เมื่อเมิ่งเซวียนลุกขึ้น เหอตังกุยก็คว้าชุดคลุมยาวบนโต๊ะสวมให้เขา แม้เขาจะอยากอยู่ในห้องของนาง แต่อย่างน้อยก็ต้องใส่เสื้อผ้า เมื่อพวกฉานอีเดินเข้ามาก็สามารถอธิบายได้ว่า “เ้าชายเซวียนเดินหลงทางจึงถือโอกาสเข้ามานั่งเล่นที่นี่”
แต่เมิ่งเซวียนกลับไม่ให้ความร่วมมือแม้แต่น้อย ร่างกายของเขาอ่อนปวกเปียกราวเส้นบะหมี่ ขณะสวมชุดก็เกาศีรษะด้วยมือขวาและล้วงรูจมูกด้วยมือซ้าย เหอตังกุยจึงเอ่ยด้วยความหงุดหงิด “เ้าชาย เ้าเคยได้ยินเื่พลังชั่วร้ายในยุทธภพเกี่ยวกับการฟื้นฟูความเป็หนุ่มสาวหรือไม่? ข้ากลายเป็เด็กสตรีอายุสิบขวบด้วยการฝึกฝนวิชาชั่วร้ายนั่น เ้ารู้หรือไม่ว่าการฝึกเช่นนั้นต้องดูดสมองเด็กชายทุกวัน หากเ้ายังไม่ใส่เสื้อผ้า ข้าจะดูดสมองของเ้าเสีย”
เมิ่งเซวียนหัวเราะจนไหล่ไหว ขณะเดียวกันก็ยกแขนขึ้นสวมแขนเสื้อพลางจ้องมองใบหน้าเหอตังกุยพลางเอ่ย “ข้าไม่เคยเห็นใครน่าสนใจเช่นเ้ามาก่อน ข้าอยากเป็สหายกับเ้าจริง ๆ อ้อ จริงสิ แล้วชาน้ำค้างเกิดขึ้นได้อย่างไรหรือ?”
“อ้อ ชาน้ำค้างน่ะหรือ มันคือชาเข้มข้นที่ดีที่สุด จิบเพียงนิดเดียวก็มึนเมาได้” เหอตังกุยลากเมิ่งเซวียนลงจากเตียงเสมือนสาวใช้ตั้งใจทำงานอย่างไรอย่างนั้น นางจัดระเบียบคอเสื้อ เสื้อคลุมบริเวณอกและคาดเข็มขัด จากนั้นก็กดเขานั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้งเพื่อหวีผม พลางอธิบายต่อ “เหล้าทำให้คนเมา ชาก็ทำเช่นนั้นได้เหมือนกัน ฤทธิ์ของมันทำให้คนมึนเมามากกว่าเหล้าสามสิบเท่า หยดเดียวก็นอนหลับได้นานกว่าครึ่งวัน แม้ฟ้าจะร้องดังเพียงใดก็ไม่อาจปลุกให้ตื่นได้ แต่ชาน้ำค้างชนิดที่สามารถทำให้คนมึนเมาได้ถูกแจกจ่ายมากเกินไป ดื่มชาธรรมดาสิบถังก็ไม่เท่าชาน้ำค้างหนึ่งหยด คนกินยังไม่ทันจะเมาก็ตายเสียก่อน ด้วยเหตุนี้เื่ชาที่ทำให้คนมึนเมาจึงมีคนรู้น้อย”
“เ้า... ข้า... ยังมีท่านยายของเ้า พวกเราสามคนต่างก็ดื่มชา เหตุใดจึงไม่เป็อะไรเลยเล่า? นักฆ่าผู้นั้นไม่ได้จิบชาสักหยด หรือชาน้ำค้างอันล้ำค่าของเ้าใช้กับข้าเพียงผู้เดียว?” นี่เป็ครั้งแรกที่เมิ่งเซวียนนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งของสตรีแล้วถูกหวีผมให้ เขารู้สึกแปลกไม่น้อยจึงเอื้อมมือดึงตลับเครื่องประดับบนโต๊ะเครื่องแป้งออกมาเปิดดู
“ไม่ใช่เช่นนั้นเสียทีเดียว สิ่งที่แปลกที่สุดของชาน้ำค้างคือมันไม่ได้เกิดผลเพียงการดื่มเท่านั้น หากใช้จมูกสูดกลิ่นหอมก็ได้ผลเช่นกัน แต่จะออกฤทธิ์ช้ากว่า เหตุที่ท่านยายไม่เป็อะไรก็เป็เพราะ...หากใช้เพียงสมุนไพรยาสลบก็จะใช้ได้เฉพาะยอดฝีมือเท่านั้น หากใช้เพียงชาน้ำค้างก็จะใช้ได้กับทุกคน แต่หากได้รับยาสลบก่อนแล้วค่อยดื่มชาน้ำค้าง คนธรรมดาจะทำให้ทั้งสองสิ่งนี้เป็กลาง ด้วยเหตุนี้จึงปลอดภัย ไม่ได้รับอันตรายใด ๆ เช่นเดียวกับเหล่าไท่ไท่ หากผู้มีกำลังภายในเช่นเ้าดื่มชาน้ำค้างจะเป็การกระตุ้นฤทธิ์ยาสลบ ทันทีหลังจากนั้นก็จะไม่สามารถเดินหรือขยับเขยื้อนได้”
