“สมาธิ!”
หลินเฟิงพึมพำขณะกะพริบตาครั้งหนึ่ง
ความหมายของท่านอาจารย์คือเื่ที่สอดคล้องกับเจตนาเดิม การมีพร์ที่สูงส่งก็เหมือนกับผู้ที่มีจิตสังหาร หากมีจิตสังหารในหัวใจอย่างแท้จริง พร์จึงจะทรงพลัง
นอกจากนี้ผู้ที่มีเมตตา มีจิตใจที่เมตตากรุณา คนประเภทนี้จะมีพร์ที่สูงเช่นกัน
“เจตนาเดิมของข้านั้น จริงๆ ไม่ได้สอดคล้องกับสิ่งที่ข้าเป็อยู่” หลินเฟิงถอนหายใจ การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มันมีกดดันจนเกินไป การรักษาเจตนาเดิมเอาไว้มันเป็เื่ยาก คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำตามเจตนาเดิมของตัวเองได้
อย่างเช่นจากหลินเฟิงที่ไม่ค่อยสันทัดในการสังหาร แต่หลังจากต้วนเทียนหลางทำลายนิกายหยุนไห่ และตระกูลไป๋ได้นาบตราทาสลงบนใบหน้าหานหมาน ด้วยความเกลียดชังภายในใจแล้วหลินเฟิงจะนิ่งนอนใจได้อย่างไร แม้เขาจะรู้ดีว่ามันขัดกับเจตนาเดิม แต่เขาจำเป็ต้องทำเพราะเขาก็เป็คนธรรมดาคนหนึ่ง
นอกจากนี้มนุษย์ทั้งปวงย่อมมิอาจหนีจากอารมณ์ทั้งเจ็ด และความปรารถนาทั้งหกได้
ดังนั้นคนชั่วร้ายอย่างแท้จริงมีเจตนาเดิมคือการสังหาร พวกเขาจะฝักใฝ่ในการสังหาร ทำให้พวกเขามีความสามารถสูงและทรงพลังอย่างมาก เพราะพวกเขาได้ทำในสิ่งที่สอดคล้องกับเจตนาเดิม
“ท่านอาจารย์ ได้โปรดสอนข้า” หลินเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ แล้วโค้งคำนับเล็กน้อยขณะที่ท่านอาจารย์กำลังบรรเลงพิณอยู่
“สมาธิ!” ท่านอาจารย์กล่าวอย่างไม่แยแสขณะบรรเลงพิณ “การกระทำและเจตนาเดิมของเ้ามันไม่สอดคล้องกัน จึงจำเป็ต้องมีสมาธิ ทำให้จิตที่มีกิเลสแปรเปลี่ยนเป็จิตใจอันสงบ ละทิ้งโลกที่ยุ่งเหยิง ชำระสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในใจ แล้วสิ่งเหล่านี้จะไม่กลายเป็อุปสรรคของเ้า”
“สมาธิ ชำระล้างสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ในใจ”
ขณะที่หลินเฟิงพึมพำ น้ำเสียงใจเย็นยังคงลอยเข้าหูอย่างต่อเนื่อง หลินเฟิงตระหนักดีแล้วจึงค่อยๆ นั่งลงที่พื้นท่ามกลางสวนดอกท้ออย่างเชื่องช้า จากนั้นดวงตาของเขาก็ค่อยๆ ปิดลง
ท่านอาจารย์ยังคงก้มหน้าบรรเลงพิณต่อไป การเคลื่อนไหวของเขาพลิ้วไปตามบทเพลง ทว่าศีรษะกลับไม่เคยเงยขึ้นมาเลย
เมิ่งฉิงเหลือบมองหลินเฟิงที่นั่งอยู่บนพื้น นางหันไปและเดินไปข้างหลังหลินเฟิง แล้วชมดอกท้อที่ลอยว่อนไปตามสายลม แม้ตอนที่อาศัยอยู่ในหุบเขาเฮยเฟิงนางก็ไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามเช่นนี้มาก่อน
เสียงเพลงที่บรรเลงนี้เหมาะแก่การนั่งสมาธิ มันทั้งสงบและเรียบง่ายจนทำให้ผู้คนลืมสิ้นทุกอย่าง และละทิ้งทางโลกที่ยุ่งเหยิง
เหตุการณ์มากมายผุดขึ้นในความคิดของหลินเฟิง นับั้แ่มาทวีปเก้า์ครั้งแรก ตอนที่ถูกไล่ออกจากตระกูลแล้วไปจากเมืองหยางโจว ตอนที่กลับไปยังนิกายหยุนไห่อีกครั้ง จากนั้นต้วนเทียนหลางได้นำกองทหารม้าโลหิตมาทำลายนิกาย จนถึงปัจจุบัน ทุกอย่างล้วนปรากฏในสมองของหลินเฟิงชัดเจน
อย่างไรก็ตามภายในสมองของหลินเฟิงกลับไม่มีความเกลียดชังและความเ็ป ราวกับเป็ตัวตนที่สามที่มองอยู่เงียบๆ ภายในใจของเขาที่ล้อมรอบไปด้วยเสียงพิณ มันช่างสงบเงียบไร้ที่สิ้นสุด
