เจียงชิงอวิ๋นและหลี่หรูอี้ไม่ได้นั่งรถม้าคันเดียวกัน เขาจึงใคร่รู้อยู่ในใจว่า ยามนี้นางจะเป็เช่นไร
ตอนนี้หลี่หรูอี้กำลังกินของว่าง
รถม้าของจวนเจียงเป็จวนเยี่ยนอ๋องกำนัลมาให้ ทั้งกว้างขวาง งดงาม นั่งสบายอย่างมาก และยังกันลูกธนูได้อีกด้วย
ในรถม้ามีตู้เล็กๆ ภายในนั้นมีลิ้นชักสามชั้นที่ใส่ของว่าง อย่างผลไม้เชื่อมตากแห้งและถั่วคั่วนานาชนิดไว้จนเต็ม
คนคือเหล็ก ข้าวคือเส้นลวด[1] หลี่หรูอี้วุ่นวายอยู่ในจวนติงเป็เวลานาน ได้ดื่มเพียงน้ำชาถ้วยเดียว จึงรู้สึกหิวขึ้นมานานแล้ว ต่างกับหลี่ซานพ่อลูกที่ได้กินข้าวระหว่างที่รออยู่ในห้องข้างๆ หากนางไม่ฉวยโอกาสกินสักคำในเวลานี้ เมื่อถึงจวนสวี่ก็จะไม่มีแรงตรวจรักษาคนไข้
“ท่านหมอเทวดาน้อย ท่านว่าท่านลุงสวี่ของข้าเป็โรคใด” โจวโม่เสวียนไม่อยากได้ยินคำว่า โรควิกลจริตจากปากของหลี่หรูอี้ เพราะนั่นเป็โรคที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถรักษาได้
เพื่อตอบคำถามนี้ หลี่หรูอี้เกือบสำลัก นางไอสองสามครั้งจึงบอกว่า “รอไว้หม่อมฉันเห็นผู้ป่วยก่อน จึงจะรู้ว่าเป็โรคใดเพคะ”
“น้องสาว กินช้าๆ หน่อย” หลี่เจี้ยนอันส่งถ้วยน้ำชาที่ใส่น้ำร้อนไปให้นาง
นอกจากนั้นในรถม้ายังมีกาน้ำดีบุกทรงปากยาว ที่สลักเป็ลวดลายมงคลสำหรับใส่น้ำร้อนอีกด้วย
สายตาของหลี่หรูอี้หยุดอยู่ที่ลวดลายประณีตงดงามบนกาน้ำดีบุก กาน้ำดีบุกที่เอาไว้ใส่น้ำกานี้มีราคาหลายสิบตำลึง แพงกว่าเรือนหลังใหญ่ที่บ้านสกุลหลี่อยู่ยามนี้เสียอีก ซึ่งนี่ก็คือวิถีชีวิตของครอบครัวมั่งคั่งในแคว้นต้าโจว ยามใดหนอที่สกุลหลี่จะได้มีชีวิตเช่นนี้บ้าง
คนจวนสวี่รู้อยู่ก่อนว่าโจวโม่เสวียนจะมา ท่านชายโจวโม่เสวียนผู้นี้มีบรรดาศักดิ์เป็ขุนนางขั้นสอง ทั้งยังเป็ตัวแทนเยี่ยนอ๋อง คนทั้งจวนสวี่จึงให้ความสำคัญกับเขาอย่างมาก
ทั้งบิดา น้องชายรอง น้องชายสาม บุตรชายคนโต คนรอง คนที่สาม ล้วนเตรียมตัวมาต้อนรับเขา
เวลามีไม่มาก เมื่อมาถึงจวนสวี่ คนตระกูลสวี่ก็พากันเข้ามาห้อมล้อมโจวโม่เสวียน และคนอื่นๆ ก็เข้าไปภายในจวน
เพื่อให้คนตระกูลสวี่เชื่อมั่นในวิชาแพทย์ของหลี่หรูอี้ โจวโม่เสวียนจึงกล่าวว่า “ตัวข้า ท่านอาน้อย และท่านหมอเทวดาน้อย เพิ่งออกมาจากจวนของท่านลุงติง ท่านหมอเทวดาน้อยช่วยชีวิตท่านลุงติงไว้ได้แล้วขอรับ”
จวนสวี่ห่างจากจวนติงไม่ถึงสิบลี้ นอกจากนี้ทั้งสองครอบครัวยังมีการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ จึงมีความใกล้ชิดและไปมาหาสู่กันบ่อยครั้งนัก
