ิเป่าจูไม่ได้รับการบำรุงร่างกายต่อเนื่องมาหลายปี รูปร่างจึงผอมบางและอ่อนแอ ดูเหมือนเด็กอายุสิบเอ็ดสิบสอง แต่ความเป็จริงนางอายุสิบห้าปี ถึงวัยปักปิ่น [1] สมควรออกเรือนได้แล้ว
แต่นางยังไม่ทันให้คำตอบ จู่ๆ ก็มีคนในฝูงชนร้องขึ้นมาว่า “อา... ข้าจำได้แล้ว เ้าก็คือท่านหมอน้อยที่ฝังเข็มช่วยชีวิตคนที่หุยชุนถังวันนั้น”
“พอเ้าพูดออกมา ข้าก็นึกได้เหมือนกัน”
“ใช่ๆ คือนางนี่แหละ”
“มิน่าเล่า ทักษะการแพทย์ถึงล้ำเลิศเช่นนี้”
เมื่อมีคนหนึ่งร้องทัก อีกหลายคนก็เริ่มคล้อยตาม วันนั้นชายร่างใหญ่จำนวนหนึ่งหามคนเข้าไปที่หุยชุนถัง ดึงดูดความสนใจผู้คนไม่น้อยที่ชมชอบความครึกครื้น พวกเขาจึงเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น
แต่เื่ผ่านไปนานแล้ว จึงนึกไม่ออกไปชั่วขณะ พอมีคนเตือนสติ ก็พากันยืนยันว่าเป็ความจริง
ตอนนั้นเถ้าแก่หลิว้ารักษาชื่อเสียงของหุยชุนถัง จึงตัดสินใจให้คนทำลายป้ายร้านเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
เื่นี้กระหึ่มไปทั่วในตอนนั้น ท่านหมอที่มาก็ได้ยินมาบ้าง จึงไม่ซักไซ้ไล่เลียงต่อ เพียงแค่ไปจัดยาตามตำรับที่ิเป่าจูแจ้งมา
“ท่านหมอน้อย ท่านนั่งประจำอยู่ที่โรงหมอใด เดี๋ยวข้าจะไปตรวจกับท่านบ้าง”
ทันใดนั้นก็มีคนถามขึ้น ผู้คนมากมายต่างก็พูดคล้อยตาม ชื่นชมในทักษะแพทย์อันสูงส่งของิเป่าจู ยังบอกอีกว่าวันหลังจะไปให้นางตรวจให้โดยเฉพาะ
“ขอบคุณทุกท่านมาก ข้าไม่ใช่หมอ จะนั่งประจำโรงหมอได้อย่างไร คนไข้้าการพักผ่อน ทุกท่านก็แยกย้ายกันไปเถอะนะ” ิเป่าจูหันไปพูดกับทุกคนด้วยความซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก
นางไม่นึกว่าผู้คนมากมายจะจดจำเื่วันนั้นได้ แต่ก็ดี จะช้าหรือเร็วนางก็ต้องเปิดโรงหมอสักวัน สองเื่นี้นับว่าเป็การประชาสัมพันธ์ตนเองไว้ล่วงหน้า
“ท่านหมอน้อยกล่าวถูกต้อง การช่วยชีวิตคนไม่ใช่เื่ง่าย พวกเราอย่าไปรบกวนพวกเขาเลย” มีคนที่รู้เหตุผลรีบเอ่ยขึ้นมา
ผู้คนต่างแยกย้ายกันไปทันที อากาศในร้านถึงค่อยถ่ายเทสะดวกขึ้น
