สวี่ซื่อตบมือ “รอก่อนเถิด วันพรุ่งท่านซิ่วไฉนั่นไปเมื่อไร ข้าจะรีบไปเอาเงินคืน!”
เอาสิบตำลึงเงินกลับมา!
สวีฝูเก็บเงินห้าตำลึงเงินจากบ้านตระกูลหลินเสร็จถึงคราวบ้านเหล่าซาน ต้องพูดอยู่สักพักเช่นกันกว่าจะได้เงิน
เขานำเงินไปมอบให้หลินหวั่นชิวทันทีที่ได้เงินครบ ที่บอกหลินซย่าจื้อว่าต้องส่งไปให้ซิ่วไฉเฒ่าเป็เพียงข้ออ้าง กลัวพวกนางขัดขวางไม่ยอมจ่ายเท่านั้น
ตอนนี้บ้านตระกูลหลินกลายเป็ตัวตลกในหมู่บ้าน
ผู้ใดใช้ให้นางรู้ข้อมูลแค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็วิ่งอวดไปทั่วว่าลูกชายตัวเองได้รับความชื่นชมจากท่านอาจารย์กันล่ะ สุดท้ายไม่เพียงไม่ได้รับความชื่นชม แต่กลายเป็ว่าก่อหายนะครั้งใหญ่
ทว่านี่ยังไม่จบเสียทีเดียว
เมื่อโจวเอ้อร์เหนิงพาหลินจินเป่ากลับมา พวกเขาถึงได้เพิ่งรู้ว่าหลินจินเป่าถูกหลี่ซิวไฉ่ไล่ออกจากโรงเรียน
หลินซย่าจื้อร้อนใจมาก หมู่บ้านแถวนี้มีเพียงหมู่บ้านข้างๆ ที่เดียวที่มีโรงเรียนส่วนตัว หากทางโน้นปฏิเสธไม่ให้เข้าเรียน จินเป่าของนางจะทำอย่างไร?
หลินซย่าจื้อร้อนรนจนไม่มีอารมณ์มากินข้าว รีบเดินทางเข้าตำบล
หลินหวั่นชิวถือเงินสิบตำลึงเงินไว้ในมือ กล่าวกับเจียงหงหนิงว่า “ไว้เ้าหายดีแล้ว พี่สะใภ้จะส่งไปเรียนกับท่านอาจารย์หลี่!”
ค่าเรียนปีละสองตำลึงเงิน รวมกับค่าอุปกรณ์การเรียนต่างๆ สิบตำลึงเงินก็เพียงพอแล้ว
เงินนี้เป็เงินที่เจียงหงหนิงถูกรุมทำร้ายเพื่อได้มา หลินหวั่นชิวไม่คิดจะนำไปใช้กับอย่างอื่น
“พี่สะใภ้ ข้าไม่ไปเรียน ท่านเก็บเงินไว้ซื้อยาให้เอ้อร์เกอเสียดีกว่า” เจียงหงหนิงรีบส่ายหน้า สถานการณ์ในบ้านพวกเขาย่ำแย่ขนาดไหน ย่ำแย่ถึงขั้นอยากให้เหรียญทองแดงแยกออกเป็สองเหรียญ มีรายรับเพิ่มเข้ามาสิบตำลึงเงินยังช่วยจุนเจือครอบครัวได้บ้าง
“พี่สะใภ้ ท่านนำเงินไปซื้อผ้าสองฉื่อ[1]มาตัดเสื้อผ้าสักชุดเถิด” เจียงหงหนิงพูดต่อ พี่สะใภ้ดีกับเขา ดีกับครอบครัวเขา แต่เขากลับเคยระแวงว่านางจะหนีไปแบบสองคนก่อนหน้านี้
เจียงหงหนิงรู้สึกผิดมาก อยากทำกระไรเพื่อเป็การชดเชย
หลินหวั่นชิวยีหัวเขาด้วยรอยยิ้ม “เด็กเขลาคนนี้ เสื้อผ้าของพี่สะใภ้มีต้าเกอเ้าซื้อให้อยู่แล้ว ไม่ต้องให้เ้าเป็ห่วง อีกอย่าง เ้าตั้งใจศึกษาเล่าเรียน วันหน้าสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวน[2] อยากซื้อสิ่งใดให้ พี่สะใภ้รับทั้งนั้น”
หลินหวั่นชิวรู้ว่าการสอบจ้วงหยวนในยุคนี้ยากเหมือนขึ้น์ นางแค่พูดไปแบบนั้น คิดไม่ถึงว่าเจียงหงหนิงจะเก็บเอาไปคิดจริงๆ
เจียงหงป๋อช่วยโน้มน้าวเช่นกัน “เชื่อฟังพี่สะใภ้ ไปเรียนหนังสือ!” ดียิ่งนัก ั้แ่มีพี่สะใภ้เข้ามา วันเวลาของครอบครัวพวกเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
เจียงหงหนิงยอมตอบตกลง เปลือกตาที่บวมเหมือนลูกเหอเถา[3]มีน้ำตาไหล เขาคว้ามือหลินหวั่นชิว จ้องตานางพูดอย่างจริงจังว่า “พี่สะใภ้วางใจเถิด ข้าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน วันหน้าสอบได้ตำแหน่งจ้วงหยวนแล้วจะทูลขอราชโองการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ให้ท่าน!”