บทเพลงนี้เหมาะแก่การทำสมาธิ แม้แต่จิติญญาของหลินเฟิงก็ยังไม่ต่อต้าน จึงทำให้สมองของเขาปลอดโปร่งและกระปรี้กระเปร่า ถึงหลินเฟิงจะไม่สันทัดเื่เพลงนัก แต่มันก็ช่วยชำระจิตใจของเขาได้
ท่ามกลางเสียงพิณอ่อนหวานที่บรรเลงไปชั่วขณะหนึ่ง หลินเฟิงก็สงบเงียบมากขึ้น จิตใจของเขาได้ผ่อนคลายลงอย่างสมบูรณ์ ก่อนจะค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา
ดอกท้อยังคงบินว่อนไปทั่วฟ้า โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ดวงตาของหลินเฟิงก็ค่อยๆ เปิด เมื่อเขาลืมตาขึ้นกลับเห็นท่านอาจารย์ยังคงบรรเลงพิณ เสียงพิณนั้นทำให้จิตใจสงบลงได้อย่างน่าประหลาด
ส่วนเมิ่งฉิงยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับรูปปั้น
หลินเฟิงค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แต่ในเวลานี้แววตาของเขาดูแข็งทื่อ ความประหลาดใจฉายชัดอยู่บนใบหน้า
“ขอบเขตแห่งจิติญญา... ขั้นที่ 5?”
หลินเฟิงตรวจสอบพลังของตัวเอง ไม่ผิดแน่ นี่คือขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 คาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทะลวงขอบเขตโดยที่ไม่รู้ตัวเลย
“นี่หรือคือผลลัพธ์ของการทำสมาธิ ช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
หลินเฟิงตกตะลึงทั้งที่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม ขอบเขตแห่งจิติญญานั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะบรรลุได้ แต่หลินเฟิงทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 4 โดยใช้เวลาไม่นานนัก ในตอนนี้เขากลับมาทะลวงได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง
“ขอบคุณขอรับ ท่านอาจารย์”
หลินเฟิงโค้งคำนับให้ท่านอาจารย์อีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถทะลวงขอบเขตได้เพราะเสียงบรรเลงพิณของอาจารย์
ในขณะนั้นมือทั้งสองข้างของท่านอาจารย์ก็หยุดบรรเลงเพลงลงในที่สุด แล้วเงยหน้ามองหลินเฟิงอย่างอ่อนโยน
“ไม่จำเป็ต้องขอบคุณข้า เพราะหยวนชี่ภายในร่างกายของเ้า เ้าถึงทะลวงขอบเขตแห่งจิติญญาขั้นที่ 5 ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเพลงพิณของข้าที่บรรเลงจึงช่วยให้เ้าทะลวงขอบเขตได้เร็วมากขึ้น”
อาจารย์กล่าวยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงเป็มิตร เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นมิอาจคาดคะเนได้ อย่างไรก็ตามอาจารย์ท่านนี้ไม่เย่อหยิ่งเหมือนอาจารย์สองท่านนั้นที่หลินเฟิงเคยเจอเลยแม้นิดเดียว
“ถ้าไม่มีเสียงพิณของท่านอาจารย์ คงเป็เื่ยากที่จะทะลวงขอบเขตได้เร็วเช่นนี้ ถ้าไม่มีการชี้แนะจากท่าน ข้าคงไม่ได้มาที่นี่ ท่านอาจารย์ ท่านไม่จำเป็ต้องรู้สึกละอายใจกับคำขอบคุณหรอกขอรับ ข้าขอบคุณท่านด้วยใจจริง”
หลินเฟิงยิ้มและกล่าวอย่างจริงใจ
อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย แล้วยิ้มขณะกล่าวว่า “งั้นข้าจะรับคำขอบคุณจากเ้า”
หลินเฟิงเผยรอยยิ้มสดใสและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ ครั้งก่อนท่านบอกว่า ถ้าข้า้าคำแนะนำก็สามารถมาหาท่านได้ ตอนนี้ท่านอาจารย์ได้โปรดสอนดีดพิณแก่ข้าด้วยเถอะขอรับ”
อาจารย์เหลือบมองหลินเฟิงก่อนถามว่า “เ้าไม่กลัวผลกระทบจากการบ่มเพาะของเ้าหรือ?”