เหอตังกุยไม่มีฝีมือในการหวีผมให้ตัวเองนักแต่นางสามารถหวีผมให้คนอื่นได้ เพียงไม่นานก็สามารถทำมวยผมให้เมิ่งเซวียนเสร็จเรียบร้อย จากนั้นก็คิดจะลากเขาไปนั่งที่โต๊ะและรินน้ำชาให้ทำทีว่าแขกมาเยี่ยม ทว่าบุรุษผู้นี้กลับสนใจตลับเครื่องประดับของนางไม่น้อย เขานั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งราวูเาไท่ซาน เสมือนองค์พระประธานหนักกว่าพันจินที่ลากเท่าไรก็ไม่ยอมขยับ
เหอตังกุยอับจนหนทางจึงทำได้เพียงสั่ง “หากมีคนมาก็ลุกขึ้นยืนหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เอามือไพล่หลังแสร้งชื่นชมการตกแต่งห้องของข้า หากเ้าเชื่อฟัง ข้ามีเวลาเมื่อไรจะใช้เข็มเงินช่วยให้เืของเ้าไหลเวียนและช่วยให้ฤทธิ์ยาขับออกเร็วที่สุด”
เมิ่งเซวียนเลิกคิ้วมองอีกฝ่าย “เมื่อวานเ้าบอกเองไม่ใช่หรือว่าเ้าไร้หนทางช่วยข้าขับฤทธิ์ยานั่น ทำได้เพียงรอให้มันขับออกมาเอง ทั้งยังให้ข้าใช้เวลาอีกสองสามวัน?”
“เมื่อวานข้าง่วงและเบื่อหน่ายจะรับมือกับเ้า” เหอตังกุยเอ่ยคลุมเครือ หลังหยุดไปครู่หนึ่งจึงอธิบายต่อ “อีกอย่างการฝังเข็มของข้าหาได้ยากมากในแผ่นดินนี้ มีเพียงสาวใช้คนสนิทเท่านั้นที่เคยเห็น ข้าไม่สนิทกับเ้าจึงกลัวว่าเ้าจะเป็คนไม่ดีและมีเจตนาอื่นแอบแฝง ข้าจึงไม่กล้าเปิดเผยวิชาฝังเข็มที่หาได้ยากของข้าให้เ้าเห็น ทว่าตอนนี้เ้าสอนวิธีถ่ายทอดลมปราณให้ข้าแล้วก็เหมือนเป็สหายของข้าด้วย แน่นอนว่าความคิดที่ข้ามีต่อเ้าแตกต่างไปจากเดิม หวังว่าเ้าจะสามารถรักษาความลับที่ข้ารู้วิชาฝังเข็มได้ อย่าได้แพร่งพรายเื่นี้ให้ใครรู้จะดีที่สุด”
เมิ่งเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้าก็อยากขอให้เ้าเก็บความลับยา ‘เหอเหอชีรื่อชิง’ ไว้ด้วย จะว่าไป...เหตุใดสมองเล็ก ๆ ของเ้าจึงมีความรู้มากมาย มากกว่าพวกข้าที่เป็ (ผู้ใหญ่) คนเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เสียอีก ข้าอยากจะดูจริง ๆ ” ทันใดนั้นเขาก็เปิดกล่องเครื่องหอมพลันสูดดมก่อนพูดด้วยเสียงต่ำ “ไม่ผิดแน่ กลิ่นนี้เป็กลิ่นจื่อเซียว”
เหอตังกุยก้มตัวพับผ้าห่มก่อนหันกลับมามอง “นั่นคือกลิ่นหอมที่ทำจากดอกไม้แห่งความรัก นอกจากดอกไม้แห่งความรักแล้วยังมีพันธุ์ไม้หอมอื่น ๆ เช่น ดอกเลี่ยฮวา ต้นกานพลูและดอกมะลิ ข้าตั้งชื่อมันว่า “เครื่องหอมไร้กังวล” ”
“เครื่องหอมไร้กังวล?” เมิ่งเซวียนประหลาดใจพลันเอ่ยถาม “กลิ่นหอมนี้เ้าทำเองหรือ ไม่ได้หาซื้อจากด้านนอกหรือ?”