ฉะนั้นเื่ส่วนใหญ่ในจวนติง จวนสวี่จึงล่วงรู้ทั้งหมด โดยเฉพาะเื่ที่แม่ทัพติงกำลังจะสิ้นลม เช้าวันนี้จวนติงยังส่งคนมาแจ้งข่าวกับจวนสวี่ และจวนสวี่ก็เตรียมตัวจะไปงานไว้อาลัยแล้วด้วย นึกไม่ถึงว่า ต้นหลิวมืดทึบ หากยังพบบุปผางาม[2] ที่สุดก็สามารถรักษาชีวิตของแม่ทัพติงเอาไว้ได้
นายผู้เฒ่าสวี่เป็นายทัพและเคยอยู่ใต้บังคับบัญชาของเยี่ยนอ๋องผู้เฒ่า แม้เขาจะอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว แต่ร่างกายก็ยังแข็งแรง สมองยังดี และมีความจำแจ่มชัด เขาเข้ามาเอ่ยวิงวอนในทันทีว่า “กระหม่อมขอร้องท่านชายช่วยครอบครัวกระหม่อม โปรดให้ท่านหมอเทวดาน้อยรักษาโรคของบุตรชายผู้แสนอาภัพของกระหม่อมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
โจวโม่เสวียนรีบตอบว่า “ท่านปู่สวี่อย่าได้เกรงใจกับข้า ข้าจะบอกท่านตามตรง ที่ข้าและท่านอาน้อยพาท่านหมอเทวดาน้อยมาครานี้ ก็เพื่อตรวจรักษาอาการของท่านลุงสวี่ขอรับ”
นายผู้เฒ่าสวี่เดินเหินไม่ต้องใช้ไม้เท้า ทั้งไม่ต้องให้คนประคอง เขาหันหน้าไปมองหลายครั้ง ที่สุดสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่เจียงชิงอวิ๋น แต่กลับรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ดูมีอาการเจ็บป่วยไม่เหมือนหมอเทวดา จึงถามว่า “ข้าดวงตาพร่ามัว ต้องขอถามว่า ท่านหมอเทวดาน้อยคือท่านใดขอรับ”
เจียงชิงอวิ๋นชี้ไปยังหลี่หรูอี้ที่ตัวเล็กที่สุด พลางเอ่ยเสียงกังวานว่า “ท่านลุงสวี่ ข้าน้อยคือเจียงชิงอวิ๋น ท่านหมอเทวดาน้อยที่ท่านถามถึงก็คือท่านผู้นี้ ส่วนสองท่านที่อยู่ข้างกายท่านหมอเทวดาน้อยก็คือ บิดาและพี่ชายคนโตของเขาขอรับ”
นายผู้เฒ่าสวี่สะดุ้ง คิดในใจว่า ท่านหมอเทวดาน้อยช่างอายุน้อยนัก
คนตระกูลสวี่ทั้งหมดก็ใเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าท่านหมอเทวดาน้อยที่ท่านชายแนะนำ จะเป็เพียงเด็กชายตัวน้อยที่ยังโตไม่เต็มที่ผู้หนึ่ง
โจวโม่เสวียนจำเป็ต้องเล่าเื่ในจวนอ๋องที่เคยพูดไปแล้วอีกรอบ “โรคที่ในท้องข้ามีหนอน ก็เป็ท่านหมอเทวดาน้อยรักษาจนหาย ไม่กี่วันมานี้พี่ใหญ่ของข้าก็นำตำรับยาขับพยาธิของท่านหมอเทวดาน้อยไปให้พี่น้องในค่ายทหารด้วยขอรับ”
“สดับร้อยครั้ง มิสู้พานพบเพียงหน ที่แท้ท่านผู้นี้ก็คือ ท่านหมอเทวดาน้อย ที่มอบตำรับยาขับพยาธิ ก็คือท่านผู้นี้นี่เอง”
“แต่โบราณมีวีรบุรุษอายุเยาว์ ท่านหมอเทวดาน้อยอายุเพียงเท่านี้ ก็สามารถจัดตำรับยาเทวดาออกมาได้แล้ว”
บุรุษกว่าครึ่งหนึ่งของตระกูลสวี่ล้วนอยู่ในกองทัพ ชื่อเสียงของยาขับพยาธิที่ะเืเลื่อนลั่นกองทัพนั้นดังก้องหูดั่งเสียงอสนีบาต พวกเขาจึงนับถือท่านหมอเทวดาน้อย ซึ่งเป็คนจัดยานี้อย่างมาก นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้พบเจอตัวจริง ว่าแล้วก็พากันยกย่องสรรเสริญขนานใหญ่
