เมื่อเห็นว่าตรงก้นแจกันขรุขระไม่สม่ำเสมอมีร่องรอยการทำขึ้นมาใหม่อย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของจางฮุยิจึงดูแย่มาก ราวกับว่าขณะที่กำลังทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยนั้นพลันกัดไปโดนแมลงวันตายตัวหนึ่งและรู้สึกขยะแขยงจนขนลุก
“แบบนี้......”กล้ามเนื้อบนใบหน้าของจางฮุยิกระตุกขึ้นทันที หลังจากนั้นจึงพูดขึ้นพร้อมแสดงสีหน้าลำบากใจ“แบบนี้มันคงมีมูลค่าไม่ถึง 1 พันหยวนหรอกนะ”
เขาเงยหน้ามองหลินเยว่อย่างสงสัยแล้วถามขึ้น“ในเมื่อคุณก็รู้อยู่แล้วว่าเป็ของปลอม แล้วทำไมถึงยังซื้อมาอีกล่ะ?”
“ผมพนันไง คุณดูสีเคลือบด้านนอกตรงนั้นสิ เหมือนเครื่องเคลือบสีเขียวบ๊วยมากผมพนันว่าเครื่องเคลือบชิ้นนี้ไม่ได้เป็ของเลียนแบบขึ้นมาใหม่ แค่ตรงก้นแจกันถูกติดทับลงไปในภายหลังเท่านั้นเอง”
น้ำเสียงของหลินเยว่ไม่ได้มีความทะเยอทะยานเหมือนเหล่านักพนันเลยสักนิดราวกับว่าเขากำลังพูดในสิ่งที่ไม่น่าพูดถึงเื่หนึ่งเท่านั้นเอง
จางฮุยิได้ยินเช่นนี้จึงรีบก้มลงไปดูตรงรอยต่อระหว่างส่วนก้นแจกันกับตัวเครื่องเคลือบ้าแต่ไม่ว่าจะสังเกตอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันมีสภาพแบบนี้มาั้แ่แรกเริ่มอยู่แล้วสุดท้ายเขาจึงมองหลินเยว่ด้วยสายตาอ่อนใจ “คุณช่างกล้าจริงๆ แต่ว่าเงิน 1 พันนี้มีโอกาส 80% ที่น่าจะหายไปฟรีๆ”
จางฮุยิไม่ได้ปิดบังความคิดที่แท้จริงของตนเองการพูดคุยกันด้วยความจริงใจเช่นนี้จึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างหลินเยว่และอีกฝ่ายมีความใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น
“ยังไงๆ ก็แค่ 1 พันหยวน ถือว่าไม่เยอะ ก็คิดเสียว่าเป็การซื้อบทเรียนบทหนึ่งก็แล้วกัน”ขณะที่หลินเยว่พูด เขาก็มองชามเคลือบในมือของจางฮุยิหลังจากนั้นจึงยิ้มและพูดขึ้น “ครั้งนี้คุณชนะแล้ว ของล้ำค่าในรัชศกเต้ากวงแล้วยังมีลักษณะดีขนาดนี้ ราคาของมันจะต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ เลย”
“ผมโชคดีน่ะ ตอนที่ไปก็เจอคนนอกวงการคนหนึ่งมาตั้งแผงขายอยู่พอดีดังนั้น ก็เลยรีบพุ่งตรงเข้าไปซื้อชามใบนี้มา หากไปช้ากว่านี้อีกนิดเดียวมันก็จะกลายเป็ของคนอื่นแล้วล่ะ คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้ผมจะโชคดีเก็บตกได้ฮ่าๆ......”
