อ่า ช่างน่าประหลาดใจ
เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปที่จ้านอี้หยางที่กำลังดื่มน้ำอยู่
การที่จ้านอี้หยางดื่มน้ำไม่ใช่เื่ผิด แต่ที่ผิดคือ...เขาเพิ่งจะดื่มน้ำที่เธอดื่มเมื่อครู่
“เอ่อ จ้านอี้หยาง...”
จ้านอี้หยางที่อยู่ตรงหน้ามองหน้าเธอ
“มีอะไร?”
“น้ำอันนี้...”
เธอชี้นิ้วไปที่น้ำในมือของจ้านอี้หยาง
“ฉันดื่มไปแล้วนะ”
พอพูดถึงตรงนี้เธอเองก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อครู่เธอก้มลงไปดื่มน้ำในมือของเขาเธอย้อนกลับไปนึกถึงภาพเมื่อครู่
อ่า...เหมือนจูบกันทางอ้อมเลย
เมื่อได้ฟัง จ้านอี้หยางขมวดคิ้วเพื่อที่จะพิสูจน์ว่าไม่เป็อะไรเขาจึงดื่มน้ำในมือจนหมดจากนั้นก็มองหน้าซูหรงหรงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“แล้วยังไง?”
ซูหรงหรงส่ายหน้า เขาเองไม่ได้ถืออะไรแล้วเธอจะมาคิดมากอะไรแทนเขา?
“เอาล่ะ พวกเรากลับกันได้แล้ว”
จ้านอี้หยางยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ก่อนจะพูดต่อ
“เธอไม่ต้องคิดมาก”
ซูหรงหรงงงงัน
“เอ๋?”
“ฉันไม่รังเกียจน้ำที่เธอกิน”
จ้านอี้หยางตอบ
ซูหรงหรงจึงเพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังเข้าใจความหมายของเธอผิดแต่ในเมื่อจ้านอี้หยางพูดแบบนี้แล้ว เธอเองก็ไม่อยากอธิบายอะไร ก่อนจะหัวเราะออกมา
“ฉันเองก็ไม่รังเกียจน้ำลายของนายเหมือนกันนะ”
ไม่เคยมีใครเลยที่จะพูดแบบนี้กับเขา จ้านอี้หยางนิ่งเงียบแต่กลับกลายเป็ว่าเขาเองไม่ได้รู้สึกอยากจะปฏิเสธหรือไม่สะดวกใจตรงไหนเขาเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็เพราะอะไร เขาจึงตอบเพียงว่า
“ไปเถอะ”
“อืม!”
ซูหรงหรงพยักหน้าเชื่อฟัง
ในขณะที่กลับไปเธอเกือบจะหกล้มหลายรอบทว่าจ้านอี้หยางไวกว่าเอามือเธอมาจับแล้วให้เธอเดินใกล้ๆ ข้างตัวเขาการเดินของซูหรงหรงดูจะไม่ค่อยระวังเลยสักนิด เหมือนกับเธออยากจะเดินตามใจตัวเอง
จ้านอี้หยางขมวดคิ้ว
“เธอเดินดีๆ ไม่ได้หรือไง?”
ซูหรงหรงใช้มือจับเอวด้านหลังของจ้านอี้หยางก่อนจะเงยหน้ามองเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้
“ก็มีนายนี่นา”
จ้านอี้หยางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เหมือนคนปวดหัวจัด
“ช่างเถอะ ตามใจเธอ”
เขาเองกลับมีความสุขในหัวใจในตอนนี้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้
เขาเป็ผู้บังคับบัญชาของทหาร เป็ผู้ที่ออกคำสั่งแก่ทุกคน ทุกๆ คนต่างให้ความเคารพแก่เขาแต่ในบรรดาคนพวกนั้น ไม่มีใครสามารถนำพาความรู้สึกแปลกประหลาดเหล่านี้มาได้เหมือนซูหรงหรง
ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่...อาจเป็เพราะที่ผ่านมาคนที่เชื่อในตัวเขามีเพียงลูกน้องในบังคับบัญชานี่เป็ครั้งแรกที่ถูกยัยกระต่ายน้อยจอมี้เีไว้เนื้อเชื่อใจ?
ในที่สุดพวกเขาก็เดินผ่านหินนูนเว้าเ่าั้อีกครั้งจากนั้นทั้งสองก็เดินมาเจอถนนใหญ่ จ้านอี้หยางเปิดประตูรถ ซูหรงหรงขึ้นรถไปก่อนไม่นานรถก็แล่นเข้าไปในหุบเขาอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง...
ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าจ้านอี้หยางกำลังพาเธอไปที่ไหน
กองทัพ!
