อาจารย์อารองที่ได้ฟังคำของบุคคลตรงหน้าก็ถึงกับอึ้งสนิท “เ้าลิงน้อยนี่พูดจาอันใดกัน” คนหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า หากรับศิษย์หญิงแล้วให้เขาเก็บไว้เองเกรงว่าเ้าเด็กน้อยนี่จะถูกจวินเหยียนและอวิ๋นซีนำความสกปรกมาแปดเปื้อนเข้าให้แล้ว
“เดิมทีก็เป็เช่นนั้นนี่ ก่อนหน้านี้มารดาข้าก็บอกท่านแล้วไม่ใช่หรือว่าท่านกล้าหา บิดาข้ากล้านอน นางก็จะทำลายพวกท่านทั้งสอง ถึงแม้บิดาข้าจะภักดีต่อมารดาถึงหมื่นส่วนทว่าร้อยเล่ห์มารยาของสตรีเดี๋ยวนี้ก็มากเกินไปจริงๆ ใครจะไประแวดระวังได้หมดกัน” เด็กน้อยพูดพลางส่ายหน้า
ต้านีเอ๋อร์อดทนฟังต่อไปไม่ได้แล้วจึงกล่าวขัด “คุณหนู หากท่านยังพูดต่อต้านีจะไปบอกอาจารย์เื่ที่ท่านแอบออกไปหอคณิกา” เหตุที่คุณหนูรู้มากเพียงนี้ต้องเป็เพราะยามนั้นที่ถือโอกาสตอนอาจารย์ทั้งสองไม่อยู่ในจวนแอบออกไป
สิ่งเลอะเทอะมากมายล้วนรู้หมด
“อย่า ต้านี เ้าจะบอกเื่นี้กับท่านแม่ข้าไม่ได้ มิเช่นนั้น นางจักต้องตีข้าจนขาหักแน่”ท่านแม่เป็สตรีที่ชอบใช้ความรุนแรง ด้วยเื่นี้นางเห็นมากับตาตน เคยเห็นกระทั่งรอยฟันบนลำคอของท่านพ่อทำให้ตัวนางเองได้แต่บอกตนเองไม่มีหยุดว่า ตนจะไปหาเื่ท่านแม่ไม่ได้
หากถูกท่านแม่รู้เข้าว่าตนไปหอคณิกา คาดว่า หนังตนคงได้ถูกถลกออกมา
“หึหึ” อาจารย์อารองเหมือนว่าจะจับจุดอ่อนของเด็กน้อยได้ เขายิ้มพูดว่า“นางไม่บอกมารดาเ้า แต่ตัวข้าจะเป็ผู้ไปบอกนางเอง แน่นอน หากเ้าตกลงกราบข้าเป็อาจารย์ข้าก็จะขอรับประกันด้วยชีวิตว่าจะปกป้องศิษย์ของข้าเอง”
หวานหว่านกลอกตา “เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะบอกมารดาว่า ตัวท่านนั่นแหละที่เป็คนพาข้าไปทั้งยังจะบอกด้วยว่า ท่านเรียกหญิงคณิกามานั่งเป็เพื่อน” ครั้งก่อนตอนแฝงตัวเข้าไปในหอคณิกาประโยคแรกที่นางได้ยินก็คือ แม่เล้า ข้า้าหญิงคณิกาในหอเ้า พาตัวนางออกมาเดี๋ยวนี้
ด้วยเหตุนี้ หวานหว่านจึงคิดว่า หญิงคณิกาจะต้องเป็แม่นางที่งดงามที่สุดในหอคณิกา
อาจารย์อารองใช้สายตาพินิจพิจารณาเ้าสัตว์ประหลาดตัวน้อยตรงหน้า“เ้านี่มันชั่วร้ายเกินไปแล้ว”
หวานหว่านพาดตัวไปบนโต๊ะ พูดอย่างได้ใจ “คนชั่วชีวิตยืนยาวคนดีอายุไม่ยืน”