ขณะเหอตังกุยจัดระเบียบเตียงนอนก็ส่ายหัวพลันเอ่ย “แม่ของข้าทำมันเอง ข้าเพียงเพิ่มดอกเลี่ยฮวาเล็กน้อย ตั้งชื่อให้ว่า ‘กลิ่นหอมไร้กังวล’ เพราะทุกครั้งที่ข้าได้กลิ่นก็จะไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ...” เหอตังกุยคว้าหมอนพลางตบมันเบา ๆ ก่อนเอ่ย “ซื้อข้างนอกหรือ? ในร้านเครื่องประทินผิวจะหาซื้อได้เพียงกลิ่นหอมของกานพลูเท่านั้น ในร้านยาสามารถหาซื้อได้เพียงกลิ่นดอกไม้แห่งความรักเท่านั้น ส่วนที่เหลือก็หาได้ยากยิ่ง เ้าชอบกลิ่นนี้เพียงนั้นเชียวหรือ? เช่นนั้นข้ามอบให้เ้าก็แล้วกัน ไว้ข้ามีเวลาว่างจะทำใหม่ อ้อ เ้าใช้ปิ่นหยกสีเขียวคัดบางส่วนลงในกล่องอื่นให้ข้าสักหน่อย สองสามวันนี้ข้าต้องใช้มัน”
“โอ้ ขอบใจเ้ามาก” เมิ่งเซวียนทิ้งบางส่วนไว้ก่อนเก็บกล่องเครื่องหอมที่เหลือในแขนเสื้อ พลางเอ่ยถามอีกครั้ง “หาซื้อข้างนอกไม่ได้จริง ๆ หรือ?”
“ข้าไม่รู้ เ้าก็ลองไปหาดู” เหอตังกุยจัดระเบียบเตียงและแขวนผ้าม่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนหันไปรินชาดอกกุ้ยฮวาครึ่งชามให้เมิ่งเซวียน จู่ ๆ ก็เอ่ยถามเขา “กลิ่นจื่อเซียวคืออะไร? กลิ่นดอกไม้หรือ?”
เมิ่งเซวียนเล่นลูกปัดดอกไม้หนึ่งกำมือพลางส่ายหัวเอ่ย “ไม่ใช่ จื่อเซียวเป็กลิ่นคน” ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าและเป็อนุชายาของข้า
“อ้อ เช่นนั้นเ้าก็รีบดื่มเถอะ” เหอตังกุยเปิดประตู ทั้งยังไม่ลืมสั่งกำชับเขา “อีกประเดี๋ยวพวกฉานอีก็จะมาแล้ว แสร้งว่าเ้าไม่สนิทกับข้าและสุภาพกับข้ามาก ๆ บอกว่าเ้าหลงทางมาที่นี่โดยบังเอิญจึงเข้ามานั่งเล่น อีกอย่าง จัดระเบียบของที่เ้าทำระเกะระกะให้ข้าด้วย”
เหอตังกุยเปิดประตูก่อนยกน้ำบนพื้นไปด้านนอก ขณะจะสาดน้ำหลังล้างหน้าเสร็จ จู่ ๆ ก็มองเห็นเมิ่งเซวียนที่ “เคลื่อนไหวไม่สะดวกและเป็อัมพาตครึ่งซีก” ลุกยืนกะทันหันก่อนเดินก้าวใหญ่เข้ามา เขาล้างหน้าด้วยน้ำในมือนาง เช็ดหน้าด้วยผ้าขนหนูของนาง ก่อนะโออกไปทางหน้าต่าง
เมิ่งเซวียนข้ามหน้าต่างออกไปก่อนหันกลับมา เมื่อเห็นสีหน้าราวกับเห็นผีของนางจึงเอ่ยอธิบาย “เมื่อคืนข้าเดินไม่ได้จริง ๆ เมื่อผ่านไปหนึ่งคืนถึงค่อยยังชั่ว แม้ตอนนี้จะเดินได้แต่ขาทั้งสองก็ไร้ความรู้สึก หากไม่เชื่อก็ลองจับดูได้...ยามสามข้าจะกลับมาอีกครั้ง ทำของว่างตอนเที่ยงคืนให้ข้าด้วยล่ะ ข้าไม่กินของหวานกับเส้น” กล่าวจบก็โบกมือให้เหอตังกุยแล้วจากไป