“วันนี้ต้องขอบคุณแม่นางมาก มิเช่นนั้นเกรงว่าข้าคงได้ไปเฝ้าพญายมแล้ว”
หลังพักผ่อนสักครู่ เถ้าแก่ร้านปลอดภัยแล้วโดยสมบูรณ์ ปากก็พร่ำขอบคุณนับครั้งไม่ถ้วน
“เถ้าแก่เกรงใจไปแล้ว ข้าถือวิสาสะให้ท่านหมอจัดยาบำรุงให้ท่าน อีกสักครู่น่าจะนำมาส่งให้ อาการของท่านต้องระมัดระวัง จะตรากตรำเกินไปไม่ได้ และอย่าโมโหวู่วามจนเกินไป”
ิเป่าจูยกมือบอกปัดว่าไม่ใช่เื่ที่เหลือบ่ากว่าแรง
“ขอบคุณเ้ามาก ต่อไปข้าจะระมัดระวังอย่างดี ไม่มีอะไรที่ขอบคุณไม่ได้ ผ้าผืนนั้นที่ท่านลูกค้าต้องตาก็ถือเสียว่าเป็น้ำใจตอบแทน ได้โปรดรับไว้ด้วย”
เขาเพิ่งไปเที่ยวชมตำหนักของพญายมมารอบหนึ่ง จะไม่ใส่ใจถ้อยคำกำชับของิเป่าจูได้อย่างไร การจัดยาอะไรเป็เื่เล็ก ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้ออกเทียบยาให้ เขาก็ต้องขอเทียบยากับนางอยู่ดี
ภายในใจรู้สึกซาบซึ้งมิสร่างซา ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร
นึกได้ว่าตนเองเปิดร้านขายแพรพรรณ ผ้าแค่พับเดียวย่อมมอบให้ได้
ิเป่าจูมองตามทิศทางที่เถ้าแก่ชี้ไป ไม่นึกว่าผ้าที่เถ้าแก่เอ่ยถึงจะเป็ผืนที่หลี่ไหวฺอวี้ถูกใจผืนนั้น
“นี่จะแพงเกินไปแล้ว ข้ารับไม่ได้หรอก” ิเป่าจูยึดมั่นความจริงเป็หลักปฏิบัติ ต่อให้เก็บค่าตรวจรักษาโรคครั้งนี้ก็ยังซื้อได้เพียงหนึ่งในสามส่วนของผ้าผืนนั้น
“ท่านรับไว้เถอะ”
ชีวิตสำคัญกว่า แค่ผ้าผืนเดียวจะนับว่าเป็อะไร
เถ้าแก่โน้มน้าวอยู่หลายรอบ ประกอบกับความหน้าหนาไร้ยางอายของหลี่ไหวฺอวี้ นางจึงต้องตกลงรับไว้ ิเป่าจูพยักหน้าด้วยความจำใจ
การตัดเสื้อผ้าต้องใช้เวลาหลายวัน ิเป่าจูจึงนัดหมายวันที่จะมารับกับเถ้าแก่อีกที
ก่อนหน้านี้เกิดเื่ที่ร้านอาหาร หัวเด็ดตีนขาดิเป่าอวี้ก็ไม่ยินดีจะกินข้าวในเมืองอีก
ิเป่าจูครุ่นคิดดูแล้ว ก็ไม่พยายามเกลี้ยกล่อม
เมื่อเป็เช่นนี้ ก็วางแผนว่าจะไปร้านค้า ซื้อของที่จำเป็ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วเดินออกมา
“เต้าหู้จ้า...เต้าหู้ นุ่มเหนียวหอมหวานแสนอร่อย!”
