“คราวนี้น่าจะผ่านไปชั้นที่ 9 ได้แล้ว!”
เย่เฟิงปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในการขัดเกลาครั้งนี้ พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากนั้นเย่เฟิงขึ้นไปยังชั้นสุดท้ายของเจดีย์เชื่อมฟ้า เขาไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้ในชั้นถัดไปของเขานั้นจะเป็ใคร
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้ที่ 1 สองคนถูกเขาฆ่าตายภายในพริบตา ข้าชักจะเริ่มสงสัยเสียแล้วสิ ว่าเขายังเป็คนอยู่ไหม?” เมื่อสาวน้อยหลิงเอ๋อร์เห็นฉากอันน่าตกตะลึงนี้ก็อดขยี้ตาตัวเองไม่ได้ นางแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง
เหล่าฝูงชนบริเวณด้านนอกต่างรอการเคลื่อนไหวบนเจดีย์เชื่อมฟ้าเงียบ ๆ
“ไฟบนชั้นที่ 9 สว่างแล้ว!” จู่ ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมากลางฝูงชน วินาทีนั้นทุกคนล้วนจ้องมองไปยังชั้นที่ 9 เป็ตาเดียว ไฟชั้นที่ 9 สว่างขึ้นจริง ๆ
“เป็ไปไม่ได้ นี่จะเป็ไปได้อย่างไร?” ตอนนั้นเองทุกคนต่างพากันนิ่งงันอยู่กับที่เหมือนกับไก่ไม้ เป็ที่รู้กันว่าใน 500 ปีที่ผ่านมา อาณาจักรจ้าวมีเพียงองค์ชายใหญ่ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถขึ้นไปยังชั้นที่ 8 ได้ ซึ่งทำลายสถิติที่ถูกบันทึกไว้มากว่า 500 ปี
เจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9 หลายคนไม่กล้าคิดถึงมัน เห็นได้ชัดว่าเป็สถานที่ที่น่ากลัวเพียงใด?
รูม่านตาองค์ชายใหญ่พลันหดเล็กลง เขารู้ดีถึงความน่ากลัวของเจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 8 แม้แต่ความแข็งแกร่งของเขาก็ไม่อาจผ่านการทดสอบของชั้นที่ 8 ไปได้ แต่บัดนี้กลับมีคนทำได้ นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
“ไม่ว่าคนที่อยู่ในชั้นที่ 9 จะเป็ใคร? ไม่ว่าผลงานในรอบสุดท้ายจะเป็เช่นไร? แต่ข้าจะต้องรับเขาเข้าสำนักชิงอวิ๋นให้ได้!” ผู้าุโเฉียนคิดในใจ ไม่ว่าคนคนนั้นจะเป็ใคร แต่เขาย่อมรู้ว่าถ้าหากผ่านไปยังชั้นที่ 9 ได้มันหมายถึงเช่นไร
เมื่อเห็นไฟบนชั้นที่ 9 สว่างขึ้น สีหน้าจ่านเฉินก็เปลี่ยนไป ความริษยาปรากฏอยู่ในแววตา เจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9 ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็ไม่อาจทำได้
เวลานี้มีแค่สี่คนที่อยู่ในเจดีย์เชื่อมฟ้า นั่นคือจ้าวซิง เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ เจียงเซิ่งหลิง และเย่เฟิง นอกจากสี่คนนี้แล้วที่เหลือก็ออกมากันหมด
“ดูเหมือนครั้งนี้ ข้าจะต้องลงมือเอง!” ในเจดีย์เชื่อมฟ้า หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจออกมาเพื่อระงับความตื่นตระหนก จากนั้นนางก็เดินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายที่อยู่อีกห้อง
“นางหนู เ้าควรจะออมมือให้เขาบ้าง” ชายชรากำชับเด็กสาวคนนั้น แต่ไม่มีความคิดที่จะหยุดอีกฝ่าย