ในที่สุดอาจารย์อารองก็ถูกเด็กน้อยอายุหกขวบกว่าเถียงคำไม่ตกฟาก ถอนหงอกไม่รู้กี่เส้นทำเอาผู้าุโเช่นเขาไม่รู้แล้วว่าตนควรจะตอบกลับเช่นไรดี เขาก็แค่อยากรับคนเป็ศิษย์ก็เท่านั้นแต่เหตุใดจึงยากเย็นเพียงนี้? ตอนนี้ไม่เพียงรับศิษย์ไม่สำเร็จแต่คาดว่ายังจะต้องกระอักเือีกด้วย
และทุกอย่างก็เป็จริงดังคาด เมื่อเขาคิดเช่นนี้ อีกด้านหนึ่งหวานหว่านก็เริ่มเปิดปากถามขึ้นอีกครั้ง“อาจารย์ปู่ ท่านมีตำรากลั่นพิษหรือไม่? ”
อาจารย์อารองมองนาง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่มี ไม่มีแน่นอน”
หวานหว่านมอง ยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมทีคิดว่า ครั้งหน้ายามที่มารดาข้าทำขนมเค้กก็ตั้งใจจะให้นางเตรียมไว้เผื่อให้ท่านด้วยสักหน่อย ขนมเค้กที่ข้าหมายถึงนั้นมีกลิ่นหอมหวานรสัันุ่มนิ่ม ถือเป็ของว่างรสเลิศแห่งใต้หล้านี้จริงๆ เพราะหากชีวิตนี้ไม่มีโอกาสให้ได้กินสักชิ้นก็นับว่าเสียทีที่เกิดเป็คนแล้ว”
เมื่อต้านีเอ๋อร์และเอ้อนีได้ยิน ก็พากันพยักหน้า ก่อนจะเป็เอ้อนีที่ดวงตาทั้งสองสุกไสวกล่าวสนับสนุน“ข้าชอบสิ่งที่เรียกว่าเค้กเนยที่ฮูหยินทำที่สุดเลย อร่อยมาก”
“ใช่แล้ว บนโลกนี้ก็มีเพียงมารดาข้าเท่านั้นที่ทำเค้กอะไรนี่เป็”หวานหว่านยิ้มพูดว่า “เมื่อพวกเราไปถึงเมืองหลวงแล้วก็ให้ท่านแม่ข้าลงมือเข้าครัวด้วยตนเอง”
เมื่ออาจารย์อารองได้ยินคำว่าขนมเค้กหอมหวาน นุ่มนวล ชั่วขณะนั้นคนก็เผลอกลืนน้ำลายแล้ว“คือว่า คือว่า หวานหว่านที่รัก อาจารย์ปู่เองก็อยากกินขนมอะไรนั่นเช่นกัน”
“ท่านงกเพียงนั้น แม้แต่คัมภีร์พิษที่เป็เหมือนของขวัญแรกพบเจอตามมารยาทที่ข้า้าก็ยังไม่มีให้ดังนั้น ข้าก็จะไม่ให้ท่านกินหรอก” เมื่อพูดจบ นางก็หันกายไป และเริ่มสาธยายต่อว่าของหวานที่ท่านแม่ทำน่ากินเพียงไร
เมื่อได้ฟังๆ ไป พยาธิในท้องอาจารย์อารองก็ราวกับลุกขึ้นมาเต้นแล้ว ทว่า หากจะให้ตนมอบตำราพิษที่มีให้นางก็ไม่ใช่ว่าจะเป็เื่ที่ทำไม่ได้เพียงแต่ตัวเข้าอยากให้เ้าเด็กน้อยนี่ยินยอมกราบกรานตนเป็อาจารย์เสียก่อน ยามนี้ในใจเขาจึงรู้สึกอัดอั้นตันใจยิ่งเพราะด้านหนึ่งคือของอร่อย ส่วนอีกด้านหนึ่งคือหลักการที่ต้องกราบอาจารย์
หรือว่า ของอร่อยและหลักการจะอยู่ร่วมกันไม่ได้?