เสียงร้องเรียกที่แว่วผ่านหูดึงดูดความสนใจของิเป่าจูเข้าพอดี
ไม่ได้กินเต้าหู้มานานมากแล้ว ไยไม่ซื้อกลับไปสักก้อนเล่า เต้าหู้สามารถดัดแปลงเอาไปทำอะไรได้มากมาย ล้วนแต่อร่อยทั้งสิ้น
เมื่อคิดอย่างนี้ ิเป่าจูก็เดินไปตามต้นเสียง ส่วนอีกสองคนที่เหลือย่อมจะตามไป
“เถ้าแก่ ขอเต้าหู้หนึ่งก้อน... เอามาสองก้อนเลยแล้วกัน”
นางยืนอยู่หน้าแผง กลิ่นหอมของเต้าหู้เข้มข้นชวนให้ยกนิ้วให้
เดิมทีตั้งใจว่าจะซื้อก้อนเดียว แต่พอเห็นเต้าหู้ที่ดูเหนียวนุ่มน่ากิน ิเป่าจูก็เปลี่ยนใจกะทันหัน
กลับไปถึงบ้านนางว่าจะทำเต้าหู้ทรงเครื่องแบบง่ายๆ ส่วนที่เหลือเอาไปทำลูกชิ้นเต้าหู้ทอดหรือทำเต้าหู้ปรุงรสแบบแห้งก็ไม่เลวเหมือนกัน
“ได้ ลูกค้าโปรดรอสักครู่”
น้ำเสียงใสกังวาน ิเป่าจูอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามอง คิ้วสวยจมูกโด่ง หน้าตาจิ้มลิ้ม นับได้ว่าเป็หญิงงามคนหนึ่งในเมืองนี้
“ได้แล้ว ลูกค้า นี่ของท่าน...” หญิงสาวหั่นเต้าหู้อย่างคล่องแคล่ว ขณะกำลังจะส่งของให้ิเป่าจูก็ตกตะลึง
“เถ้าแก่ เถ้าแก่?” ิเป่าจูเห็นอีกฝ่ายไม่มีการตอบสนอง ก็ยื่นมือไปโบกตรงหน้าหญิงสาว คนถึงตั้งสติกลับมาได้
เวลานี้ ิเป่าจูเอี้ยวศีรษะไปยังตำแหน่งที่หญิงสาวมองเมื่อครู่ ก็พบว่าหลี่ไหวฺอวี้กำลังยืนเหม่ออยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
แต่เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตา จะดึงดูดความสนใจของแม่นางน้อยก็เป็เื่ปรกติ
หลังจากได้ข้อสรุปแล้ว ิเป่าจูก็หยุดให้ความสนใจ
หลี่ไหวฺอวี้มองไปทางิเป่าจูเป็ครั้งคราวด้วยสายตาลุ่มลึก นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้เห็นการช่วยชีวิตคนแบบนี้ วิธีการมีเอกลักษณ์แปลกใหม่ ซึ่งไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
เดิมทีนึกว่านางขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรเพียงแค่รู้หลักการใช้ยารักษาโรคมาบ้างเท่านั้น ในเรือนของนางไม่มีตำราแพทย์ จากคำบอกเล่าของิเป่าอวี้ รู้แค่ว่าบรรพบุรุษของพวกเขาเป็เพียงชาวนาทั่วไป
แต่การกระทำเมื่อครู่ของิเป่าจู ทำให้หลี่ไหวฺอวี้ต้องมองนางใหม่อีกครั้ง เขาเริ่มทำการสำรวจสาวน้อยที่ไม่มีอะไรโดดเด่นผู้นี้
ที่ด้านหน้าแผงลอย หลี่อวิ๋นมองชายหนุ่มรูปงามที่อยู่เบื้องหน้า เป็คนเดียวกับที่นางเห็นก่อนหน้านี้
เมื่อครู่ขณะที่นางกำลังขายเต้าหู้อยู่ ได้ยินเสียงคนร้องด้วยความใที่ถนนฝั่งตรงข้าม
เพียงไม่นานก็มีคนมารวมตัวกันที่หน้าร้านแห่งนั้นจำนวนไม่น้อย ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงบอกมารดา ก่อนทิ้งแผงวิ่งเข้าไปชมความครึกครื้น
เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ นางก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สายตาถูกชายหนุ่มที่นั่งยองอยู่ในร้านดึงดูดเข้าอย่างจัง
