ลูกสาวคนเล็กถูกตำรวจพาตัวไป กู่ซิ่วร้อนใจเหมือนมดบนกระทะร้อน โทรศัพท์เรียกสวี่ต้าซานกลับมาจากโรงงานทันที
สองสามีภรรยารีบรุดไปที่สถานีตำรวจในเมือง ระหว่างทาง กู่ซิ่วเอาแต่พูดว่าสวี่ฮุ่ยใจคอโเี้
ตัวเองไปแจ้งเบาะแสคนร้ายจนถูกจับเป็ตัวประกัน แต่กลับลากสวี่เยว่เข้าไปเอี่ยวด้วย
แต่ไม่ยอมพูดสักคำว่าเป็สวี่เยว่เองพาคนร้ายมา
เมื่อทั้งคู่ไปถึงสถานีตำรวจ สวี่ฮุ่ยก็ลงบันทึกประจำวันเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้านพอดี
กู่ซิ่วเห็นเธอก็พุ่งเข้าไปหาเหมือนหมาบ้า ตบตีเธอทันที “แกมันคนใจดำอำมหิต ทำไมถึงดึงน้องสาวแกมาเดือดร้อนด้วยฮะ?”
ตำรวจหญิงที่พาสวี่ฮุ่ยออกมาส่ง รีบพุ่งปราดเข้าไปขวางหน้าสวี่ฮุ่ย
หมัดและเท้าของกู่ซิ่วจึงลงบนตัวตำรวจหญิงแทน สวี่ต้าซานคิดจะห้ามก็ไม่ทันไปเสียแล้ว
หัวหน้าลู่ที่พาลูกน้องสองคนลงมาชั้นล่างเห็นเหตุการณ์เข้า ก็ก้าวขายาว ๆ ไปหยุดอยู่ตรงหน้ากู่ซิ่วที่กำลังแยกเขี้ยวอาละวาด แล้วจับนางทุ่มข้ามไหล่ลงกับพื้น
จากนั้นก็หยิบกุญแจมือออกมา ล็อคข้อมือของเธอ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ทำร้ายร่างกายเ้าพนักงาน มีโทษจำคุกหนึ่งสัปดาห์!”
กู่ซิ่วไม่สนใจความเ็ป พยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้นด้วยความช่วยเหลือของสวี่ต้าซาน และรีบอธิบายว่า “คุณตำรวจ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเ้าพนักงาน ฉันแค่จะสั่งสอนเด็กคนนี้”
ก่อนจะกล่าวเสริมอีกประโยค “ฉันเป็แม่ของมัน”
สวี่ต้าซานก็ช่วยพูดอีกแรง บอกว่ากู่ซิ่วไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายเ้าพนักงานจริง ๆ
หัวหน้าลู่พูดกับกู่ซิ่วด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “แบบนั้นเรียกว่าสั่งสอนเด็กเหรอ? นั่นมันจะฆ่าเด็กให้ตายต่างหาก!”