หนำซ้ำยังมีคนที่กระตือรือร้นรีบเข้าไปตีสนิทและสนทนากับหลี่ซานพ่อลูกอีกด้วย
เห็นดังนั้นเจียงชิงอวิ๋นจึงสงสัยขึ้นมาว่า อาการของแม่ทัพสวี่หนักหนาหรือไม่กันแน่ เขาไม่รู้มาก่อนเลยว่า โรคของแม่ทัพสวี่เป็มาหลายปีแล้ว เดิมที่เคยมีอาการหลายเดือนคลุ้มคลั่งครั้งหนึ่ง กระทั่งกลายมาเป็สองสามวันคลุ้มคลั่งครั้งหนึ่ง ทำให้คนในครอบครัวชินชากับเื่นี้ไปเสียแล้ว
คนตระกูลสวี่ถึงขั้นนึกว่า ความทุกข์ทรมานเฉกเช่นตายเสียดีกว่าอยู่ ที่แม่ทัพสวี่เป็อยู่นี้มิสู้สิ้นลมไปเสียยังดีกว่า
หลี่หรูอี้ยิ้มเรียบๆ เมื่อเห็นว่าทุกคนกำลังจะเข้าไปในโถงใหญ่ในเรือนหลัก จึงเอ่ยเตือนว่า “ไปดูผู้ป่วยก่อนขอรับ”
บุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่เห็นว่าท่านปู่พยักหน้าน้อยๆ ให้ตน จึงรีบก้าวไปยืนข้างหน้าพร้อมบอกว่า “อีกประเดี๋ยว บิดาของข้าอาจจะมีอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาและด่าทอทำร้ายผู้คนได้ ต้องขอให้ท่านชาย คุณชายเจียง และท่านหมอเทวดาน้อยโปรดอภัยด้วยขอรับ”
บุตรชายรองของแม่ทัพสวี่ก็เอ่ยด้วยความปรารถนาดีเป็การเตือนไว้ล่วงหน้าก่อนว่า “ไม่ปิดบังพวกท่าน ก่อนนี้ไม่นาน บิดาข้าอาการกำเริบ ก็เกือบพลั้งมือสังหารพี่ใหญ่ของข้าด้วยขอรับ”
ทุกคนต่างมองไปยังบุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่ด้วยสายตาที่มีความเห็นใจอย่างมาก
บุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่ชินชากับการถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้แล้ว ยังอธิบายกับทุกคนด้วยว่า “ก่อนนี้ บิดาข้ารักข้าที่สุด ท่านพ่อแค่เจ็บป่วยเท่านั้นขอรับ”
โจวโม่เสวียนไม่กล้าคิดว่า ถ้าโจวปิงจะฆ่าเขา เขาจะโศกเศร้าเสียใจเพียงไร โชคดีเหลือเกินที่บุตรชายคนโตของแม่ทัพสวี่ไม่ได้ถูกแม่ทัพสวี่สังหาร ทั้งยังไม่ได้รับาเ็ใดๆ จึงเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ท่านลุงสวี่เจ็บป่วยไม่เบาเลยทีเดียว”
“เขาเจ็บป่วยไม่เบาจริงดังว่าพ่ะย่ะค่ะ หาไม่แล้วเขาก็คงไม่เกือบจะสังหารหลานชายคนโตของกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ” น้ำเสียงของนายผู้เฒ่าสวี่แหบพร่า รู้สึกเศร้าใจจนน้ำตารื้น
องครักษ์ในจวนเข้ามากระซิบเตือนที่ข้างหูโจวโม่เสวียนว่า “ท่านชายพ่ะย่ะค่ะ ยังจะทรงเข้าไปอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เข้าสิ”
องครักษ์จึงเอ่ยขึ้นอีกว่า “นายท่านน้อยไม่เป็วรยุทธ์ก็จะเข้าไปด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านอาน้อยต้องคอยเฝ้าท่านหมอเทวดาน้อย ย่อมต้องตามเข้าไปด้วย” จนยามนี้โจวโม่เสวียนก็ยังไม่รู้ว่าบ้านของหลี่หรูอี้อยู่ที่ใด เขามองออกว่าเจียงชิงอวิ๋นคอยปกป้องและทะนุถนอมท่านหมอเทวดาน้อยอย่างมาก