เหอตังกุยถืออ่างด้วยความตะลึงงันเป็เวลานาน ก่อนเดินไปที่หน้าต่างเพื่อสาดน้ำ เฮ้อ นางเป็คนหลอกคนอื่นมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับถูกคนอื่นหลอก ช่างเหมือนการชอบล่าห่านป่าตลอดปีแต่กลับถูกพวกมันจิกโดยบังเอิญ
“คุณหนู เ้าตื่นแล้ว” ฉานอีเดินเข้ามาพร้อมบะหมี่น้ำใสใส่ไข่สุก ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เ้าจัดที่นอนเอง ช่างแปลกประหลาดจริง ๆ ข้าอยู่กับเ้ามานานถึงเพียงนี้แต่เ้าไม่เคยจัดที่นอนเองเลย”
เหอตังกุยกลอกตาพลางถาม “เมื่อคืนเ้ามาหาข้าทำไม? เหล่าไท่ไท่ส่งคนมาหาข้าหรือ?”
“อ้อ” ฉานอีวางชามพลางก้มหน้าบิดชายเสื้อผ้าก่อนเอ่ย “พี่เฟิงเหยียนและพี่เฟิงอวี้ให้ข้ามาถามเ้าว่าเ้าไม่บอกเื่ที่พวกเขาอยู่ในจวนกับคุณหนูหลิงจะได้หรือไม่ แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าคุณหนูหลิงคือใคร แต่พวกเขาก็น่าสงสารมาก คุณหนูรับปากพวกเขาเถอะ”
“เฟิงเหยียน เฟิงอวี้?” เหอตังกุยขมวดคิ้ว “ต่อไปเ้าห้ามพูดคุยกับพวกเขา”
“หืม ทำไมเล่า?” ฉานอีปล่อยชายเสื้อด้วยความประหลาดใจพลางเอ่ยโน้มน้าว “คุณหนู แม้พวกเขาจะดูกะล่อนแต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเป็คนดีมาก ตอนข้าเก็บดอกไม้สีขาวดอกเล็กคราวที่แล้ว มีเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่งทำลูกอมรูปคนหล่นพื้น พวกเขาก็ซื้ออันใหม่ให้ ทั้งยังเล่นกับเด็กคนนั้นจนเขาหัวเราะ...เมื่อคืนพวกเขาก็ไปจากตระกูลหลัวแล้ว ข้าอยากพูดคุยกับพวกเขาแต่กลับไม่พบใครเลย”
“พวกเขาออกจากจวนตระกูลหลัวแล้วหรือ? เ้าหมายความว่า...ออกไปทั้งสี่คนเลยหรือ?” เหอตังกุยจ้องฉานอี เมื่อเห็นนางพยักหน้าด้วยความเสียใจจึงถามอีกครั้ง “เ้าเก็บดอกไม้สีขาวเมื่อไร? อยู่ใกล้พวกเขาทั้งสองมากเพียงใด?”
ฉานอีโบกมืออย่างรีบร้อนพลางเอ่ย “ไม่ ๆ ข้าเคยเจอพวกเขาสามครั้ง ครั้งสุดท้ายคือเมื่อคืนนี้ ครั้งที่สองคือที่ศาลาเหนียวเหนี่ยว ครั้งแรกคือตอนเ้าเกือบถูกม้าเหยียบบนถนน เ้าไม่ได้ขอให้ไฮว่ฮวาและข้าเด็ดดอกไม้สีขาวดอกเล็ก ๆ หรือ? พี่เฟิงเหยียนและพี่เฟิงอวี้ก็ไปเด็ดดอกไม้ชนิดนี้เหมือนกัน พวกเขายังบอกอีกว่าคุณชายหนิงสั่งให้ไปเด็ด”
“ดอกเลี่ยฮวา?”