เพียงครู่หนึ่ง สุดท้ายเขาก็พูดขึ้นว่า “ช่างเถอะ อย่างไรเสียของอร่อยก็สำคัญกว่า”เมื่อพูดจบ เขาก็นำตำรากลั่นพิษเล่มหนึ่งออกมาให้หวานหว่าน “นี่คือวิชาร้อยพิษที่อาจารย์ข้าเป็ผู้ถ่ายทอดให้ข้าเชียวนะ”
ทันทีที่หวานหว่านได้เห็นตำราก็รีบรับมาอย่างไม่มีความเกรงใจเลยสักนิดไม่อาจไม่พูดได้ว่า ไม่ว่าจะเป็คัมภีร์พิษ หรือตำราวิชาร้อยพิษต่างก็มีดีกันไปคนละอย่าง
“เอาล่ะ อันนี้ให้ท่าน” หวานหว่านยิ้ม ก่อนจะนำของว่างออกมามอบให้อาจารย์อารอง“ส่วนเค้กที่ท่านอยากกิน ต้องรอจนกว่าเราจะไปถึงเมืองหลวง ตามความคิดข้า่นี้ท่านก็อยู่กับข้าไปก่อน เมื่อไปถึงเมืองหลวงเมื่อใด ข้าจะให้ท่านแม่ทำขนมเค้กให้ท่านกิน”
ดียิ่ง ตำราวิชาร้อยพิษมาอยู่ในมือแล้ว แค่เพียงเท่านี้นางก็รู้สึกได้ว่า คืนนี้ตนก็จะสามารถนอนหลับฝันหวานได้แล้ว
อวิ๋นซี จวินเหยียนและคนอื่นๆ ต่างเดินทางกันด้วยรถม้าอยู่สองวัน จากนั้นจึงเปลี่ยนไปเป็เดินทางทางน้ำแทนซึ่งตลอดระยะทางที่ผ่านไปอาจเรียกได้ว่าค่อนข้างราบรื่นทีเดียว แม้ว่าในระหว่างทางนี้จะต้องเจอเข้ากับพวกโจรที่ไม่รักชีวิตถึงกับกล้ามาแฝงตัวอยู่บนเรือแต่คนเ่าั้ก็ล้วนถูกองครักษ์ของจวินเหยียนสังหาร ก่อนจะนำไปโยนลงแม่น้ำให้เป็อาหารปลา
กระทั่งวันที่สิบเดือนแปด ในที่สุดอวิ๋นซีและคณะเดินทางก็มาถึงเมืองที่ตั้งอยู่ห่างจากเมืองหลวงไปร้อยกว่าลี้ทันทีที่ลงจากเรือแล้ว พวกเขาก็เห็นองค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลานมารอรับอยู่ที่ท่าเทียบเรือนานแล้วยิ่งกว่านั้น เื้ัเขายังมีคนมาด้วยกลุ่มหนึ่ง
เมื่อเทียนหลานเห็นเหล่าคนที่คุ้นเคยมาถึงแล้วเขาก็รีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว สองพี่น้องต่างมองกันและกันแล้วส่งยิ้มให้ “พี่รอง ข้ารับพระบัญชาเสด็จพ่อ ให้มารับท่านกับพี่สะใภ้รองและหวานหว่านกลับเมืองหลวง”เช้าวันนี้ หลังจากเสร็จประชุมเช้า พระบิดาก็เรียกหาเขา และให้เขาพาองครักษ์นับร้อยมารอรับพี่รองอยู่ที่นี่
ตอนนั้น เขาอึ้งไป
พี่รอง จะกลับมาแล้ว
เื่นี้ ตัวเขาเพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้ ทว่าอย่างไรในใจก็ให้ยินดียิ่งในที่สุดคืนวันที่พี่น้องจะได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้งก็มาถึงแล้ว
เมื่อจวินเหยียนได้ยินว่า เ้าสี่รับพระบัญชาให้มารอรับก็ไม่ได้มีท่าทียโสเขาทำเพียงพูดอย่างเรียบเฉย “เสด็จพ่อมีพระเมตตา ลำบากน้องสี่แล้ว”