เมื่อได้ยินถ้อยคำ หลี่หรูอี้พลันมีรอยยิ้มขึ้นมา
ภายในห้องนอน แม่ทัพสวี่ที่มีผมสีเทาทั้งหัว ร่างกายผ่ายผอมจนเห็นกระดูกนอนเบิกสองตาแดงก่ำอยู่บนเตียงขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้พุทธาจีน
เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาหลายวันหลายคืนแล้ว จึงอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด ่ฟ้าสางวันนี้ในจังหวะที่บ่าวแก้มัดมือ เขาก็ฉีกผ้านวมผ้าไหมแล้วก็เอาผ้ามามัดกับขื่อจะฆ่าตัวตาย ดีที่บ่าวกลับเข้ามาและช่วยเขาไว้ได้ทันการณ์
บ่าวรูปร่างกำยำสี่คนนั่งอยู่ที่ตั่งนั่งสี่ตัวข้างเตียง เพียงมองก็รู้ได้ว่าเป็บ่าวที่เคยฝึกวรยุทธ์มา
บ่าวทั้งสี่คนคอยจับตาแม่ทัพสวี่อยู่ไม่ห่าง ด้วยกลัวว่าหากอาการของเขากำเริบ ก็จะกัดลิ้นฆ่าตัวตายหรือวิ่งออกไปทำร้ายผู้คน
บุตรชายคนโตตระกูลสวี่ผลักประตูเข้าไป “ท่านพ่อขอรับ ท่านชายทรงเป็ตัวแทนท่านอ๋องเสด็จมาเยี่ยมท่านขอรับ”
นายผู้เฒ่าสวี่เดินเข้าไปเป็คนแรก พลางเอ่ยเสียงดังว่า “ลูกเอ๋ย ท่านอ๋องที่เ้าเคารพนับถือเสมอมาทรงส่งท่านชายมาหา เ้ารีบออกมาต้อนรับเร็วเข้า”
เมื่อแม่ทัพสวี่ได้ยินคำว่า ท่านอ๋อง ก็มีท่าทีตอบสนองด้วยการนั่งลงทันที ดวงตาจับจ้องอยู่ที่ประตูและเห็นว่ามีเด็กหนุ่มรูปงามสองคนเดินเข้ามา สักพักก็มีคนอีกสองสามคนเข้ามาอีก แต่ไม่มีสักคนที่เขารู้จัก ซ้ำร้ายคนเหล่านี้ยังมองเขาอย่างไม่เป็มิตร โดยเฉพาะเ้าแก่คนนั้น สีหน้าของตาเฒ่าคล้ายอยากจะกลืนกินเขาลงไปทั้งเป็ จึงตวาดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ไสหัวไป!”
บุตรชายคนโตตระกูลสวี่รีบขอขมาโจวโม่เสวียน “ทูลท่านชาย บิดาของกระหม่อมจำผู้ใดไม่ได้เลย อย่าทรงถือโทษโกรธเคืองเลยพ่ะย่ะค่ะ”
นายผู้เฒ่าสวี่มองแม่ทัพสวี่ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงจนใจว่า “เ้าจะให้ผู้ใดไสหัวไป ให้พ่อไสหัวไปหรือ”
“ข้าเป็พ่อของเ้าต่างหาก เ้าเป็ผู้ใด” แม่ทัพสวี่ถลึงตาใส่ทั้งทำตาขวาง สายตาผิดจากคนปกติ มีท่าทีคล้ายจะพุ่งเข้ามาสังหารคนได้ทุกเมื่อ
เจียงชิงอวิ๋นเห็นแล้วยังต้องหวาดหวั่นอยู่ในใจ คนผู้นี้ฟั่นเฟือนแม้กระทั่งบิดาของตนก็ยังจำไม่ได้ แล้วหลี่หรูอี้จะรักษาโรคของเขาให้หายได้อย่างไร
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] คนคือเหล็ก ข้าวคือเส้นลวด หมายถึง คนต้องกินข้าวจึงจะมีเรี่ยวแรงทำงาน
[2] ต้นหลิวมืดทึบ หากยังพบบุปผางาม หมายถึง จากร้าย สิ้นหวัง กลับกลายเป็ดีได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้