“ใช่”
จู่ ๆ เหอตังกุยก็เกิดอาการหนาวเล็กน้อย นางนั่งลงพร้อมถือชามก๋วยเตี๋ยวเพื่อให้ความอบอุ่นแก่มือทั้งสอง นางมั่นใจแล้วว่าหนิงยวนก็คือจูฉวน
บันทึกเกี่ยวกับดอกไม้หงเลี่ยนั้น...นางอ่านมันจากห้องหนังสือส่วนตัวของจูฉวนในจวนอ๋องหนิง หนังสือในนั้นทั้งหมดเป็หนังสือโบราณและหายากที่เขาเก็บรวบรวมไว้ ไม่สามารถหาอ่านได้จากที่อื่น นางจำได้ชัดเจนว่าในคืนฝนตกปีนั้นเขาและนางดื่มชาในห้องทำงานของเขา ในมือจูฉวนอ่านหนังสือ “บันทึกลัทธิเต๋าไท่ชั่ง” และนางก็กำลังอ่าน “บันทึกสมุนไพรแปลกประหลาด”
เมื่อนางอ่านถึงบันทึกดอกเลี่ยฮวาก็เห็นคำอธิบายเขียนด้วยหมึกเก่า ๆ สองบรรทัด ยกย่องว่าดอกเลี่ยฮวาเป็ “เกลือของสมุนไพรทั้งหมด” ลายมือในบันทึกนั้นมีความคล้ายคลึงกับลายมือของเขาเพียงหกส่วน หลังเอ่ยถามก็รู้ว่านั่นเป็คำอธิบายที่เขาเขียนในวัยเด็ก เป็เพราะเขาฝึกการเขียนอักษรแบบหลิวในภายหลัง ตัวอักษรจึงแตกต่างจากเมื่อก่อนมาก จากนั้นนางก็เริ่มเขียนด้วยรอยยิ้มและเพิ่มประโยคในช่องว่างว่า “ในคืนวันที่แปด เดือนสิบเอ็ด ปีที่ห้า รัชสมัยโหยวเล่อ อ่านหนังสือในเวลาว่างได้ประโยชน์มากมาย” จากนั้นเขาก็หยิบพู่กันเขียนเพิ่มประโยคหลังด้วยรอยยิ้ม “การเป็เ้าของหนังสือเล่มนี้ มีหญิงงามได้อ่านหนังสือยามกลางคืนเป็สิ่งที่มีความสุขที่สุดในชีวิต”
เหอตังกุยหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกินบะหมี่ นางกัดฟันกรอดด้วยความเสียใจ คิดไม่ถึงว่าบุรุษผู้นั้นจะจากไปเร็วเพียงนี้ นางคิดถึงเื่ราวในสวนเมื่อวาน แม้นางไม่้าฆ่าจูฉวนในขณะที่เขายังเด็ก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ทำร้ายนาง แต่นางสามารถหาวิธีที่ทำให้เขาตกที่นั่งลำบากได้
เพียงนางส่งจดหมายนิรนามให้ถงกุยนอกประตูจวนหย่าเหมินในเมืองหยางโจว จดหมายนั้นเขียนว่าอ๋องหนิงจูฉวนได้กราบไหว้เทพไป๋หยางไป่เป็อาจารย์อย่างลับ ๆ เขาเรียนรู้ทักษะการปลอมตัวเป็อย่างดี มักออกจากจวนโดยพลการเพื่อทำเื่ลับ ตอนนี้เขาปลอมตัวเป็ “หนิงยวน” และซ่อนตัวในเรือนทิงจูของตระกูลหลัว เมื่อหานเฟยผู้พิพากษาของเมืองหยางโจวได้รับจดหมายดังกล่าวจะมีสามวิธีจัดการ อย่างแรกคือนำกองทหารมาล้อมตระกูลหลัวอีกครั้งและจับหนิงยวน อย่างที่สองคือส่งคนไปหาตัวอ๋องหนิงว่าอยู่ที่เมืองต้าหนิงหรือไม่ อย่างที่สามคือเขียนจดหมายถึงฮ่องเต้และแนบจดหมายนิรนามฉบับนี้
ไม่ว่าจะเลือกทางใด แน่นอนว่ามันจะดีกว่าหากเขาเลือกทั้งสามวิธี ผลที่ตามมาของเื่นี้เพียงพอให้จูฉวนตกที่นั่งลำบาก ถึงอย่างไรอำนาจ ตำแหน่งและเงินทั้งหมดที่เขาได้รับจากจูหยวนจางผู้เป็พ่อ หากจูหยวนจางไม่ไว้ใจเขาแล้ว ชีวิตที่มีความสุขของเขาก็จะจบลง...แต่น่าเสียดายที่เขาหนีไปทันเวลา หากอยู่ต่อสักหนึ่งหรือสองวัน...ช่างเถอะ ชาตินี้นางขอเป็เพียงคนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา หวังเพียง์จะสงสารนางและปล่อยให้เขาหายไปจากความคิดและชีวิตของนางตลอดไป
“ถุย!”