สีหน้าของจางฮุยิมีแต่ความดีใจ
พวกเขาทั้งสองคนคุยกันอย่างยิ้มแย้มแล้วมุ่งหน้าเดินออกไปทางด้านนอกของถนนวัตถุโบราณด้วยกันจากการแข่งขันเล็กๆ น้อยๆในเช้าวันนี้ของพวกเขายังไม่สามารถมองออกว่าศักยภาพของอีกฝ่ายเป็อย่างไร เพราะต่างคนต่างทำในเื่ที่มีความชัดเจนในของตัวเอง
คนหนึ่งเห็นได้ชัดว่ากำลังพนัน โอกาสในการพนันชนะไม่ค่อยเยอะอย่างน้อยในสายตาของจางฮุยิก็เป็เช่นนี้
อีกคนซื้อเครื่องเคลือบที่เห็นได้ชัดว่าเป็ของแท้โดยไม่ต้องใช้สายตาอันเฉียบคม เพราะหากอยู่ในวงการวัตถุโบราณมาสักระยะหนึ่งก็จะต้องซื้อเครื่องเคลือบชิ้นนี้กลับมาอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าอาจจะมองไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีความสามารถแค่ไหนแต่ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลินเยว่และจางฮุยิก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ได้แข่งกันก็คงไม่ได้ใกล้ชิดกันหรอก
เมื่อกลับถึงโรงแรมท่านเฮ่อฉางเหอยังไม่ได้กลับมาแผนการของหลินเยว่ที่้าให้อาจารย์ของตนพิสูจน์เครื่องเคลือบจึงต้องเลื่อนออกไปก่อนเพราะไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ได้เร่งร้อนอยู่แล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จแล้วเขาจึงทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วนอนกรนหลับไป วันนี้เขาใช้พลังสมาธิมากจนเกินไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็ต้องพักผ่อนเพื่อให้พลังฟื้นตัวคืนกลับมา
การนอนครั้งนี้ก็ลากยาวไปถึงตอนสี่โมงเย็น ส่วนท่านเฮ่อฉางเหอก็ยังไม่ได้กลับมา
หลินเยว่อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงได้แต่พักอยู่ในห้องของตนเอง แล้วจึงโทรศัพท์หาฉินเหยาเหยา
ตอนแรกเขาคิดว่าฉินเหยาเหยาจะเหมือนกับตนเองที่กำลังนั่งเบื่ออยู่ในห้องคาดไม่ถึงว่าเธอกลับกำลังเดินทางไปยังบ้านเกิดของเขาข้างกายเธอยังมีสถาปนิกติดตามไปด้วย เป้าหมายก็คือเพื่อให้แบบก่อสร้างรีสอร์ตสำเร็จลุล่วงอย่างรวดเร็วที่สุด
คาดไม่ถึงว่าฉินเหยาเหยาจะจัดการได้รวดเร็วถึงเพียงนี้หลินเยว่รู้สึกภูมิใจในตัวเธอ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็กังวลว่าเธอจะเหนื่อยจนเกินไปดังนั้น เขาจึงกำชับเธออยู่หลายประโยค
ฉินเหยาเหยาก็บอกหลินเยว่ให้รักษาสุขภาพของตัวเองด้วยการคุยโทรศัพท์ในครั้งนี้ พวกเขาคุยกันอย่างหวานชื่นเต็มไปด้วยความสุขนานถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่งเลยทีเดียว
หากไม่ได้เป็เพราะฉินเหยาเหยาจะต้องลงจากรถไฟคาดว่าพวกเขาคงจะคุยต่อเนื่องไปจนถึงตอนกลางคืน
ส่วนการจัดการงานต่างๆ ของฉินเหยาเหยาหลินเยว่ก็รู้สึกวางใจมาก การมอบงานรีสอร์ตให้กับคนรักของตนเองก็เป็สิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้วไม่เหนื่อยมากจนเกินไปแต่ก็มีอะไรให้ทำ ที่สำคัญที่สุดก็คือเขาสามารถให้ฉินเหยาเหยาได้อยู่เป็เพื่อนบิดามารดาของตนเองที่บ้านเกิดได้นานขึ้นและช่วยดูแลพวกท่านแทนตัวเขาด้วย
ก่อนหน้านี้ที่เขากลับบ้านเกิด 1 สัปดาห์ มารดาของหลินเยว่ก็คิดว่าฉินเหยาเหยาเป็ลูกสะใภ้ของตนเองแล้วและไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้เลย ถึงแม้จะเป็หลินเยว่ก็ตาม ดังนั้นฉินเหยาเหยาในสถานะลูกสะใภ้สกุลหลินก็ไม่มีใครสั่นคลอนตำแหน่งนี้ของเธอได้เลย
ส่วนหลินเยว่ก็ยอมรับเหตุการณ์นี้อย่างยินดีแม่สามีลูกสะใภ้รักใคร่กันดีก็เป็สิ่งที่เขาอยากเห็นที่สุด แต่ทว่าแล้วเมื่อไรเขาถึงจะได้พบกับพ่อตาแม่ยายล่ะ?