จวินเหยียนนำอวิ๋นซีและหวานหว่านขึ้นรถม้า จากนั้นคนทั้งขบวนก็มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงอย่างเอิกเกริก
ทางด้านเมืองหลวง สำหรับเื่ที่องค์ชายสี่ขี่ม้าออกไปในครั้งนี้ ไม่ว่าผู้ใดที่ได้ทราบต่างก็พากันดึงสติกลับมาไม่ได้และเป็รัชทายาทที่สั่งให้คนไปสืบความมา ทว่า องครักษ์ข้างกายเสี้ยวเหวินตี้กลับเก็บความลับไว้อย่างแ่านไม่มีแพร่งพรายออกมาราวกับถังเหล็กก็ไม่ปาน
รอกระทั่งพวกเขาได้ทราบข่าวว่า จวินเหยียนและพระชายาพาลูกกลับมาเมืองหลวงแล้วทุกคนต่างพากันตกตะลึง
หานอ๋องที่เมื่อสิบปีก่อนถูกขับไล่ออกไปน่ะหรือ กลับมาแล้ว?
ด้วยเื่นี้ก่อเกิดเป็พายุลูกใหญ่ในเมืองหลวง คนไม่น้อยต่างก็ถูกพายุหอบนั้นพัดพาจนมึนงงไปหมดแล้วเดิมทียังคิดว่า ชั่วชีวิตนี้พระโอรสสายตรงของฮ่องเต้ผู้นี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางให้ได้กลับมาแน่ทว่า ยามนี้เขากลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว อีกทั้ง ฝ่าายังให้องค์ชายสี่เป็ผู้นำเหล่าคนไปรับด้วยพระองค์เองและให้เข้าเมืองมาอย่างเอิกเกริก เช่นนี้ก็เหมือนกับฝ่าาประกาศต่อผู้คนภายนอกว่าหานอ๋องได้รับพระบัญชาให้กลับมายังเมืองหลวงแล้ว อีกทั้ง พระองค์ยังคงให้ความสำคัญกับบุตรชายผู้นี้มาก?
ยิ่งกว่านั้น เมื่อคนในกลุ่มนั้นมองเห็นชายที่ขี่ม้าอยู่เคียงข้างองค์ชายสี่ก็เป็อันต้องอึ้งไป
เสนาบดีกรมพระคลัง ใต้เท้าจี้หยวน?
คนผู้นี้เป็ถึงตำนานเล่าขานของหนานเย่า เหล่าขุนนางและชาวบ้านในเมืองหลวงล้วนรู้จักเขาดีแต่มาวันนี้เมื่อได้เห็นเขาปรากฏกายอยู่ที่นี่ ขุนนางไม่น้อยต่างก็พากันเดาได้ว่า่นี้เหตุที่เสนาบดีกรมพระคลังผู้นี้ไม่อยู่ในเมืองหลวง เกรงว่าคนคงจะไปรับหานอ๋องและครอบครัวมาจากหานโจวกระมัง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ คนไม่น้อยก็ชวนคิดต่อไปว่า อีกไม่นานเมืองหลวงจะต้องเกิดคลื่นลมใหญ่ขึ้นมาอีกระลอกแน่เพราะยามนี้พระโอรสสายตรงของฮ่องเต้กลับมาเมืองหลวงแล้ว ทว่าการที่พระโอรสทั้งห้าอยู่พร้อมหน้ากันเช่นนี้เมืองหลวงแห่งหนานเย่าจะเกิดเื่อันใดขึ้น?
ใครจะรู้?
รอดูต่อไปเถิด อย่างไรเสียก็คงจะไม่ใช่เื่ดีอะไร
ยิ่งกว่านั้น บางคนยังรู้สึกราวกับได้กลิ่นคาวเือันเข้มข้นลอยมาแต่ไกลแล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้