พวกเ้าหน้าที่เอกสารไม่สนใจเื่พวกนี้ ชาวบ้านนิสัยไม่ดีในชนบทก็เช่นนี้ เห็นครอบครัวที่ปกติฐานะใกล้เคียงกับตัวเองร่ำรวยขึ้นมาอย่างฉับพลันไม่ได้ แต่พวกเขารู้ว่าที่ดินหกสิบไร่ฟังดูเยอะก็เยอะ ทว่านั่นเป็ที่รกร้าง รวมกับความช่วยเหลือจากท่านจู่ปู้ เจียงหงหย่วนจึงจ่ายค่าที่หกสิบไร่ไปเพียงสามสิบตำลึง
ต้องบอกก่อนว่าหากเป็ที่นาคุณภาพสูง เงินสามสิบตำลึงนี้เพียงพอให้ซื้อได้แค่สองไร่กว่า
เจียงหงหย่วนซื้อที่ไปหกสิบไร่ บวกกับเงินสิบตำลึงที่ให้จู่ปู้ก็กลายเป็สี่สิบตำลึง คำนวณแล้วประหยัดไปยี่สิบตำลึง
ถึงหลินหวั่นชิวจะมอบค่าน้ำชาให้สามคนนี้อีกย่อมให้แค่คนละหนึ่งตำลึงเป็อย่างมาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะช่วยผ่อนมือหรือไม่ พอยอมผ่อนมือ ไม่แน่ว่าจะช่วยเพิ่มที่รกร้างให้สักสองสามตำลึง
ดังนั้น อย่าสนใจแค่ว่าพวกเขาจ่ายมาก ต้องดูด้วยว่าพวกเขาได้ประโยชน์คืนมามากเช่นกัน
แต่คนในหมู่บ้านคิดเื่พวกนี้ไม่เป็ รู้แค่ว่าจำนวนหกสิบไร่เป็ตัวเลขที่มาก
คนอื่นส่งเสียงบ่นด้วยความอิจฉา
ส่วนสวีฝูรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
ตระกูลสวีของเขาเป็ครอบครัวเดียวในหมู่บ้านนี้ที่มีนาดีหลายสิบไร่ ถือได้ว่าเป็เ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุด
แต่จู่ๆ ครอบครัวนายพรานยาจกกลับมีที่ดินเยอะกว่าบ้านเขา แม้แต่เส้นผมยังรู้สึกไม่สบาย
ในใจนึกถึงเื่ที่ภรรยาเหล่าซานมาพูดกับเขา ก่อนหน้านี้สวีฝูยังลังเล แต่ตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะขับไล่เจียงหงหย่วนออกจากหมู่บ้าน
บุรุษผู้นี้ไม่ยอมรับการสั่งสอนจากเขา ทั้งที่หากจะซื้อที่ดินก็ควรผ่านทางเขา จะเอาที่ดินตรงไหนต้องให้เขาเป็คนรายงานไปทางตำบล แต่นี่กลับข้ามหน้าเขาไปที่อำเภอเลย!
นี่คือเื่ที่เขาโมโหที่สุด คนในหมู่บ้านจะมองอย่างไร ไม่ต่างกระไรกับเอาหน้าแก่ๆ ของเขาไปให้คนเหยียบ!