“ไอ๊หยา หงหนิงของพวกเรารู้จักการทูลขอราชโองการแต่งตั้งด้วย! ได้ พี่สะใภ้จะรอวันนั้น!” หลินหวั่นชิวไม่ได้เก็บเอาคำพูดกล่อมเด็กมาใส่ใจ ไม่คาดคิดเลยว่าอนาคตจะกลายเป็จริง
นางไม่ลืมปลอบใจเจียงหงป๋อที่นอนบนเตียงเมื่อพูดจบ “เ้าเองไม่ต้องร้อนใจ หายดีแล้วค่อยไปเรียนหนังสือเช่นกัน”
แต่เจียงหงป๋อกลับส่ายหน้า “พี่สะใภ้ ข้าไม่อยากเรียนหนังสือ ข้าอยากเรียนวิชาแพทย์” นี่คือผลลัพธ์จากการไตร่ตรองมาหลายวันของเขา ร่างกายเขาดีขึ้นแล้ว เคยคิดเื่เรียนต่อเช่นกัน
แต่จะให้ต้าเกอกับพี่สะใภ้เลี้ยงดูพวกเขาสองคน…เขาไม่อยากทำ และทำไม่ได้เช่นกัน เพราะอย่างไรวันหน้าต้าเกอกับพี่สะใภ้ต้องมีลูก เต็มไปด้วยค่าใช้จ่ายมากมาย
กว่าต้าเกอจะได้ภรรยาดีสักคนไม่ใช่ง่ายๆ เขาไม่อยากให้บุพเพของต้าเกอต้องล่มเพราะภาระแบบพวกเขาสองคนอีก
สองคนที่หนีไปก่อนหน้านี้ยังคงส่งผลกระทบต่อพวกเขามาก
อีกอย่าง การป่วยติดเตียงเป็เวลานานทำให้เขาอยากให้มีหมอผู้มีวิชาแพทย์ปราดเปรื่องมาช่วยรักษาให้เขาหายในทันควัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรารถนาที่จะเรียนวิชาแพทย์
หลินหวั่นชิวไม่รู้เลยว่าในใจเด็กคนนี้คิดซับซ้อนขนาดไหน นางไม่ค่อยรู้กระไรเกี่ยวกับเจียงหงป๋อมากนัก เห็นเขาพูดด้วยความจริงใจนางก็พยักหน้าตอบตกลง “ได้ เื่นี้รอให้ต้าเกอเ้ากลับมาแล้วค่อยให้เขาไปถามข้อมูลในอำเภอ” กินโอสถชำระไขกระดูกของนางไป เจียงหงป๋อต้องหายดีในไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว
“หงหนิง เ้าเป็อย่างไรบ้าง?” ในตอนนี้เอง มีเสียงฟู่เหรินนางหนึ่งดังขึ้นด้านนอก หลินหวั่นชิวรีบให้เจียงหงหนิงนอนลงบนเตียง ส่วนตัวเองเดินออกไปดู
“อาสองจ้าวเองหรือ เชิญเข้ามาเ้าค่ะ” หลินหวั่นชิวเห็นฟู่เหรินถือตะกร้ายืนอยู่นอกประตูก็รีบออกไปรับ
ฟู่เหรินยัดตะกร้าในมือให้หลินหวั่นชิว ถามอย่างเป็ห่วงว่า “ข้าได้ยินเื่ที่เกิดกับบ้านเ้าแล้ว ผักพวกนี้บ้านข้าปลูกเอง พวกเ้าไปกินเถิด จริงสิ หงหนิงเป็อย่างไรบ้าง? ข้ามาเยี่ยมเขา”
“ถูกรุมจนลุกจากเตียงไม่ได้…ท่านอาสองอย่าเข้าไปดูดีกว่า หงป๋อเองก็ป่วยอยู่ ประเดี๋ยวท่านจะป่วยไปด้วย”
อาสองจ้าวไม่ฟัง “ข้าไม่กลัว หากโรคนี้ติดกันได้จริง หลายปีมานี้เหล่าซานไม่เห็นจะป่วยตามบ้างเลย! พวกเขาสองพี่น้องนอนเตียงเดียวกัน พิสูจน์แล้วว่าโรคของเหล่าเอ้อร์ไม่แพร่สู่ผู้อื่น!”