“การฝึกสภาพจิตใจก็คือส่วนหนึ่งของการฝึกฝน” หลินเฟิงกล่าวขณะยิ้ม ทำให้อาจารย์ตกตะลึงและพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเ้า้าจะเรียนพิณ ข้าจะพยายามสอนเ้าสุดความสามารถ”
อาจารย์มองหลินเฟิงและกล่าวว่า “ในภายภาคหน้า เมื่อเ้ามีเวลาว่างก็มาหาข้าได้ที่นี่ วันนี้เ้าควรฟังข้าบรรเลงพิณก่อน เ้าต้องเรียนรู้ที่จะฟังเสียก่อน เมื่อมีคุณสมบัติแล้วค่อยมาพูดเื่การฝึกพิณอีกครั้ง”
“ขอรับ” หลินเฟิงกล่าวโดยไม่มีความคิดเห็นอื่นอีก การฟังเพลงพิณนั้นสามารถช่วยในการฝึกฝนได้ จึงไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ
ท่านอาจารย์นั่งลงบนเก้าอี้หินอีกครั้งและบรรเลงพิณต่อ ส่วนหลินเฟิงและเมิ่งฉิงยังคงอยู่ท่ามกลางสวนดอกท้อ อีกทั้งยังทำสมาธิไปด้วยขณะที่ฟังเพลง
…
หลินเฟิงอยู่ในห้อง และในเวลานี้ได้มีร่างเงาไม่กี่คนยืนอยู่ที่นี่
หลินเฟิง หลิ่วเฟย หานหมานและพั่วจวิน
หลินเฟิงมองไปที่หานหมานและพั่วจวิน และกล่าวถามว่า “พวกเ้าคิดดีแล้วหรือ?”
“อื้ม พี่หลิน ข้าคิดดีแล้ว” หานหมานพยักหน้า ใบหน้าของเขาในตอนนี้สวมหน้ากากสีเงินเพื่อซ่อนตราทาสไว้
ผู้คนที่ถูกนาบตราคำว่าทาส มันจะคงอยู่ไปตลอดชีวิตของพวกเขา นอกเสียจากการฝึกฝนถึงระดับขอบเขตสูงสุด มันจะสามารถสร้างกระดูกและเื แปรเปลี่ยนเป็เนื้อหนัง เมื่อนั้นจะสามารถลบคำว่าทาสออกไปได้ ดังนั้นหานหมานและพั่วจวินจำเป็ต้องแข็งแกร่งมากกว่านี้โดยเร็วที่สุด
ไม่มีใครที่อยากถูกนาบตราทาสแน่ เพราะมันจะสร้างรอยแผลเป็ติดตัวไปตลอดชีวิต จนไม่อาจให้ผู้คนเห็นมันได้
“พี่หลิน ข้าก็คิดดีแล้วเช่นกัน”
พั่วจวินก็พยักหน้าด้วยเช่นกัน อายุของเขาและหานหมานมากกว่าหลินเฟิงไม่มาก แต่พวกเขากลับเต็มใจเรียกหลินเฟิงว่า ‘พี่หลิน’ แน่นอนว่าหลินเฟิงก็ไม่ได้รู้สึกแปลกนัก สำหรับหลินเฟิงแล้วแม้อายุจะห่างกันถึงสองปี ก็ไม่นับว่าเป็อะไร
“ก็ได้ งั้นข้าจะไม่ขัดขวางพวกเ้า” หลินเฟิงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม และกล่าวกับหลิ่วเฟยว่า “เฟยเฟย ต้องรบกวนเ้าแล้ว เ้าช่วยเขียนจดหมายแนะนำให้พวกเขาที”
“อืม” หลิ่วเฟยพยักหน้าแล้วลงมือเขียนจดหมาย
“หานหมาน พั่วจวิน พวกเ้าใช้อาวุธอะไร?” หลินเฟิงกล่าวถามอีกครั้ง
“ข้าไม่จำเป็ต้องใช้อาวุธ เพราะผืนดินคืออาวุธของข้า” หานหมานกล่าวพลางส่ายหน้า
ทางด้านพั่วจวินครุ่นคิดสักครู่ก่อนตอบว่า “ข้าใช้หอก”
“เยี่ยม” หลินเฟิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมือออกไป ทันใดนั้นมีแสงสว่างวูบวาบเกิดขึ้น แล้วปรากฏหอกสีดำขึ้นบนมือของหลินเฟิง
“หืม?” พั่วจวินและหานหมานต่างตกตะลึง จู่ๆ ก็มีหอกอยู่ในมือของหลินเฟิง?