หลินเยว่ก็กำลังเพ้อฝันอย่างไร้ขีดจำกัดสุดท้ายเขาจึงได้แต่ตบศีรษะของตัวเองอย่างแรง
คิดไกลเกินไปหรือเปล่า?!
เมื่อถึงตอนสองทุ่ม ท่านเฮ่อฉางเหอถึงได้กลับมา หลินเยว่จึงรีบอุ้มเครื่องเคลือบไปหาอาจารย์ของตนถึงห้องพักและท่านเจี่ยเหวยเกิ่งก็อยู่ในห้องด้วยพอดี
ท่านเฮ่อฉางเหอเห็นเครื่องเคลือบที่หลินเยว่วางไว้บนโต๊ะเขาจึงกวาดตามอง สายตาของเขาจึงสะท้อนความประหลาดใจออกมา หลังจากนั้นจึงถามขึ้น“นี่คือสิ่งที่คุณได้มาจากวันนี้ทั้งวันจริงๆ หรือ?”
“ครับ” หลินเยว่พยักหน้ารับ ในใจแอบคิดอีกคำตอบ“หากพูดให้ถูกต้องจริงๆ ก็ต้องบอกว่าครึ่งวัน”
“เครื่องเคลือบสีเขียวบ๊วย?” ท่านเจี่ยเหวยเกิ่งที่อยู่ด้านข้างถึงกับขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นตอนนี้เครื่องเคลือบจากเตาเผาหลงเฉวียนในสมัยซ่งมันหายากมากแล้วทำไมถึงได้ปรากฏที่ถนนวัตถุโบราณได้ล่ะ?
“เป็สีเขียวบ๊วย แต่ว่าตรงก้นแจกันมีปัญหาอยู่”
ยังคงเป็ท่านเฮ่อฉางเหอที่มีสายตาเฉียบคม เพราะเพียงประโยคเดียวก็พูดในประเด็นที่เป็ปัญหาสำคัญ
หลินเยว่จึงรีบนำเครื่องเคลือบพลิกกลับมาและยื่นตรงก้นแจกันให้กับท่านทั้งสองดู
ท่านเฮ่อฉางเหอและท่านเจี่ยเหวยเกิ่งสังเกตก้นแจกันเบื้องหน้าอย่างละเอียดจากประสบการณ์ที่มีมาหลายปีก็ทำให้สภาพจิตใจของพวกเขาไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงได้ง่ายนักแต่ทว่าก้นแจกันที่ดูแย่ขนาดนี้ก็ยังทำให้พวกเขาถึงกับขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
พวกเขาทั้งสองคนไม่ได้เร่งร้อนที่จะพูดข้อสรุปว่าเป็ของแท้หรือว่าของปลอมเห็นได้ชัดว่าท่าทีของพวกเขาดูมีความละเอียดรอบคอบมาก
เมื่อสังเกตไปสักพักท่านเฮ่อจึงหยิบแว่นขยายจากในลิ้นชักที่เขาเตรียมมาจากคุนิหลังจากนั้นจึงเล็งตรงไปที่ก้นแจกันและส่วนท้องแจกันที่เชื่อมต่อกันแล้วจึงสังเกตอย่างละเอียดทันที
หลังจากสังเกตเสร็จแล้วท่านเฮ่อจึงยื่นแว่นขยายให้กับท่านเจี่ย แล้วท่านเจี่ยจึงสังเกตต่อ
เมื่อเห็นการกระทำที่รู้ใจกันระหว่างผู้าุโทั้งสองและสีหน้าที่มองไม่ออกว่าพวกเขากำลังรู้สึกอย่างไรหลินเยว่จึงได้แต่เกิดความข้องใจอย่างหนักไม่รู้ว่าอาจารย์ของตนและท่านเจี่ยสังเกตเห็นอะไรบ้าง เขาอยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าถามเพราะเกรงว่าจะเป็การรบกวนพวกท่าน แต่พอไม่ถามก็ทำให้เขาต้องเก็บเอาไว้จนรู้สึกอึดอัดไปหมด
สุดท้าย ท่านเจี่ยจึงลุกขึ้นยืนแล้วยื่นแว่นขยายคืนให้กับท่านเฮ่อ พวกท่านทั้งสองสบตาและส่งยิ้มให้กัน
“อาจารย์ ท่านเจี่ยผลการพิสูจน์เป็อย่างไรครับ?”