พูดจบก็เดินตรงเข้าห้อง หลินหวั่นชิวรีบวางตะกร้าพิงกำแพงและตามเข้าไป
“อาสองจ้าว ท่านมาแล้วหรือ รีบนั่งก่อนขอรับ” เจียงหงป๋อที่นั่งพิงหัวเตียงกล่าวทักทายนาง อาสองจ้าวมองเขาแล้วพูดกับหลินหวั่นชิวว่า “ข้าดูแล้วสีหน้าเด็กคนนี้ดีขึ้นมาก คงใกล้หายดีแล้วกระมัง?”
หลินหวั่นชิวตอบ “เ้าค่ะ น้องรองของข้าใกล้หายดีแล้ว”
อาสองจ้าวมองไปทางอีกฟากของเตียงเมื่อพูด เมื่อเห็นหน้าที่บวมเป่งและช้ำเหมือนเปิดโรงย้อมผ้าของเจียงหงหนิงก็ต้องใจนเอามือปิดปาก “ไอ๊หยา เวรกรรมจริงๆ ทำร้ายกันถึงขนาดนี้เชียวหรือ!”
“ท่านอา พวกเราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่าเ้าค่ะ” หลินหวั่นชิวเชิญคนออกไปด้านนอก ในห้องมีคนป่วย ไม่ควรให้คนอื่นอยู่ในห้องเป็เวลานาน
แต่อาสองจ้าวไม่ถือสา ถ้าถือก็คงไม่เข้าห้องเจียงหงป๋อ เพราะคนในหมู่บ้านต่างก็บอกว่าเจียงหงป๋อเป็วัณโรค
“อาสองจ้าว!” จังหวะที่อาสองจ้าวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ขั้นบันได ด้านนอกก็มีคนมาเพิ่ม หวางกุ้ยเซียงนั่นเอง นางนำของมาให้เช่นกัน
“ท่านก็มาเยี่ยมหงหนิงหรือ เขาเป็อย่างไรบ้าง?” ผู้ใหญ่เข้าห้องเด็กผู้ชายได้ แต่สาวน้อยแบบนางเข้าไม่ได้
“พี่สะใภ้ นี่เป็ของเล็กๆ น้อยๆ แม่ข้าฝากมาให้หงหนิงบำรุงร่างกาย” นางยื่นตะกร้าในมือให้หลินหวั่นชิว หลินหวั่นชิวดูแล้วพบว่าเป็ผักเช่นกัน
“ขอบคุณเ้ามาก” หลินหวั่นชิวรับตะกร้าไปวางข้างตะกร้าของอาสองจ้าว
อาสองจ้าวพูดกับหวางกุ้ยเซียงว่า “…หน้านี่บวมจนดูไม่ได้ เ้าว่าทำไมเด็กพวกนี้ต้องลงมือหนักเช่นนั้นด้วย?”
หวางกุ้ยเซียงใ “หา? ร้ายแรงขนาดนั้นเชียว?”
อาสองจ้าว “ก็ใช่น่ะสิ เด็กใจดำพวกนี้…มีพ่อแม่แต่ไม่มีคนสั่งสอน!”
หวางกุ้ยเซียงกล่าวตามด้วยความโมโห “คนในหมู่บ้านพูดกันว่าให้จ่ายบ้านละห้าตำลึงเยอะเกินไป แต่ข้าว่ายังน้อยไปด้วยซ้ำ!”
หลินหวั่นชิวยกน้ำใส่น้ำตาลสองชามใหญ่มาต้อนรับพวกนาง
ยุคนี้ มีเพียงแขกที่สนิทสนมกันเท่านั้นที่จะได้ดื่มน้ำใส่น้ำตาล เป็การแสดงความเคารพต่อแขก อีกทั้งน้ำตาลก็ราคาแพงมากในชนบท
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ คือหน่วยวัดมีค่าเท่ากับ 10 นิ้ว
[2] จ้วงหยวน(状元) หรือที่คนไทยคุ้นเคยกันในชื่อ ‘จอหงวน’ คือชื่อตำแหน่งของผู้ที่สอบได้อันดับ1 ในการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการในยุคจีนโบราณ
[3] เหอเถา(核桃) หมายถึง ลูกวอลนัท