สวี่ต้าซานก้มหัวปลก ๆ พลางบอก “ผมรับรองว่าภรรยาผมจะไม่กล้าทำอีกแล้ว”
กู่ซิ่วก็ขอร้องไม่หยุด “ฉัน...ฉันแค่โกรธเด็กคนนี้มากไปหน่อย ฉันไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไร คุณตำรวจ ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
สวี่ฮุ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “แม่โกรธหนูเื่อะไร? บอกมาสิ หนูจะได้แก้ไข”
สวี่ต้าซานเห็นสวี่ฮุ่ยทำผิดแล้วยังมีท่าทางแบบนี้ก็ไม่พอใจ พูดด้วยความปวดใจปนผิดหวังว่า “ฮุ่ยฮุ่ย พ่อรู้ว่าลูกโกรธที่แม่จะให้น้องสาวสวมรอยไปเรียนมหาวิทยาลัยแทนลูก แต่ต่อให้โกรธแค่ไหน ลูกก็ไม่ควรใส่ร้ายเยว่เยว่สิ! เยว่เยว่เป็โรคหัวใจ ถ้าผวาจนเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นที่สถานีตำรวจจะทำยังไง! ”
สวี่ฮุ่ยหรี่ตาลง
ชาติที่แล้วพ่อก็โดนหลอกง่าย ๆ มักจะถูกกู่ซิ่วกับสวี่เยว่สองแม่ลูกหลอกจนหัวหมุนอยู่เสมอ
ไม่งั้นคงไม่เชื่อคำพูดของกู่ซิ่วง่าย ๆ โดยไม่ตรวจสอบดูให้ดีก่อน แล้วก็มาตัดสินว่าเธอไม่ใช่คนเรียนเก่ง สอบไม่ติดมหาวิทยาลัยแล้วยังจะดันทุรังสอบ
ชาตินี้ก็ยังเหมือนเดิม พอโดนกู่ซิ่วหลอกนิดหน่อยก็ติดกับทันที
สวี่ฮุ่ยแสยะยิ้มมุมปาก “งั้นพ่อคิดว่าหนูควรให้น้องสวมรอยเป็หนูไปเรียนมหาวิทยาลัยเหรอคะ?”
“แน่นอนว่าไม่ควร!” สวี่ต้าซานตอบเสียงหนักแน่น
สวี่ฮุ่ยยิ้มอย่างพอใจจนแทบจะมองไม่เห็น
ถ้าสวี่ต้าซานรวมหัวกับกู่ซิ่ว บังคับให้เธอสละโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยให้สวี่เยว่ เธอจะไปร้องเรียนที่คณะกรรมการชุมชนและสหพันธ์สตรีทันที เธอไม่มีทางให้พวกเขาสมหวังแน่!
เธอเกิดใหม่แล้ว ทำอะไรก็ไม่กลัวทั้งนั้น!
สวี่ต้าซานยังคงยืนข้างเธอ เลยยังไม่ทำให้สวี่ฮุ่ยหมดหวังนัก
เธอถามสวี่ต้าซานต่อ “พ่อบอกว่าหนูใส่ร้ายน้อง หนูใส่ร้ายน้องยังไงเหรอคะ?”
กู่ซิ่วะโด้วยดวงตาแดงก่ำ “ทั้งที่แกแจ้งความจับคนร้ายจนโดนเอาคืนเองแท้ ๆ ทำไมต้องบอกคนร้ายว่าน้องยืมมือเขาฆ่าแกด้วย?แกอยากให้น้องตายใช่ไหม? ”
สวี่ฮุ่ยถามตำรวจหญิงข้าง ๆ “พี่ตำรวจคะ ฉันเคยแจ้งความจับคนร้ายด้วยเหรอ? ”
เพื่อปกป้องผู้แจ้งเบาะแส ตำรวจหญิงจึงไม่พูดความจริง
ตำรวจหญิงส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ”
สวี่ฮุ่ยยิ้มบางเอ่ย “ในเมื่อฉันไม่ได้แจ้งความจับคนร้าย แต่สวี่เยว่กลับจงใจทำให้คนร้ายเข้าใจผิดว่าฉันเป็คนแจ้งความ ล่อเขามาจับฉันเป็ตัวประกัน แบบนี้ไม่เรียกว่ายืมมือคนอื่นฆ่าแล้วจะเรียกว่าอะไรคะ?”
ตอนนี้เองที่กู่ซิ่วเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ก่อนหน้านี้สวี่เยว่บอกเธอว่าทุกอย่างเป็เื่บังเอิญ
แต่เงื่อนไขข้อแรกของเื่บังเอิญคือสวี่เยว่ต้องพูดความจริงทั้งหมด
ซึ่งคุณตำรวจหญิงก็บอกแล้วว่าสวี่ฮุ่ยไม่ได้แจ้งความจับคนร้าย นั่นหมายความว่าสิ่งที่สวี่เยว่บอกเธอล้วนเป็เื่โกหก
ในเมื่อเป็เื่โกหกแล้ว จะบังเอิญได้อย่างไร?