เจียงหงหย่วนหาเงินเก่ง หากเขาไม่สนใจให้เหล่าเอ้อร์ที่บ้านกินยาอีกต่อไป เอาเงินที่ได้จากการล่าสัตว์ไปซื้อที่ดิน…อีกสักสองสามปีก็คงเหนือกว่าบ้านเขาเสียแล้ว
ชาวบ้านพวกนี้ให้ความสำคัญกับอิทธิพลมาก ถึงเวลานั้นคงพากันไปประจบครอบครัวเจียงกันใหญ่ เช่นนี้แล้วจะเป็ภัยคุกคามต่อสถานะของตระกูลสวีในหมู่บ้าน
มาถึงบ้านตระกูลเจียง หลินหวั่นชิวกับหวางกุ้ยเซียงยืนรออยู่หน้าประตู
เนื่องจากต้องเจอคน หลินหวั่นชิวจึงใช้รองพื้นสีน้ำตาลมาทาให้หน้าตัวเองหมองคล้ำ แต่งตัวธรรมดา
มีแขกมาเยือน นางรีบเชิญเข้าด้านใน “ใต้เท้าทุกท่านเดินทางมาเนิ่นนานคงเหน็ดเหนื่อย เชิญเข้ามาพักดื่มน้ำเสียก่อนแล้วค่อยวัดที่เถิดเ้าค่ะ ป้าสองจ้าว รบกวนให้ท่านช่วยดูแลให้ที บ้านข้าก็เล็ก…”
หลินหวั่นชิวผายมือเชิญพวกเ้าหน้าที่เอกสารหยางไปด้วย พูดกับป้าสองจ้าวไปด้วย ป้าสองจ้าวย่อมเข้าใจในความหมายของนาง เดินมาเอาตัวขวางประตู ไม่ให้ผู้อื่นตามเข้าไป
อันที่จริงพวกชาวบ้านก็ตามดูอยู่ไกลๆ อยู่แล้ว ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้เ้าหน้าที่ทางการ ถึงกระนั้นก็ยังมีบางคนหน้าหนา อย่างเช่นสวีฝูที่คิดว่าตัวเองเป็คนสำคัญ
และอย่างเช่นพวกหลินฟาไฉที่อ้างว่าตัวเองเป็ผู้าุโ
ป้าสองจ้าวไม่กล้าขวางสวีฝู แต่กับพวกหลินฟาไฉแล้วนางไม่จำเป็ต้องเกรงใจ
พวกหลินฟาไฉโมโหเดือดดาล แต่คนจากที่ว่าการอำเภออยู่ที่นี่ ไม่กล้าพูดกระไรมาก
“หัวหน้าหมู่บ้าน ไม่ทราบว่าบ้านท่านมีหมึกพู่กันหรือไม่?” เ้าหน้าที่เอกสารหยางถามสวีฝูหลังจากเข้ามาด้านใน
สวีฝูไม่เข้าใจว่าเขาถามเช่นนี้เพราะเหตุใด “ย่อมมีอยู่แล้ว ปกติต้องช่วยคนเขียนสัญญา จะไม่มีได้อย่างไรขอรับ” ขณะที่พูดก็มองหลินหวั่นชิวอย่างไม่ดีไม่ร้าย หลินหวั่นชิวไม่สนใจเขา
เ้าหน้าที่เอกสารหยางพูดอย่างนิ่มนวล “งานในที่ว่าการอำเภอค่อนข้างยุ่ง พองานยุ่งก็หลงลืมสิ่งใดง่ายๆ ดูข้าสิ ลืมพกพู่กันกับกระดาษมาด้วย คงต้องรบกวนยืมจากหัวหน้าหมู่บ้านเสียก่อน”
สวีฝูจนปัญญา ได้แต่ยอมขอตัวกลับบ้านไปเอาของ
หลินหวั่นชิวไม่กล้าปิดประตูหน้า อาศัยจังหวะที่รินชามาวางเงินลงในถ้วยชาของทั้งสามคน “ไม่ใช่ชาดีกระไร เป็แค่ดอกเก๊กฮวยป่าที่เก็บจากูเา ดื่มในฤดูใบไม้ร่วงจะช่วยลดความแห้งกร้าน”
ทั้งสามคนเห็นหลินหวั่นชิวเป็งานแบบนี้ย่อมดีใจ
หนึ่งตำลึงเงินเชียวนะ ซื้อที่รกร้างได้หนึ่งไร่
อีกอย่าง เงินเดือนทั้งปีของพวกเขาก็แค่แปดตำลึง ปกติต้องพึ่งพาค่าน้ำชาพิเศษพวกนี้ เวลาออกมาวัดที่ดิน ถ้าเจอบ้านที่ใจกว้างหน่อยก็จะให้หนึ่งตำลึงมาแบ่งกันสองสามคน แต่ถ้าเจอบ้านที่ขี้เหนียวหน่อย…บ้างก็ไม่ให้ บ้างก็ให้เหรียญทองแดงหนึ่งถุง มีไม่เกินร้อยเหรียญ
มิน่าเล่า ใต้เท้าจู่ปู้ถึงได้กำชับให้พวกเขาผ่อนปรนตอนวัดที่
นักการคนหนึ่งพูดว่า “ดื่มน้ำแค่ถ้วยเดียวก็พอ ไม่ต้องนั่งพักหรอก พวกข้าเสร็จงานแล้วยังต้องกลับที่ว่าการอำเภอ”
หลินหวั่นชิวรีบถาม “หากทั้งสามท่านไม่รังเกียจ จะอยู่ทานมื้อเที่ยงที่บ้านข้าน้อยก่อนค่อยกลับหรือไม่เ้าคะ?”