“ไม่ต้องแปลกใจไป ข้ามีแหวนหินที่สามารถเก็บสิ่งของได้”
หลินเฟิงไม่ได้ปิดบังเื่นี้ต่อทั้งสองคน หานหมานไม่ได้คิดอะไร แต่ภายในใจพั่วจวินกลับรู้สึกซาบซึ้ง เนื่องจากหลินเฟิงไม่เพียงช่วยชีวิตเขาเท่านั้น แต่ยังวางใจในตัวเขาด้วย ทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจมาก
“พั่วจวิน ข้ามอบหอกเล่มนี้ให้แก่เ้า”
หลินเฟิงส่งหอกที่อยู่ในมือให้กับพั่วจวิน ทันทีที่พั่วจวินรับมันไว้ เขาพลันรู้สึกได้ถึงกระดูกและชีพจร และยังรู้สึกถึงกลิ่นอายอันแหลมคมที่โอบล้อมหอกเล่มนี้เอาไว้อย่างชัดเจน
หอกเล่มนี้ราวกับว่ามันมีชีวิต!
“นี่เป็อาวุธจิติญญา ดูแลรักษาให้ดีๆ ในระหว่างการต่อสู้ก็จงระมัดระวังด้วย”
หลินเฟิงกล่าวกำชับหานหมานกับพั่วจวินที่้าเดินทางไปที่เขตชายแดน
“อาวุธจิติญญา!”
ม่านตาของพั่วจวินพลันหดตัวลง เขาเคยได้ยินเกี่ยวกับอาวุธจิติญญามาก่อน
อาวุธจิติญญามีกระแสจิตที่แหลมคม มีหยวนชี่และพลังโจมตีที่มากกว่าปกติ หอกเล่มนี้เป็สิ่งที่ล้ำค่าและเป็ของที่หาได้ยาก แต่หลินเฟิงกลับมอบมันให้กับเขา
พั่วจวินรู้สึกว่าสิ่งที่อยู่ในมือตัวเองมันช่างหนักหนาเหลือเกิน
ขณะนั้นเองหลิ่วเฟยก็เดินเข้ามาหา แล้วมอบจดหมายแนะนำให้กับหานหมาน “เมื่อไปถึงเมืองต้วนเริ่นแล้ว จงมอบมันให้กับท่านพ่อของข้า แล้วเขาจะเข้าใจเอง”
“อืม” หานหมานพยักหน้าแล้วมองไปที่หลินเฟิง จากนั้นจึงกล่าวว่า “พี่หลิน พวกข้าต้องไปแล้ว”
“ระวังตัวด้วย” หลินเฟิงพยักหน้าให้หานหมานที่กำลังหันหลังแล้วก้าวเดินออกไปราวกับไม่มีความอาลัยอาวรณ์เลยสักนิด แต่ใครจะรู้ว่าใบหน้าของชายร่างใหญ่ผู้นี้กำลังขึ้นสีแดงเรื่อ
พั่วจวินโค้งคำนับหลินเฟิงครั้งหนึ่ง และเดินตามหานหมานไป
หลินเฟิงไม่ได้ไปส่งพวกเขา เขาเพียงมองส่งจนแผ่นหลังของทั้งสองลับตาไป และภาวนาอยู่ในใจให้ทั้งสองคนนั้นปลอดภัย!