เหอตังกุยรีบคายบะหมี่ในปากก่อนกลั้วคออย่างรวดเร็ว พลางเอ่ยด้วยความใ “ฉานอี เ้าใส่อะไรในบะหมี่? น้ำตาล?” มันหวานและเลี่ยนยิ่งนัก เหอตังกุยเดือดดาลทันที สาวน้อยถูกปีศาจเข้าสิงหรือไร ชาดอกเก๊กฮวยที่นางทำก็เลี่ยนเหมือนน้ำเชื่อมจนเหอตังกุยต้องแข็งใจดื่ม เหตุใดในชามก๋วยเตี๋ยวเส้นบะหมี่เค็ม ๆ กับน้ำแกงเผ็ด ๆ ยังต้องเพิ่มน้ำตาลอีก?
ฉานอีปิดปากด้วยความใ ดวงตากลมโตเบิกกว้าง นางไม่เคยเห็นคุณหนูสามอารมณ์เสียเช่นนี้ ยิ่งกับนาง...คุณหนูสามก็ไม่เคยหงุดหงิดถึงเพียงนี้
“ใส่น้ำตาลอีกแล้ว หวานจะตาย ไม่กินแล้ว นอนดีกว่า”
เหอตังกุยบ้วนปากด้วยชากุ้ยฮวาพลันมุ่ยหน้า ก่อนะโขึ้นเตียง ดึงผ้านวมขึ้นคลุมตัวจนมิดชิด
ภายในห้องเงียบงันเป็เวลานาน หัวใจของเหอตังกุยเริ่มเต้นแรง ตึกตัก ๆ ๆ ... ความเงียบสงบทำให้เหอตังกุยรู้สึกผิดและย้อนมองตัวเอง...อันที่จริงสิ่งที่นางโกรธคือนางไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของปีศาจตัวนั้นให้เร็วกว่านี้ นางเคยพูดคุย เคยหัวเราะกับเขา ทั้งยังมองว่าเขาเป็เพื่อน เมื่อคิดถึงเื่ที่เกิดขึ้นในอดีตก็ยังปวดใจ ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเอาแต่โทษตัวเอง มันเปรียบเสมือนการหายใจแล้วหัวใจเต้น ไม่สามารถหยุดชะงัก ทั้งยังไม่สามารถแยกจากร่างกายของตนได้
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับฉานอีแม้แต่น้อย นางเป็เพียงแม่นางน้อยอายุไม่กี่สิบปีจะสามารถทำอาหารให้อร่อยได้เพียงใดเชียว? นางไม่ควรตะคอกใส่ก๋วยเตี๋ยวชามนั้น เมื่อมองย้อนกลับไปในชาติที่แล้วสิ่งหนึ่งที่นางเสียใจที่สุดในชีวิตคือนางไม่มีเงินพาฉานอีออกจากวัดสุ่ยซัง ตอนนี้นางได้อยู่กับฉานอีตลอดไปอย่างใจ้า เหตุใดจึงยังไม่พอใจอีกเล่า? มนุษย์เป็สัตว์จำพวกได้คืบจะเอาศอก ได้มาแล้วก็ยังอยากได้เพิ่มอีก...
คำขอโทษที่ติดอยู่ปลายลิ้นแทบจะเปล่งออกมาทันที...
ขณะนี้นางรู้สึกว่าแผ่นหลังถูกสะกิดทั่วผ้าห่ม จากนั้นเสียงเจื้อยแจ้วเป็เอกลักษณ์ของฉานอีก็ดังขึ้นจากด้านหลัง “คุณหนู หากเ้าไม่ชอบน้ำตาลก็บอกข้าสิ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเ้าชอบหรือไม่? แม้เ้าจะทิ้งตะเกียบแล้วขึ้นเตียงกะทันหัน แต่ก็ต้องบอกข้าด้วยว่าชอบน้ำตาลหรือไม่ หากเ้าไม่ชอบจริง ๆ ข้าจะไม่ใส่อีกแล้ว เอ๊ะ คุณหนู หรือเ้าแกล้งอารมณ์เสียเพื่อนอนต่อ? ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้ เ้ายังนอนไม่ได้ หากนอนต่อ เ้าต้องกลายเป็หมูแน่”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้