สิ่งรอบข้างของเธอคือคำตอบ
ความจริงเธอเองก็อยากมาที่นี่เพราะจ้านอี้หยางเคยบอกเธอว่าเขาจะกลับกองทัพ
อย่างไรก็ตาม ซูหรงหรงดีใจออกนอกหน้าอย่างมีความหวัง
ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นป้อมปราการของทหารชัดเจนยิ่งขึ้นซูหรงหรงรู้แน่ชัดว่าถึงแล้ว เธอกระชับมือที่จับมือของจ้านอี้หยางแน่นขึ้นกองทัพคุ้มครองประเทศเลยนะ ในที่สุดเธอก็จะได้เห็นความลับของเขาเ่าั้แล้ว
“ท่านผบ.จ้าน ถึงแล้วครับ”
คนขับรถเปิดประตูให้จ้านอี้หยาง
ซูหรงหรงะโลงรถก่อนเป็คนแรก จ้านอี้หยางขมวดคิ้วมองเธอคนขับรถหัวเราะโดยไม่ออกเสียงคุณหญิงจ้านในความคิดของเขากับความเป็จริงช่าง...อืม ร่าเริงกว่าที่คิดพวกเขาต่างพากันเดิมพันว่าจ้านอี้หยางจะต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ดูจริงจังและระเบียบจัดกลับบ้าน
แต่นี่ คงเป็ข่าวใหญ่ของพวกทหารแล้วล่ะ
จ้านอี้หยางลงจากรถช้าๆเขารับกระเป๋าสัมภาระของซูหรงหรงจากคนขับรถ เขาพาซูหรงหรงเดินไปที่ตึกสองชั้นแห่งหนึ่ง
ทั้งหมดนั้นกลายเป็สิ่งแปลกใหม่สำหรับเธอ เธอสอดสายตาอยากรู้อยากเห็นออกไป ครู่เดียวก็ถามจ้านอี้หยางถึงสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่เธอกลับไม่ถามจ้านอี้หยางว่าทำไมถึงพาเธอมาที่กองทัพ
เหล่าบรรดาลูกน้องของจ้านอี้หยางต่างรู้ดีว่าเขาไม่ใช่คนที่มีความอดทนมากนักแต่ครั้งนี้เขากลับดูอดทนมากเป็พิเศษ เขาค่อยๆ ตอบคำถามของซูหรงหรงก่อนจะพาเธอเข้าไปในที่พักของเขา
ไม่ใช่ห้องที่ใหญ่มาก แต่ภายในแบ่งออกเป็สองชั้นชั้นที่หนึ่งคือห้องรับแขกและห้องครัว ชั้นที่สองคือห้องอ่านหนังสือและห้องนอนเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดล้วนเป็ไม้ โทรทัศน์เป็แบบสมัยโบราณทั้งหมดดูเรียบง่ายมากกว่าที่ซูหรงหรงจินตนาการไว้
จ้านอี้หยางวางกระเป๋าสัมภาระของเธอ ก่อนจะอธิบายสั้นๆ อย่างกระชับ
“เธออยู่ที่นี่ ตอนบ่ายฉันจะกลับมาด้านนอกมีทหารฝ่ายบริการอยู่ ถ้ามีปัญหาอะไรก็เรียกพวกเขาได้เธอสามารถออกไปเดินข้างนอกได้ แต่ห้ามเข้าไปวุ่นวาย”
“อืม”
ซูหรงหรงพยักหน้ารับพอจ้านอี้หยางไปเธอก็เอามือหยิบจับสิ่งของชิ้นนั้นชิ้นนี้ ก่อนจะพยักหน้ากับตนเอง
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาที่จ้านอี้หยางอยู่กองทัพจะอาศัยที่บ้านพักเรียบง่ายแบบนี้”
คราวนี้เธอได้รู้แล้วว่าการใช้ชีวิตในกองทัพนั้นช่างแสนลำบาก
การเป็กองทัพปกป้องประเทศนั้นช่างไม่ง่ายเลย!
เธอสำรวจห้องรับแขกอีกรอบซูหรงหรงจึงขึ้นไปที่ชั้นสองเพื่อเก็บสัมภาระเข้าที่คราวนี้เธอเพิ่งสังเกตุพบว่าที่นี่มีห้องนอนเพียงหนึ่งห้องอีกห้องหนึ่งคือห้องหนังสือ
ของใช้ในห้องนอนเรียบง่ายกว่าในห้องรับแขกเสียอีกทั้งตู้ไม้ที่ภายในมีแต่ชุดทหาร เธอเอาเสื้อผ้าหลากสีสันของตนเองวางเข้าไปช่างดูขัดแย้งกันชอบกล
เมื่อเธอคิดว่าเธอจะต้องนอนกับจ้านอี้หยางบนเตียงไม้นั่นก็ช่างจะรู้สึกขัดๆ
พอคิดถึงว่าจะต้องนอนเตียงเดียวกันกับจ้านอี้หยางหน้าของเธอก็เริ่มแดงขึ้นมา
เธอกับจ้านอี้หยาง...
