ก่อนตายเห็นกู้จิ่นเฉิงที่ภายนอกดูอ่อนโยนทว่ากลับเ้าเล่ห์ กลายเป็เทวดาตัวน้อยที่แฟนคลับมากมายต่างชื่นชอบ ความใของผมก็เหมือนกับการซื้อแตงโมมาลูกหนึ่ง ปล่อยทิ้งไว้หลายวันจนคิดว่ามันจะเน่าเสียแล้ว แต่เมื่อผ่าออกกลับพบว่าเนื้อข้างในกำลังสุกพอดี และยังมีรสชาติหวานเป็อย่างยิ่ง
อย่าถามว่าทำไมผมถึงใช้คำเปรียบเทียบได้แปลกประหลาดจนยากที่จะเข้าใจเช่นนี้ ก็เพราะว่าแตงโมเป็ผลไม้ที่ผมชอบกินมากที่สุด ไม่มีคำว่าหนึ่งในนั้น แตงโมเป็ที่หนึ่งสำหรับผมเสมอ
“คุณชายน้อยแห่งตระกูลโม่ที่นายท่านพาตัวมาเมื่อสองสามวันก่อนถูกสั่งสอนไปพอสมควรแล้ว ให้พาตัวมาหรือไม่ขอรับ? ”
ความรู้สึกนึกคิดของผมถูกขัดจังหวะขึ้นอีกครั้ง มองไปยังกู้จิ่นเฉิงด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อย คำพูดของเขาวนเวียนอยู่ในหูของผมจากหูซ้ายทะลุไปหูขวา หลังจากนั้นก็ทำให้ผมใตื่นจากภวังค์ขึ้นมาอย่างทันที
อะไรกัน!! เส้นเวลานี่? ผมได้ลักพาตัวคุณชายน้อยจากตระกูลโม่มาแล้วหรือ? นั่นก็หมายความว่า...
แม้ว่าร่างกายจะแช่อยู่ในบ่อน้ำอุ่นๆ แต่ผมกลับไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย ภายในใจหนาวเหน็บ ร่างกายสั่นไม่หยุด ผมมองไปยังใบหน้าเรียบเฉยของกู้จิ่นเฉิง เริ่มพูดอย่างยากลำบาก น้ำเสียงดังอยู่ภายในห้อง เป็เสียงที่แหบแห้งจนผมเองก็รู้สึกได้ถึงความอึดอัด
“ข้าฆ่าล้างตระกูลซ่งแล้วใช่หรือไม่? ”
กู้จิ่นเฉิงมองมาที่ผมด้วยความสงสัย คล้ายกับงุนงงเล็กน้อย ทว่าก็ไม่สามารถขัดคำสั่งของผมได้ จึงตอบกลับ “ท่านจอมปีศาจฆ่าล้างตระกูลซ่งไปเมื่อสามเดือนก่อนขอรับ”
...เป็ไปอย่างที่คิดไว้จริงๆ เพราะอะไรถึงกลายเป็แบบนี้??? ทำไมผมถึงได้โชคร้ายทุกครั้งอย่างนี้เล่า??
