำที่พาดอยู่บนเก้าอี้ขึ้นมาแล้วค่อยๆ เดินออกไป
มู่หรงฉือพบว่า เสิ่นจือลี่ดูเหมือนจะจงใจค่อยๆ เดินออกไปอย่างเชื่องช้า ทั้งยังระมัดระวังเล็กน้อย นางเป็แขก เหตุใดจะต้องยกชามาให้ด้วย? นี่มันเื่อะไรกัน?
เมื่อทำอะไรไม่ได้ เสิ่นจือลี่จึงปิดประตู มองไปยังบุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น จากบานประตูที่ค่อยๆ ปิดลง สิ่งที่นางเห็นจากช่องประตูก็ยิ่งแคบลงเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูปิดกั้นสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหลและเฝ้าคอยของนางไปจนหมดสิ้น
อวี้หวางไม่ชายตามองมาที่นางเลยสักนิด
แต่ไม่เป็ไร นางจะพยายามต่อไป ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ
“ท่านอ๋องยังมีธุระอีกหรือไม่? หากไม่มีแล้วเปิ่นกงขอตัวก่อน” มู่หรงฉือพูด
“เ้ากับเสิ่นจือเหยียนไปตรวจสอบไหมธรรมชาติมาได้เื่อะไรมาหรือไม่?” มู่หรงอวี้ยกถ้วยชาขึ้นดื่มพลางถามเสียงเรียบ
“ไม่ได้อะไรมาเลย เกรงว่าเบาะแสไหมธรรมชาตินี่คงจะขาดไปแล้ว รู้แค่ว่าทางอี้โจวมีการผลิตไหมธรรมชาติเช่นนี้ออกมา”
“อี้โจว...คนในวังจะมีไหมที่ผลิตจากอี้โจวได้อย่างไร?”
“นั่นน่ะสิ ดังนั้นเบาะแสนี้จึงไม่มีความคืบหน้า” นางตัดสินใจเอ่ยปาก หวังว่าความสงสัยที่กดทับอยู่ในใจจะคลี่คลายลงได้ “เปิ่นกงอยากจะถามท่านอ๋องเื่หนึ่ง หวังว่าท่านอ๋องจะตอบตามความจริง”
“พูดมาสิ” เขาตอบเสียงเรียบ
มู่หรงฉือคิดแล้วคิดอีก ใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งถาม “วันนั้นที่เซียวกุ้ยเฟยตกลงมาจากหอหลิงเฟิง ท่านอ๋องมีวิทยายุทธ์สูงส่ง หากใช้วิชาลอยตัวไปกลางอากาศก็สามารถรับเซียวกุ้ยเฟยได้ นางคงจะไม่ตาย”
เขาเดินไปตรงหน้าของนาง ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “หากเปิ่นหวางลอยตัวไปกลางอากาศแล้วช่วยเซียวกุ้ยเฟยเอาไว้ เช่นนั้นเตี้ยนเซี่ยก็จะหึงหวงเปิ่นหวางแล้วไม่ยอมมาเจอกันสามวันไม่ใช่หรือ?”
นางถลึงตาใส่เขาด้วยความขวยเขิน “เกี่ยวอะไรกับเปิ่นกง? เื่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเปิ่นกงเลยสักนิด!” นางคลี่ยิ้มเย็น พูดเย้ยหยัน “ท่านอ๋องไม่อยากช่วยกุ้ยเฟย เกรงว่าคงตัดสินใจวางมือกับหมากที่ไร้ประโยชน์ตัวนี้นานแล้ว”
“เตี้ยนเซี่ยลองพูดมาสิว่าเหตุใดหมากตัวนี้ถึงได้ไร้ประโยชน์”
“ท่านอ๋องเอาเซียวกุ้ยเฟยที่เป็หมากตัวนี้วางไว้ที่วังหลังมาหลายปี ตอนนี้ท่านอ๋องรวบอำนาจในราชสำนัก มีอำนาจมากมาย ในมือก็กุมอำนาจทางการทหารเอาไว้ ควบคุมวังหลวง ยังจะมีใครกล้ามีเื่กับท่านอ๋องอีก? มีใครยงจะกล้าขัดต่อความ้าของท่าน? ดังนั้นตอนนี้จึงเป็เวลาอันเหมาะสมที่นางจะถอนตัว” มู่หรงฉือพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไม่ปิดซ่อนสิ่งใดเอาไว้อีก “หรือบางที หมากตัวนี้อย่างไรก็ขัดขวางท่าน ท่านจึงกังวลว่าจะกำจัดนางอย่างไรดี นักฆ่าคนนั้นสังหารนางทิ้งก็เป็สิ่งที่ท่านคิดอยู่ในใจ แล้วท่านจะทุ่มเทช่วยนางไปทำไม?”
ถึงแม้นางจะเกลียดชังเซียวกุ้ยเฟยเพียงไร แต่สำหรับหมากตัวหนึ่งที่ถูกบงการชีวิต สุดท้ายถูกเ้านายทอดทิ้งจนมีจุดจบเช่นนี้ นางก็รู้สึกเสียดายแทนเซียวกุ้ยเฟยอยู่บ้าง
แววตาของมู่หรงอวี้เข้มขึ้น มีความนัยลึกล้ำ “เหตุใดเ้าถึงวิเคราะห์ออกมาว่าเปิ่นหวางไม่ได้ทุ่มเทเรี่ยวแรงทั้งหมดในการช่วยนาง?”
นางยกยิ้มเย้ยหยัน “นี่มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่รู้”
“เพราะว่านางรู้ความลับหนึ่ง”
“ความลับอะไร?” นางขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“เป็ความลับที่เกี่ยวข้องกับเตี้ยนเซี่ย” เขายกมือขึ้นหมายจะลูบหน้าผากของนางแต่นางกลัยถอยหลังไปสองก้าว เขาจึงคว้าได้เพียงอากาศ “ดังนั้น นางจึงต้องตาย”
ในใจของมู่หรงฉือสั่นะเื เกี่ยวกับตัวนาง?
เซียวกุ้ยเฟยรู้ความสัมพันธ์อัน ‘ใกล้ชิด’ ที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ระหว่างนางกับมู่หรงอวี้? หรือรู้ความลับว่านางเป็สตรีแต่งบุรุษ?
ทันใดนั้นนางพลันรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง
และเพื่อรักษาความลับนี้เอาไว้มู่หรงอวี้จึงไม่ช่วยเซียวกุ้ยเฟย? หรือการสังหารเซียวกุ้ยเฟยเป็เขาที่บงการ?
ยิ่งคิดก็ยิ่งใ ท่ามกลางอากาศอนร้อนระอุเช่นนี้ มือของนางกลับเย็นเยียบ
นางเกือบจะรักษาความลับที่เก็บรักษามาสิบแปดปีเอาไว้ไม่ได้แล้ว
มู่หรงอวี้กุมมือของนางเอาไว้ “เตี้ยนเซี่ยควรจะขอบคุณเปิ่นหวางไม่ใช่หรือ?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้