อ๊าย ความรู้สึกที่ทั้งรอคอยทั้งตื่นเต้นนี่มันคืออะไรกัน?
นี่เป็ครั้งแรกที่ซูหรงหรงรู้สึกว่าตนเองช่างเป็คนที่น่าอับอายก่อนจะรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
แต่เมื่อลงมา เธอก็พบว่ามีสมาชิกเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“เอ๊ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ...?”
ซูหรงหรงทักทายฝั่งตรงข้ามที่ตัวเท่าๆ กับเธอ แต่เขากลับเหมือนหนุ่มน้อยขี้อายเธอจึงยิ้มให้เขาอย่างเป็มิตร
พ่อครัวทหารที่มาส่งข้าวใบหน้าเริ่มปรากฏสีแดง
ในกองทัพมักจะไม่ค่อยพบเจอผู้หญิงเสียเท่าไรยิ่งเป็ผู้หญิงที่ยังดูเยาว์วัยอย่างซูหรงหรงยิ่งหายาก การที่พลทหารที่เพิ่งจะเข้าร่วมกับกองทัพยืนหน้าแดงอยู่อย่างนี้จึงเป็เื่ปกติ
“ตามคำสั่งของท่านผบ.ผม...ผมมาส่งข้าวกลางวันให้คุณครับ”
พ่อครัวทหารส่งข้าวกล่องหนึ่งให้กับซูหรงหรง
ซูหรงหรงรับข้าวมาอย่างปลื้มใจ
“ขอบคุณค่ะ”
“คำสั่งของท่าน ผบ. คือหน้าที่ของพวกเราครับ”
พ่อครัวทหารยิ้มออกมา
“คุณครับ เอ่อ พี่สะใภ้ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับไปรายงานก่อนนะครับ อ้อ แล้วถ้าหากว่ามีอะไร สามารถเรียกพวกเราได้เลยนะครับ”
“อ้อ ...อืม ขอบคุณค่ะ”
ซูหรงหรงยืนงงมองภาพแผ่นหลังของพ่อครัวทหารเธอยังคงตราตรึงกับคำว่า ‘พี่สะใภ้’ สองคำนี้อยู่
พ่อครัวทหารเรียกเธออย่างเป็ธรรมชาติมากทว่า...เธอที่เป็คนฟังกลับรู้สึกไม่ชินเอาเสียเลย
ถูกคนเรียกว่าพี่สะใภ้...ดูมีแรงกดดันขึ้นมาเสียดื้อๆ
แต่ว่า ในเมื่อเป็ภรรยาของจ้านอี้หยางแล้ว การที่ถูกเรียกว่า “พี่สะใภ้”...คิดๆ ดูแล้วก็ดูน่าพอใจมากเหมือนกัน
อ๊าย จิตใจที่ว้าวุ่นเหล่านี้คืออะไรกันเนี่ย?
ซูหรงหรงเปิดดูกับข้าวกลางวันที่นำมาส่ง ไม่ได้ถือว่าอู้ฟู่แต่ก็เพียงพอแล้วต่อโภชนาการ เธอนั่งกินข้าวเงียบๆ คนเดียว แต่ภายในความคิดของเธอนั้นกำลังนึกถึงจ้านอี้หยางอยู่....
เขากินข้าวหรือยังนะ? กินอาหารแบบเดียวกับเธอหรือเปล่า?
อยู่ๆ ก็มีความคิดน่าเศร้าขึ้นมาในหัวใจซูหรงหรง หรือว่าเธอจะถูกจ้านอี้หยางจับกุมหัวใจเอาเสียแล้ว
แต่ว่า...จากที่ผ่านมาจ้านอี้หยางเองก็ไม่ได้ทำอะไรพิเศษให้เธอไม่ใช่หรือในตอนที่กู้แหยนเจ๋อจีบเธอใหม่ๆ เขายังเอาดอกกุหลาบมาสารภาพรักกับเธอเลย
อืม เธอปฏิเสธเื่ที่เธอตกหลุมรักเขา
เมื่อทานอาหารกลางวันเสร็จ เธอนั่งเล่นอยู่ที่ห้องนอนอยู่สักครู่เธออยากช่วยจ้านอี้หยางเก็บกวาดบ้าน แต่ทว่าบ้านของเขากลับสะอาดเรียบร้อยเธอจึงทำเพียงเปิดโทรทัศน์ดูเท่านั้น
แต่คาดไม่ถึงว่ารายการทีวีจะยิ่งน่าเบื่อกว่าเพราะสามารถรับสัญญาณได้เพียงไม่กี่ช่องเท่านั้น อาจจะเป็เพราะที่นี่คือกองทัพก็เป็ได้
เธอปิดโทรทัศน์ ก่อนจะหยิบไอแพดขึ้นมา จากนั้นทำการดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นที่ใช้สำหรับดูหนังแต่ว่าก็ต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง
4 โมงกว่า ซูหรงหรงจึงเดินออกจากที่พัก
เธอยังไม่ทันมองเห็นภายนอกได้ชัดเจนทหารที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้านก็รีบวิ่งเข้ามายืนหน้าเธอ
“พี่สะใภ้ มีเื่อะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ”
“เอ่อ...”