เ้าหน้าที่เอกสารหยางตอบว่า “รับปากหัวหน้าหมู่บ้านแล้วว่าจะไปกินที่บ้านเขา คงไม่ต้องรบกวนเ้า”
หลินหวั่นชิวได้ยินดังนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก คิดในใจว่าหย่วนเกอทายถูก รู้ว่าพวกเขาจะไปกินข้าวบ้านหัวหน้าหมู่บ้าน
คนทั้งกลุ่มออกไปวัดที่ วัดที่ห้าไร่ใกล้บ้านเจียงหงหย่วน รวมแม่น้ำเล็กๆ สายนั้นเข้าไปด้วย
นอกจากนี้ก็วัดป่าด้านหลังบ้านพวกเขาทั้งหมด
เหล่าต้าบ้านตระกูลเจียงล่าสัตว์จนเขลาหรือไม่ จะเอาป่าไปทำสิ่งใด?
ปลูกข้าวไม่ได้ เอาไว้ดูหรือ?
ต่อให้ตัดต้นไม้จนหมด ที่ดินนี่ล้วนไม่อุดมสมบูรณ์ จะทำเป็นาจำเป็ต้องขุดรากต้นไม้ออก…เสียเวลาจะตาย
ถ้าจะโทษผู้ใด
คงต้องโทษภรรยาที่นายพรานเจียงหามาไม่ใช่คนดีกระไร มาเจอคนล้างผลาญเช่นนาง เอาเงินมาละลายเช่นนี้หมด…เวรกรรมของตระกูลเจียงจริงๆ
บรรดาชาวบ้านพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กัน รู้สึกว่าที่เจียงหงหย่วนตัดสินใจโง่เขลาเช่นนี้เป็เพราะหลินหวั่นชิว
มิเช่นนั้นตอนที่นายพรานเจียงยังไม่พานางกลับบ้าน เหตุใดเขาถึงใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่หาเื่และไม่มีปัญหากับคนในหมู่บ้านล่ะ
แต่พอหลินหวั่นชิวมา เจียงหงหย่วนผู้นี้ทั้งทำร้ายสตรี ทั้งจับโยนลงบ่อมูล ยัดไข่มูลใส่ปากผู้อื่น ไม่สนใจสิ่งใดทั้งนั้น
คราวนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ซื้อที่ดินหกสิบไร่แต่กลับเป็ป่า
ในป่าไม่ได้มีไม้ราคาแพงกระไร จะตัดมาขายเป็เงินยังทำไม่ได้เช่นกัน
ความอิจฉาริษยาก่อนหน้านี้ของพวกชาวบ้านเปลี่ยนเป็เสียงหัวเราะเยาะ รอดูเจียงหงหย่วนเสียใจตอนได้สติ
ตอนแรกยังมีบุรุษจำนวนหนึ่งอิจฉาที่เจียงหงหย่วนได้หลินหวั่นชิวไปครอง เพราะเด็กสาวคนนี้ทั้งอกโตก้นงอน หน้าตาก็ยั่วยวน ดูมีรสชาติกว่าภรรยาที่บ้านเยอะ
ทว่าตอนนี้พวกเขากลับพากันรู้สึกโชคดีที่ภรรยาตัวเองอยู่อย่างสงบ ไม่เสนอความคิดบ้าๆ และใช้เงินมั่วๆ เช่นนี้
หลังจากได้เห็นแล้วว่าที่ดินที่คนจากอำเภอวัดเป็ป่า ชาวบ้านที่มามุงดูก็ค่อยๆ แยกย้ายกันไป ที่บ้านยังมีงานต้องทำงานอีกมาก
นี่ก็จะเข้าหน้าหนาวแล้ว งานในไร่ไม่มามัวรอหรอกนะ
จ้าวสุ่ยเซิงกับหวางฟู่กุ้ยตามอยู่ด้านหลังนักการ พวกเขากำหนดตำแหน่งเสร็จ สองคนนี้ก็วางไม้ไผ่ลงกำหนดเขตแดน
เื่นี้ดูเหมือนง่าย แต่ทำแล้วใช้เวลาพอตัวเลย
สวีฝูเอากระดาษพู่กันมาให้แล้ว เ้าหน้าที่เอกสารหยางให้เขาช่วยถือไว้ก่อน เขากลัวว่าเดี๋ยวอีกฝ่ายจะใช้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามอยู่ด้านหลังจนพื้นที่ทั้งหกสิบไร่วัดเสร็จ
กระทั่งวัดที่เสร็จแล้ว เ้าหน้าที่เอกสารหยางยังไม่มีท่าทีจะใช้
สวีฝูอัดอั้นมาก เกือบโมโหจนกระอักเืเสียแล้ว