เมื่อเห็นว่าพวกท่านทั้งสองสังเกตเสร็จแล้วหลินเยว่จึงถามขึ้นอย่างร้อนใจ
ในที่สุดก็สามารถตั้งคำถามได้แล้ว หากต้องเก็บไว้นานกว่านี้เขาต้องแย่แน่ๆเลย
ท่านเฮ่อส่งยิ้มพร้อมส่ายศีรษะและพูดขึ้น“เื่นี้มันเกินขอบเขตความสามารถของพวกเราแล้วล่ะจำเป็ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาดูอาจารย์กับตาแก่เจี่ยไม่กล้ายืนยันว่ามันเป็ของแท้หรือของปลอมดูตรงก้นแจกันเหมือนเป็ของปลอม แต่ดูจากสีเคลือบกลับเป็ของแท้พวกเราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
ท่านเจี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ยิ้มพร้อมพยักหน้า
มองไม่ออกยังดีใจอย่างนี้อีกหรือ?
หลินเยว่มองท่านทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังคิดอะไรอยู่
“ผู้เชี่ยวชาญ?แล้วอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็ผู้เชี่ยวชาญล่ะครับ?”
หลินเยว่ถามขึ้นหรือว่าปรมาจารย์แห่งการพิสูจน์เครื่องเคลือบยังไม่นับว่าเป็ผู้เชี่ยวชาญอีกหรือ?
“คำว่าผู้เชี่ยวชาญนี้หมายถึงคนที่เชี่ยวชาญด้านการซ่อมแซมเครื่องเคลือบโดยตรงผมกับอาจารย์ของคุณต่างรู้สึกว่าก้นแจกันกับตัวแจกันไม่ได้อยู่ในยุคสมัยเดียวกันแต่ก็ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ แต่ว่าเครื่องเคลือบชิ้นนี้ของคุณมีโอกาสเป็ของแท้ 70%หากเคาะส่วนก้นให้แตกแล้วขายแต่ตัวแจกันไม่แน่หรอกนะอาจจะขายได้เป็แสนหยวน แต่ก่อนอื่นต้องไม่ให้คนอื่นรู้ความจริงเกี่ยวกับก้นแจกัน”
ท่านเจี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มแต่ทว่าสายตาที่ท่านมองหลินเยว่กลับมีความหมายบางอย่างแฝงอยู่
“ความหมายของท่านก็คือถึงแม้ว่าจะเป็ของปลอมแต่หากเอาตรงก้นแจกันออก แค่มองแต่สีเคลือบจากส่วนที่เหลืออยู่ก็สามารถหลอกคนได้และก็สามารถขายได้ในราคาสูงใช่ไหมครับ?”
หลินเยว่ถามอย่างสงสัย เขารู้สึกว่าคนรุ่นก่อนก็สมกับเป็คนรุ่นก่อนจริงๆวิธีการสุดยอดแบบนี้ก็ยังสามารถคิดออกมาได้แต่ว่าสีเคลือบนั้นมันก็สามารถหลอกคนได้ไม่น้อยจริงๆ นั่นแหละ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้