“ข้าทราบแล้วท่านปู่” เด็กสาวยิ้มทะเล้นใส่ชายชรา นางสะบัดมือเพื่อกระตุ้นการทำงานของค่ายกลบนพื้นดิน พลันค่ายกลเปล่งแสงสว่างขึ้นมา ก่อนที่พลังมิติจะห่อหุ้มร่างเด็กสาวจนกระทั่งร่างของนางค่อย ๆ จางหายไป
เย่เฟิงมองสำรวจไปทั่วชั้นที่ 9 ของเจดีย์เชื่อมฟ้า เพิ่งขึ้นมาได้ไม่นานที่เบื้องหน้าก็ปรากฏกลุ่มแสงสว่างขึ้น ตอนนี้เอง ร่างที่สวมอาภรณ์สีม่วงร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในสายตาของเย่เฟิง จำต้องบอกว่าหลิงเอ๋อร์ไม่เพียงแต่มีใบหน้าที่งดงามพิสุทธิ์ เรือนร่างของนางก็ยังน่าประทับใจอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าอายุเพียง 15-16 ปี ทว่าร่างกายของนางกลับคล้ายหญิงสาววัยสะพรั่ง ตอนที่เย่เฟิงได้ยลโฉมหลิงเอ๋อร์เป็ครั้งแรก ก็ถูกความงามพิสุทธิ์ดึงดูดใจจนตาเป็ประกาย
“มองอะไร? ไม่เคยเห็นสาวงามหรือไง?” ราวกับรับรู้ถึงสายตาแผดเผาของเย่เฟิง ใบหน้าอันงดงามของหลิงเอ๋อร์ก็แสดงความไม่พอใจออกมา
“เ้าเป็คนจริง ๆ ไม่ใช่ภาพลวงตา?” เมื่อเห็นหลิงเอ๋อร์แสดงท่าทีตอบสนอง เย่เฟิงก็ขมวดคิ้ว เขาแผ่พลังจิตออกไปและััได้ถึงพลังชีวิตในร่างของหลิงเอ๋อร์ ซึ่งเป็การยืนยันการคาดเดาของเขา
“อืม” หลิงเอ๋อร์พยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าคือผู้ดูแลเจดีย์เชื่อมฟ้าชั้นที่ 9 แห่งนี้ ถ้าอยากจะผ่านด่านนี้ไป เ้าจะต้องรับมือข้าสิบกระบวนท่า”
เมื่อกล่าวจบ หลิงเอ๋อร์ก็ยกมือเท้าเอวแล้วยืดอก หน้าอกอวบอิ่มกับใบหน้าอันงดงามนั่น ช่างเป็การโจมตีที่รุนแรงนัก
“สิบกระบวนท่า?” เย่เฟิงได้ฟังคำพูดของหลิงเอ๋อร์ก็พลันหรี่ตา “ที่เ้าพูดเป็เื่จริงหรือ?”
“ข้าไม่เคยโป้ปด” หลิงเอ๋อร์กล่าวอย่างมั่นใจ ด้วยความแข็งแกร่งของนาง ถ้าใช้พลังอย่างเต็มที่จะกลายเป็การรังแกเย่เฟิง
“เมื่อเป็เช่นนั้น เ้าก็ลงมือเถอะ!” เย่เฟิงยิ้มอย่างเฉยชา เขาอยากจะรู้ว่าเด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะแข็งแกร่งมากขนาดไหนกันเชียว
“ระวังตัวด้วยละ!” ใบหน้างดงามของหลิงเอ๋อร์ฉายแววอันตราย เหนือร่างกายอันเย้ายวนปรากฏลำแสงสีม่วงขึ้นมา อากาศถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีม่วง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็แถบผ้าสีม่วงนับไม่ถ้วนพุ่งไปมัดร่างของเย่เฟิง
เย่เฟิงแสดงสีหน้าเ็า พลังหอกขั้นผันแปร่ปลายก็พวยพุ่งออกมา และควบแน่นเป็หอกอันทรงพลังในอากาศ ประกายหอกอันเย็นเยียบพุ่งเข้าใส่แถบผ้าเ่าั้!
“กึก ๆ!”
เมื่อหอกเข้าปะทะกับแถบผ้า เสียงแปลก ๆ ก็ดังขึ้นกลางอากาศ แต่ตัวหอกนั้นไม่อาจฉีกกระชากพวกมันได้เลย มิหนำซ้ำยังถูกแถบผ้าเข้าพัวพันจนไม่อาจบินไปข้างหน้าได้
“แข็งแกร่ง!” ฉากดังกล่าวได้สร้างความใให้กับเย่เฟิง ใบหน้าของเขาพลันแข็งทื่อ เย่เฟิงรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของเด็กสาวได้จากการปะทะกันในครั้งนี้
จนถึงตอนนี้นางคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เย่เฟิงเคยพบมา ไม่แปลกเลยที่เด็กสาวคนนั้นจะบอกว่าถ้าเย่เฟิงรับมือกับนางได้สิบกระบวนท่า ถือว่าผ่านด่านนี้!
“ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ” แค่พริบตาเดียวแถบผ้าสีม่วงก็เข้ามาใกล้เขาแล้ว แต่เย่เฟิงยังคงมีสติและตัดสินใจจะหลบหนี พลังดาราคลุมร่างกายชั้นหนึ่ง ฉับพลันแผนที่ดาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ลวดลายอันน่าอัศจรรย์ก็พรั่งพรูออกมา ขณะเดียวกันเย่เฟิงก้าวย่างจนเกิดเป็แสงดาราบนท้องฟ้า ร่างกายของเขาราวกับเคลื่อนไหวด้วยทักษะพิเศษจึงสามารถฝ่าวงล้อมแถบผ้าสีม่วงออกมาได้ แม้พวกมันจะมีจำนวนมาก ทว่าก็ไม่มีเส้นไหนเลยที่แตะถูกตัวเย่เฟิง
“คราวนี้ละ เ้าจะหลบอย่างไร!” ดวงตาหลิงเอ๋อร์ฉายแววคมกริบ เมื่อนางสะบัดฝ่ามือ แถบผ้าสีม่วงก็พุ่งออกมาจากกลางฝ่ามือของนางทันที
“ฟิ้ว!” แถบผ้าสีม่วงนับไม่ถ้วนส่งเสียงแปลก ๆ ราวกับมีชีวิต มันสามารถติดตามกลิ่นอายบนตัวเย่เฟิงได้ ไม่ว่าเย่เฟิงจะหนีไปทางไหน มันก็สามารถเคลื่อนย้ายตามไปอย่างรวดเร็ว เหมือนมีตาหลังแปะอยู่
“เด็กสาวคนนี้ไม่ง่ายเลยจริง ๆ !” สีหน้าเย่เฟิงไม่ค่อยสู้ดีเท่าไร แม้ว่าเขาจะเร็ว แต่แถบผ้าสีม่วงมีจำนวนที่เยอะมาก สุดท้ายก็มีบางจังหวะที่เขาหลบไม่ทัน ทำให้เอวของเขาถูกแถบผ้ารัดเข้าให้
“ขาดไปซะ!” เย่เฟิงเห็นท่าไม่ดี จึงใช้หอกัเงินประกายตวัดฟันแถบผ้า คมหอกทอแสงเย็นะเืวูบหนึ่ง
“ฉัวะๆ!” แถบผ้าสีม่วงสองเส้นถูกตัด แต่ก็ยังมีอีกสองเส้นพุ่งเข้ามาทันที!
“ข้าไม่เล่นกับเ้าแล้ว!” หลิงเอ๋อร์แสดงสีหน้าซุกซน เหมือนกำลังหยอกล้อกับเย่เฟิงอยู่ เมื่อแถบผ้าทั้งสี่รัดเอวของเขา ก็เป็เื่ยากมากที่จะตัดพวกมันด้วยหอก
ครู่ต่อมาเย่เฟิงรู้สึกได้ว่ามีพลังมหาศาลบางอย่างกำลังกระชากร่างให้พุ่งไปข้างหน้า จากนั้นฝ่ามือบอบบางก็ฟาดมายังร่างของเขา ร่างกายเย่เฟิงสั่นสะท้านรุนแรง หากไม่ใช่เพราะเกราะเทพาช่วยสลายพลังหลิงเอ๋อร์ไปบางส่วนละก็ เกรงว่าการโจมตีนี้เขาอาจได้รับาเ็สาหัส
“เ้าจะรับมือกับกระบวนท่าที่สามไหวหรือไม่?” หลิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย เหมือนปีศาจที่มีใบหน้าของทูต์
ต่อหน้าหลิงเอ๋อร์ เย่เฟิงเหมือนไม่มีแรงจะตอบโต้ นี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกไร้พลังต่อหน้าผู้หญิง ระดับการบ่มเพาะของทั้งสองคนมีช่องว่างที่ใหญ่เกินไป ซึ่งเย่เฟิงไม่สามารถชดเชยได้ด้วยพลังต่อสู้เพียงเล็กน้อย
“ปัง!” หลิงเอ๋อร์ซัดฝ่ามือที่สองใส่ร่างกายของเย่เฟิง อวัยวะภายในของเขาะเือย่างรุนแรงจนแทบกระอักเื
เขากัดฟันแน่นไม่คิดถอยหนี ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของหลิงเอ๋อร์ เย่เฟิงกระชากร่างอันอวบอิ่มของหลิงเอ๋อร์เข้ามาในอ้อมกอด เพราะถูกแถบผ้าของอีกฝ่ายควบคุมไว้ ดังนั้นนี่จึงเป็วิธีเดียวที่เขาจะไม่ถูกอีกฝ่ายโจมตี ความนุ่มหยุ่นบดเบียดที่หน้าอกทำให้เย่เฟิงรู้สึกตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็ได้กลิ่นหอมสดชื่นลอยเข้าจมูก
เมื่อถูกเย่เฟิงกอดกะทันหันเช่นนี้ หลิงเอ๋อร์ก็ใจนตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ
“เ้าเด็กนี่! ถึงขั้นลวนลามหลานสาวของข้า ดูซิว่าข้าจะจัดการกับเ้าอย่างไร!” ชายชราที่ดูสถานการณ์อยู่หน้าม่านแสง เมื่อเห็นเย่เฟิงกอดหลิงเอ๋อร์อย่างหน้าตาเฉย จึงอดสบถออกมาไม่ได้
“ไอ้สารเลว ปล่อยข้านะ!” หลิงเอ๋อร์ที่ได้สติกลับมาก็ตวาดใส่เย่เฟิงด้วยเสียงเกรี้ยวกราด และผลักเย่เฟิงออกอย่างฉุนเฉียว ั้แ่เล็กจนโต ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนกล้าทำกับนางเช่นนี้ ทำให้บดนี้นางชักอยากจะฆ่าเย่เฟิงขึ้นมาแล้วจริง ๆ
ด้วยความร้อนรน แถบผ้าสีม่วงของหลิงเอ๋อร์ก็คลายออกก่อนจะพันกันอย่างยุ่งเหยิง
“หอกตัดิญญา!” เย่เฟิงไม่ปล่อยโอกาสดีเช่นนี้ไปอย่างแน่นอน เขาก้าวไปข้างหน้าและเป็ฝ่ายโจมตีก่อน หอกในมือะเิพลังออกมากลายเป็ลำแสงทำลายล้างอันทรงพลัง
หลิงเอ๋อร์แสดงสีหน้าแข็งทื่อก่อนจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางยังคงโมโหที่ถูกเย่เฟิงกอด แต่กว่าหลิงเอ๋อร์จะตั้งสติขึ้นมาได้ หอกที่น่ากลัวก็ได้เข้ามาใกล้นางแล้ว มันสายเกินไปที่จะตอบโต้ หลิงเอ๋อร์จำต้องล่าถอยและพลาดโอกาสที่จะจับตัวเย่เฟิง
“หอกปลิดชีวี!” เย่เฟิงฉวยจังหวะนี้แสดงกระบวนท่าที่สาม หอกปลิดชีวี แค่ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่ามีไว้เพื่อปลิดชีวิต แม้ตบะของหลิงเอ๋อร์จะแข็งแกร่ง แต่ท่ามกลางความวุ่นวายเช่นนี้ หลิงเอ๋อร์ที่ไม่มีการเตรียมตัวก็ถูกการโจมตีของเย่เฟิงแทงเข้าที่ร่างทันที
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!” เย่เฟิงโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยไม่คิดจะให้หลิงเอ๋อร์มีเวลาได้ตั้งตัว ฝ่ามือทรงพลังนับไม่ถ้วนก็เข้าปะทะร่างของหลิงเอ๋อร์จนนางถอยร่นไปหลายก้าว
เมื่อหลิงเอ๋อร์สงบใจลงได้ จึงเตรียมที่จะโจมตีกลับ ทว่าเย่เฟิงกลับทวงสัญญาที่นางเคยพูดไว้
“ครบสิบกระบวนท่าแล้ว เ้าแพ้!” หลังจากปล่อยการโจมตีเสร็จ เขาก็ดีดตัวถอยหลัง ไม่ลงมืออีก
หลิงเอ๋อร์เม้มปากแน่น แสดงสีหน้าไม่เต็มใจออกมา “ไร้ยางอาย!”
แต่เย่เฟิงไม่สนใจที่หลิงเอ๋อร์พูด เขายังคงถามต่อไปว่า “ตอนนี้ถือว่าผ่านการทดสอบทั้งหมดของเจดีย์เชื่อมฟ้าหรือไม่?”
“เอาชนะข้าได้ ก็ถือว่าผ่านแล้ว” แม้ว่าหลิงเอ๋อร์จะไม่เต็มใจ แต่ก่อนหน้านี้ นางเสนอเงื่อนไขให้เย่เฟิงรับมือกับนางสิบกระบวนท่า ส่วนจะใช้วิธีไหนรับมือ นางไม่ได้ระบุ ดังนั้นแม้ว่าเย่เฟิงจะลวนลามนาง แต่ก็ประมือกับนางครบสิบกระบวนท่าแล้วจริง ๆ นางจึงแย้งอะไรไม่ได้
“ในเมื่อผ่านด่านแล้ว เช่นนั้นข้าขอลา!” เย่เฟิงคำนับหลิงเอ๋อร์แล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่ลังเล ทิ้งให้หลิงเอ๋อร์เบิกตามองอยู่กับที่อย่างตกตะลึง
“คนเลว!” เมื่อเห็นเย่เฟิงจากไปอย่างไม่ลังเล หลิงเอ๋อร์ก็กระทืบเท้าอย่างโมโห
ในสายตาของนาง เย่เฟิงเป็คนที่คาดเดาได้ยาก ทั้งที่ทำเื่น่ารังเกียจกับนาง แต่กลับไม่ขอโทษนางสักคำราวกับเป็เื่ที่ถูกต้อง ช่างไร้ยางอายจริง ๆ
หากหลิงเอ๋อร์ได้พบคนไร้ยางอายเช่นนี้อีก ต้องได้เห็นดีกันแน่!