ถ้างั้นก็เหลือแค่เจตนาอย่างเดียว
กู่ซิ่วหน้าแดงก่ำ แอบตำหนิสวี่เยว่ในใจที่หลอกแม้แต่แม่แท้ ๆ ของตัวเอง
ตำรวจหญิงโบกมือ “พวกคุณอย่าทะเลาะกันเลย สวี่เยว่ยอมรับแล้วว่าเธอจงใจโกหกทำร้ายพี่สาว”
ตำรวจหญิงกระซิบข้างหูหัวหน้าลู่สองสามประโยค
ชายหนุ่มจึงปลดกุญแจมือให้กู่ซิ่วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ครั้งนี้จะปล่อยคุณไปก่อน ถ้ามีครั้งหน้าไม่ละเว้นแน่!”
กู่ซิ่วโค้งคำนับรับรองว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีก
สวี่ฮุ่ยเห็นหัวหน้าลู่กับลูกน้องสองคนกำลังจะไปแล้ว เธอเลยรวบรวมความกล้า เดินไปข้างหน้า โค้งคำนับเขา “คุณลุงตำรวจ ขอบคุณที่ช่วยฉันนะคะ”
หัวหน้าลู่มองเธออย่างไม่ใส่ใจแล้วพูดว่า “ไม่เป็ไร” ก่อนจะก้าวยาว ๆ เดินจากไปกับลูกน้องสองคน
พอขึ้นรถ หัวหน้าลู่ ลู่ฉี่เสียนก็ส่องกระจกหลังไปมา
คิดในใจว่าตัวเองแก่ขนาดนั้นเลยเหรอ นักเรียนมัธยมปลายถึงเรียกตัวเองว่าคุณลุงแล้ว
ตัวเขาเพิ่งจะอายุยี่สิบเจ็ด ยังอยู่ใน่ปลายวัยหนุ่มอยู่เลย
ลูกน้องที่ขับรถจ้องมองกระจกหลังแล้วพูดว่า “ลูกพี่ เด็กผู้หญิงคนนั้นหลงเสน่ห์ลูกพี่แล้วหรือเปล่า? มองส่งพวกเราตลอดเลย”
กระจกหลังฝั่งของลู่ฉี่เสียนมองไม่เห็นสวี่ฮุ่ย
เขาโน้มตัวออกไปมองด้านหลัง สวี่ฮุ่ยยืนมองส่งพวกเขาอยู่ข้างถนนจริง ๆ
ชุดเดรสสีขาวเรียบง่ายถูกลมพัดปลิวไสว ทำให้เขานึกถึงเพื่อนเก่าคนหนึ่งในอดีต…
ต้นฤดูร้อนปีนั้น อากาศเย็นสบาย แม่พาเขาที่อายุยี่สิบปีกับปู่ที่ได้รับตำแหน่งเดิมคืนหลังจากถูกเนรเทศไปอยู่ชนบทกลับเข้าเมือง
เถาเถาในชุดกระโปรงสีขาววิ่งไล่ตามรถจี๊ปที่เขานั่งมาสุดกำลังพลางร้องไห้ะโว่า “พี่อาเสียน อย่าลืมกลับมาหาหนูนะ หนูจะรอพี่อยู่ตรงนี้ รอพี่ตลอดไป”
เขาชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถ มองดูเถาเถาล้มแล้วลุก ลุกแล้วล้มไม่ยอมหยุด เขาก็ะโบอกเธอเสียงดังว่า “ฉันจะต้องกลับมาแน่!”