เขาหน้าตาหล่อเหลา หล่อกว่าบุรุษทุกคนในเมืองนี้ แต่น่าเสียดายตนเองมิได้ร่ำเรียนหนังสือ จึงไม่อาจพรรณนาออกมาเป็ถ้อยคำที่ไพเราะ
กระทั่งหลี่อวิ๋นรั้งสติกลับมาได้ ถึงรู้ว่าที่แท้เถ้าแก่ร้านผ้าหมดสติไป และมีคนกำลังช่วยชีวิตเขาอยู่
่ที่นางกำลังใจลอย การช่วยชีวิตได้สิ้นสุดลงแล้ว สตรีที่ดูเด็กกว่าตนเองคนหนึ่งกำลังคุยกับท่านหมอ คำพูดของนางล้วนมีแต่ชื่อสมุนไพรที่ตนเองไม่รู้จัก เก่งกาจยิ่งนัก
จากนั้นมารดาของนางก็ะโเรียก นางถึงนึกได้ว่ายังต้องไปช่วยเฝ้าแผงขายของ จึงได้แต่มองชายหนุ่มดวงตาสีเข้มผู้นั้นด้วยความอาลัยอาวรณ์ แล้วหมุนตัวเดินกลับไป
แต่บัดนี้ บุรุษรูปงามดังเทพ์ที่เห็นเมื่อครู่ก็มาอยู่เบื้องหน้านางแล้ว
“เถ้าแก่ นี่คือ?” เมื่อเห็นว่าเต้าหู้ในมือเกินมาหนึ่งก้อน ิเป่าจูก็ถามด้วยความสงสัย
นี่คือการทำการค้าอย่างไรกัน สะเพร่าเช่นนี้ ไม่ขาดทุนแย่หรือ
“ข้าจำเ้าได้ เ้าคือแม่นางที่ช่วยชีวิตเถ้าแก่ร้านผ้าฝั่งตรงข้าม ข้าแถมให้เ้าหนึ่งก้อน ถ้าคิดว่าอร่อย วันหลังก็กลับมาอุดหนุนบ่อยๆ เล่า” หญิงสาวผลิยิ้มงดงาม ดวงหน้าแดงระเรื่อ สายตาชำเลืองไปด้านข้างอยู่เป็ระยะ
“เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก”
ิเป่าจูยิ้มอย่างเข้าใจ แล้วรับไว้ด้วยความยินดี นี่คงไม่ใช่แค่เห็นแก่ที่นางช่วยชีวิตคนเพียงอย่างเดียวแล้วกระมัง
กระทั่งทั้งสามคนไปแล้ว หลี่อวิ๋นก็ยังมองเงาร่างของคุณชายหล่อเหลาสง่างามหนึ่งในนั้นอย่างเหม่อลอย ต่อไปหากได้พบเขาบ่อยครั้งก็คงดี
“เสี่ยวอวิ๋น มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ มีคนจะซื้อเต้าหู้ไม่เห็นรึ” หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งะโอยู่ข้างหลัง
“ทราบแล้วเ้าค่ะท่านแม่”
หลี่อวิ๋นแลบลิ้น แล้วทำการค้าต่อ
เื่แถมเต้าหู้เพิ่มไป เคราะห์ดีที่มารดาไม่เห็น มิเช่นนั้นคงถูกด่าเป็แน่
หลังออกมาจากแผงเต้าหู้ไม่ไกล ก็เป็ร้านขายข้าวสารของชำ ิเป่าจูซื้อข้าวสารและแป้งอย่างละสองชุดกับพวกเครื่องปรุงจำนวนหนึ่ง
หลังจากนั้นก็วางของน้ำหนักเบาใส่เข้าไปในกระบุง ิเป่าจูหิ้วถุงแป้ง ส่วนิเป่าอวี้ถือถุงข้าวสาร
ทั้งสองตัวผอมบาง ถือของมากกว่านี้ไม่ไหวจริงๆ
ดังนั้นของที่เหลือจึงตกเป็หน้าที่ของหลี่ไหวฺอวี้
“ดูไม่ออกจริงๆ ว่าท่านจะแรงเยอะเหมือนกัน" ิเป่าจูมองของเต็มสองมือของหลี่ไหวฺอวี้ พลางถอนหายใจ
หลี่ไหวฺอวี้ได้ยินเช่นนั้น จู่ๆ ก็เข้ามาใกล้นางกะทันหัน แล้วกระซิบเอ่ยถ้อยคำกำกวม “สิ่งที่เ้าไม่รู้ยังมีอีกเยอะ อยากให้อธิบายรายละเอียดมากกว่านี้หรือไม่เล่า”
เชิงอรรถ
[1] ชาวจีนสมัยโบราณถือว่าอายุ 15 ปี เป็่ที่เด็กหญิงก้าวเข้าสู่วัยสาว เป็วัยที่ปักปิ่นทำผมและสามารถออกเรือนได้แล้ว ถึงเรียกว่า "วัยปักปิ่น"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้