ซูหรงหรงหัวเราะ
“ไม่มี ฉันแค่อยากออกไปเดินข้างนอกบ้างเท่านั้น อ้อ จริงสิฉันอยากทำอาหารเย็นเอง ฉันจะไปหาพวกของมาทำอาหารได้จากที่ไหน?”
“ที่ห้องครัวครับ”
พลทหารหน้าประตูไม่คิดเลยว่าภรรยาของผบ.จะไม่มีความหยิ่งยโสเลยแม้แต่น้อยแถมยังยิ้มให้เขา
“เพียงคุณบอกพ่อครัวว่าอยากได้อะไรพวกเขาก็จะรีบหาให้ทันทีครับ คุณเดินตรงไปด้านหน้าพอผ่านหอพักของทหารก็ถึงแล้วครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
ซูหรงหรงยิ้มแล้วเดินออกไป เธอเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ภายนอก
ความจริงแล้วบรรยากาศภายในกองทัพไม่ถือว่าดีเท่าไร สภาพแวดล้อมช่างดูอึมครึมราวกับว่าทุกอย่างถูกอบรมและจัดระบบระเบียบมาเป็อย่างดี
ในขณะที่เดินผ่านดินโคลนนั้น ทั้งสองด้านคือต้นไม้สูงซูหรงหรงที่คิดถึงจ้านอี้หยางก็เดินผ่านทางนี้ไปเธอคิดว่าเธอกำลังเดินบนเส้นทางที่จ้านอี้หยางเคยเดินผ่านรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่ผ่ามาของเขา ความรู้สึกของเธอตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด
ไม่ใกล้ไม่ไกลเป็เสียงของทหารที่กำลังฝึกซ้อมเสียงที่ส่งมาช่างดูมีพลัง ซูหรงหรงคิด เป็เพราะมีคนเหล่านี้มีเสียงที่เข้มแข็งเหล่านี้ ประเทศชาติจึงอยู่อย่างสงบ
ซูหรงหรงเพิ่งจะเข้าใจตอนนี้เองว่าเหตุผลที่จ้านอี้หยางเป็คนเรียบง่ายเฉยชาเป็เพราะอะไร
ไม่นานนักเธอก็เดินมาถึงหอพักของทหารซูหรงหรงไม่รู้ว่าควรจะไปทางไหนต่อเธอจึงเดินเข้าไปถามทหารคนหนึ่งที่ใส่ชุดเหมือนครูฝึกทหาร เมื่อมองไปที่บ่าเขามียศร้อยโท ร้อยโทคนนั้นไม่ตอบเธอในทันที เขากลับมองหน้าเธออย่างแปลกประหลาดใจ
“ฉันชื่อซูหรงหรง”
เธอเอ่ยกับคนเขาก่อนจะยิ้มแย้ม
“อ้อ พี่สะใภ้”
ร้อยโทคนนั้นรีบจับมือ ก่อนจะพาซูหรงหรงไปส่งที่โรงอาหารแล้วยังบอกกับซูหรงหรงอีกว่า
“คำพูดของผบ. พวกเราค่อนข้างแข็งกระด้างไม่ชอบของที่มีกลิ่นสาบหรือคาว ผักทั้งหมดจะต้องสุกมากคุณลองดูเถอะครับว่าอยากได้อะไรก็สามารถบอกหัวหน้าพ่อครัวได้เลยสิ่งของของพวกเรามีอย่างพอเพียง รับประกันความสดและไม่มีอันตราย”
ซูหรงหรงหัวเราะตามคำพูดของร้อยโท ก่อนจะคิดสักครู่
จ้านอี้หยางเป็ทหาร
ผู้บัญชาการทหาร...ผู้บัญชาการของทหาร เอ่อพอฟังดูแล้วช่างจะมีเกียรติและศักดิ์ศรีเสียจริง
อุ๊ย เมื่อเป็อย่างนี้ เ้ากู้แหยนเจ๋อเองก็คงเหมือนอยู่คนละระดับกับเขานายนั้นยังอยู่บนพื้นแต่จ้านอี้หยางไปไกลกว่ากาแลกซี่แล้ว
ซูหรงหรง เธอได้ลาภก้อนโตแล้วล่ะ!