…ไม่รู้ว่าตอนนี้เถาเถาอยู่ที่ไหนแล้ว…
สวี่ฮุ่ยมองส่งรถจี๊ปของผู้มีพระคุณจนลับสายตา ค่อยเดินจากไปและมุ่งหน้าไปที่ร้านบะหมี่ปลาไหล ‘ห่าวไจ้ไหล’
วันนี้ไม่ได้ส่งปลาไหลให้เถ้าแก่จาง ยังไงก็ต้องไปอธิบายหน่อย
เถ้าแก่จางเป็คนใจดี ยิ้มแล้วบอกว่าไม่เป็ไร “ฉันรอหนูจนถึงเจ็ดโมงครึ่งแล้วยังไม่เห็นหนูมา เลยไปซื้อปลาไหลที่ตลาดนัดแทน แค่แพงกว่าของหนูหน่อย”
สวี่ฮุ่ยจึงกลับบ้านอย่างสบายใจ
ยังไม่ทันเดินถึงป้ายรถประจำทาง ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งออกมาจากข้างหลังเฉียดตัวเธอไปเหมือนรีบไปโลกหน้า
เสียง ‘แคว่ก’ ดังขึ้นมา ชายกระโปรงสีขาวของเธอก็ถูกของบางอย่างบนมอเตอร์ไซค์เกี่ยวขาด
ขณะที่สวี่ฮุ่ยก้มลงดูกระโปรง ได้ยินเสียงชนดังมาจากข้างหน้า ตามด้วยเสียงอุทานของผู้คน “ว้าย! แย่แล้ว! ชนคนแล้ว!”
สวี่ฮุ่ยเงยหน้าขึ้น เห็นมอเตอร์ไซค์คันที่เกือบจะชนเธอเมื่อกี้ชนคุณยายที่แต่งตัวพิถีพิถันคนหนึ่งล้มลงกับพื้น
คนสองคนที่อยู่บนมอเตอร์ไซค์ก็ไถลไปตามพื้นพร้อมรถเช่นกัน
เหล็กเส้นยาวกว่าหนึ่งเมตร หนาเท่านิ้วมือหลายสิบกว่าแท่งที่ชายคนซ้อนท้ายถืออยู่หล่นกระจัดกระจายเต็มพื้น
คุณยายที่โดนรถชนนอนอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเ็ป
ต้นขาของเธอถูกเหล็กเส้นบาด เืไหลออกมาไม่หยุด น่ากลัวมาก
พอคนสองคนที่อยู่บนมอเตอร์ไซค์เห็นว่าก่อเื่ใหญ่แล้ว ก็รีบลุกขึ้นหนีไป
ผู้คนจำนวนมากมุงดูคุณยายอยู่ข้าง ๆ และะโขอความช่วยเหลือไปรอบ ๆ ด้วยความร้อนใจ “ช่วยด้วย! มีหมอไหม? มีคุณยายได้รับาเ็!”
มีคนบอกว่า “โรงพยาบาลอำเภออยู่ไม่ไกลจากที่นี่ พวกเราช่วยกันหามคุณยายไปโรงพยาบาลเถอะ!”
ชายหนุ่มเืร้อนหลายคนต่างพร้อมใจจะเข้าไปอุ้มคุณยาย
สวี่ฮุ่ยที่ยืนดูอยู่ข้าง ๆ ก็ประมวลผลในสมองทันทีว่าคุณยายคนนี้น่าจะเส้นเืแดงใหญ่ที่ต้นขาขาด
ถ้าเส้นเืแดงใหญ่ที่ต้นขาได้รับาเ็ เืในร่างกายมนุษย์จะสามารถไหลออกไปมากกว่าครึ่งหนึ่งภายในเวลาไม่กี่นาที อย่างเบาก็ช็อกจากการเสียเื อย่างหนักก็ถึงขั้นเสียชีวิต
หากพาคุณยายไปโรงพยาบาลอำเภอตอนนี้ ไม่เพียงแต่จะพลาด่เวลาทองในการช่วยชีวิตไป ยังทำให้อัตราการเสียชีวิตของคุณยายเพิ่มขึ้นด้วย
แล้วในระหว่างการเคลื่อนย้ายก็จะทำให้อาการาเ็ของคุณยายรุนแรงขึ้น และยิ่งเพิ่มอัตราเสียชีวิตมากขึ้นไปอีก
ใน่เวลาคับขัน สวี่ฮุ่ยะโเสียงดังว่า “ช้าก่อน! อย่าเพิ่งขยับตัวคุณยาย!”