ชาติที่แล้วถูกซ่งฉียวนฆ่าอย่างโเี้ ชาตินี้หากเป็ไปตามโครงเื่ต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่สามารถเอากลับคืนมาได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดๆ ก็ตาม แต่ว่านั่นเป็ความแค้นจากการฆ่าล้างทั้งครอบครัว ถ้าหากผมจำไม่ผิด ตอนนี้ซ่งฉียวนก็คงอยู่ในวังปีศาจของผมนี่แหละ แถมยังมีชีวิตที่แย่ยิ่งกว่ามนุษย์หรือสัตว์เสียอีก
ตอนแรกเพื่อสร้างนิสัยที่เข้มแข็งอดทนของซ่งฉียวนแล้ว ผมจึงให้อวี๋เคอในนิยายทำให้เขาได้เห็นครอบครัวถูกฆ่าตายด้วยตาตัวเอง หลังจากนั้นก็พาเขากลับมาที่วังปีศาจ ทรมานร่างกายด้วยวิธีการต่างๆ ทำลายศักดิ์ศรีของเขา เพื่อเพิ่มค่าความเกลียดชังของเขาให้มากยิ่งขึ้น จนในที่สุดก็สามารถกระตุ้นให้ซ่งฉียวนละทิ้งความขี้ขลาดทั้งหมดของเขาได้ และให้คำสาบานว่าจะต้องแก้แค้น ั้แ่นั้นมาเขาก็เริ่มต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพื่อเลื่อนระดับ พบปะสร้างมิตรภาพ ฮาเร็ม มุ่งสู่เส้นทางการเป็เซียนแล้วออกไปตามแก้แค้นอวี๋เคอ
ทันใดนั้นในหัวสมองก็เกิดเสียงดังสะท้อนคำที่ซ่งฉียวนเคยพูดกับผมเอาไว้
“ฆ่าล้างทั้งครอบครัว ทำลายเส้นลมปราณ ตัดมือและเท้า ทำให้ข้าตาบอด ความทรมานเหล่านี้ที่เ้ามอบให้ข้า ข้าจะทำให้เ้าได้ลิ้มรสมันทั้งหมด”
บ้าเอ้ย!! ชัดเจนว่าผมเขียนบรรยายออกมาเกินขอบเขตที่เหมาะสมแล้ว ทำให้เ้าเด็กนี่เป็บ้าจนถึงตอนสุดท้ายจริงๆ เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว ผมถูกเขาทรมานแค่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก็รีบฆ่าตัวตายแล้ว แต่เขาอยู่ที่วังปีศาจนี่มาสามเดือน! นานสามเดือนแล้ว!
ตอนแรกอวี๋เคอทำลายเส้นลมปราณของซ่งฉียวนได้อย่างง่ายๆ ไร้ปัญหา ตัดหนทางฝึกตนของเขา ทั้งยังตัดมือและเท้าของเขาอย่างโหดร้าย ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างบอดแล้วโยนเขาเข้าไปในกรงเหล็กซึ่งอยู่ด้านข้างกรงที่เลี้ยงสัตว์ปีศาจ
บริเวณรอบๆ ล้วนแต่เป็สัตว์ปีศาจที่กระหายเื พวกมันแทบจะเกาะกรงของซ่งฉียวนแล้วส่งเสียงคำรามทุกคืน เป็เสียงที่แสบหูอย่างยิ่ง
ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว ผมไม่รู้จริงๆ ว่าซ่งฉียวนที่ตาบอดอยู่ ณ ตอนนั้นเขามีชีวิตรอดมาได้อย่างไร? ในใจของเขาคิดอะไรอยู่กันแน่?
ในฐานะนักเขียนที่เขียนนิยายตามกระแสนิยมแล้ว ผมก็แค่เขียนอะไรตามใจชอบมาโดยตลอด ส่วนใหญ่แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจพิจารณาว่าเขียนไปแบบนี้แล้วจะสมเหตุสมผลหรือไม่
เพราะผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าโลกใบนี้จะมีอยู่จริง ตอนที่ผมเขียนแบบนี้แล้ว ตัวละครที่อยู่ในนิยายเหล่านี้ต่างก็เป็ไปตามตัวอักษรที่ผมเขียน จะต้องประสบกับความทุกข์หรือความสุขล้วนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
“ไม่ต้องเรียกคุณชายน้อยตระกูลโม่มาแล้ว หยิบเสื้อผ้ามาให้ข้า ข้าจะไปพบซ่งฉียวน”
นิยายเขียนไปแล้ว เื่ราวต่างๆ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ตอนนี้หากพูดอะไรไปก็คงไม่มีประโยชน์ ในเมื่อโลกใบนี้ทำให้ผมเกิดใหม่ ขณะที่อวี๋เคอและซ่งฉียวนผูกความแค้นต่อกัน เช่นนั้นไม่ว่าจะสายเกินไปหรือไม่ ผมก็จะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้ได้
ผมอยากจะช่วยซ่งฉียวน ผมอยากจะดึงเขาออกมาจากวงจรความเคียดแค้น ไม่ว่าใครก็ตามหากชีวิตมีเพียงแค่ความเคียดแค้นสุมอยู่ในอก แบบนั้นเขา... ไม่เป็บ้านี่สิแปลก!
ชาติที่แล้ว รอยยิ้มส่วนใหญ่ของซ่งฉียวนนั้นไม่ได้มาจากใจจริง แม้แต่เสียงหัวเราะตอนที่เห็นตัวเองถูกทรมานก็ยังดูเสแสร้งจนทำให้ผู้คนรู้สึกเ็ปใจ
กู้จิ่นเฉิงปรนนิบัติผมแต่งตัวเสร็จแล้ว จึงนำทางผมออกจากโรงอาบน้ำที่มีหมอกลอยวนไปมา ด้านนอกประตูเป็ระเบียงทางเดินทอดยาวที่ดูสลับซับซ้อน ว่างเปล่ามาก ทิวทัศน์ของที่นี่สำหรับผมแล้วพูดได้ว่ารู้สึกทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกประหลาด แม้ว่าอวี๋เคอจะมีนิสัยโเี้ ทั้งยังลามกและบ้าคลั่ง แต่โทนสีของพระราชวังที่เขาสร้างขึ้นนั้นกลับไม่สว่างสดใส มักจะให้ความรู้สึกมืดมัวอย่างบอกไม่ถูก
อันที่จริงตอนแรกผมกำหนดให้อวี๋เคอเป็ตัวละครที่ไม่สมบูรณ์เท่าไรนัก ผมแค่รับผิดชอบเขียนบรรยายความดื้อรั้นของเขาเท่านั้น เขียนให้เป็คนเย่อหยิ่งไม่เห็นใครอยู่ในสายตา มีความสามารถโดดเด่นเหนือกว่าผู้อื่น แต่กลับไม่เคยเอ่ยถึงว่าเขากลายเป็แบบนี้ได้อย่างไร แล้วก็ไม่เคยเอ่ยถึงว่านิสัยของเขาเป็แบบนี้เพราะเหตุใด
ทุกสิ่งทุกอย่างคลุมเครือไปหมด
ถ้าหากพบช่องโหว่ในโลกใบหนึ่ง เช่นนั้นก็จะมีเหตุการณ์ที่เหมาะสมมาชดเชยข้อบกพร่องนี้ ถ้าอย่างนั้นอวี๋เคอประสบกับอะไรมาบ้าง ทำไมนิสัยของเขาถึงได้กลายเป็แบบปัจจุบันนี้? เหตุผลที่ผมข้ามมิติมานั้นก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ ทั้งยังไม่มีความทรงจำใดๆ เกี่ยวกับตัวเอกหลังจากที่ข้ามมิติมาอีกด้วย
ทว่าแตกต่างจากครั้งที่แล้ว เวลานี้ผมมีจุดได้เปรียบบางอย่างบนโลกใบนี้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นก็คือผมรู้เื่ราวที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ ไม่เหมือนกับครั้งก่อนที่ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
“นายท่าน ถึงแล้วขอรับ” กู้จิ่นเฉิงยังคงมีความจงรักภักดีอย่างยิ่ง ไม่มีลักษณะท่าทางเหมือนพี่ใหญ่ที่เคยทรมานผมมาก่อน ไม่รู้ว่านิสัยที่แท้จริงของเขานั้นเป็แบบไหนกันแน่
เมื่อพูดถึงเื่นี้แล้ว รอบตัวผมล้วนมีแต่อันตรายเต็มไปหมดจริงๆ ไม่ว่าใครก็จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด