"ไม่จริงน่า!?" ไป๋เสียรีบออกมาจากร่างลู่เต้าทันที
ลู่เต้าผู้เปี่ยมไปด้วยพลังกำลังยืนอยู่ในสระพลังิญญาอันว่างเปล่า ร่างกายเต็มไปด้วยพลังที่อธิบายไม่ถูก มีเพียงบริเวณจุดชีพจรที่รู้สึกไม่สบายเล็กน้อย "ตอนนี้ข้ารู้สึกเหมือนกินจนอิ่มเกินไป"
"ไม่เพียงแต่เมล็ดพันธุ์จะงอกเงย แต่ยังออกดอกออกผลแล้วด้วย" ไป๋เสียนั่งลงริมสระด้วยสีหน้าหดหู่
ลู่เต้าไม่เข้าใจในสิ่งที่ไป๋เสียพูด "เมล็ดพันธุ์? ออกดอกออกผล?"
ไป๋เสียที่อารมณ์ไม่ดีตอบอย่างไม่สบอารมณ์ "เ้าไปดูในทะเลิญญาเองสิ!"
ลู่เตาหลับตาเพ่งมองภายในร่างกาย เมื่อเขาเห็นต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในทะเลิญญาก็เบิกตาขึ้นด้วยความใ "นี่มันเกิดอะไรขึ้นนี่!? ทุกครั้งที่ข้ากินส้ม ข้าก็คายเมล็ดออกหมดแล้วนะ!!!"
"ส้มอะไรกัน..." ไป๋เสียมองเขาด้วยสีหน้าเอือมระอา "นั่นน่ะมันเมล็ดพันธุ์สืบทอด ข้าเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก ผลของมันใกล้จะสุกเต็มที่แล้วเชียว แต่เพราะสระพลังิญญาแห้งเหือด มันเลยหยุดเติบโตไปเสียนี่"
"ทั้งคราวนี้ ทั้งคราวที่แล้วในหอคัมภีร์ต้องห้าม ทำไมต้องมาเกิดเื่เอาตอนสำคัญๆ ด้วย" ไป๋สบถด้วยความระอาใจ
ลู่เต้าปีนขึ้นจากก้นสระ ตอนนี้เขารู้สึกเพียงท้องอืดเล็กน้อย นอกนั้นทั่วร่างกลับรู้สึกโล่งสบายอย่างบอกไม่ถูก
เดิมทีลู่เต้าเปิดจุดชีพจรบนศีรษะได้เพียงจุดเดียว ส่วนจุดชีพจรอีกหกจุดนั้นถูกพิษที่สะสมอยู่ในร่างกายมาเป็เวลานานปิดกั้นเอาไว้ ทำให้ทำงานได้ไม่ปกติ
บัดนี้ร่างกายของเขาได้รับการชำระล้างจากน้ำที่มีพลังิญญาความเข้มข้นสูงเช่นนี้ พิษก็ถูกขับออกจากร่างกายไปพร้อมกับเืสีดำนั่น จุดชีพจรที่ถูกปิดกั้นก็เปิดออก จึงนำพลังิญญาเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น
"โดยทั่วไปแล้ว มีเพียงตระกูลใหญ่หรือสำนักใหญ่เท่านั้นถึงจะมีสระพลังิญญา และมีเพียงศิษย์ชั้นยอดเท่านั้นที่จะได้รับการชำระล้างไขกระดูก" ไป๋เสียเสริม "เปรียบเสมือนดาบทื่อๆ เล่มหนึ่ง เมื่อผ่านการลับแล้วก็จะคมกริบ มนุษย์เองก็เช่นกัน เมื่อผ่านการชำระล้างไขกระดูกแล้ว การรับรู้และควบคุมพลังิญญาก็จะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป"
เมื่อลู่เต้าได้ยินดังนั้น เขาก็หลับตาลงทันที พยายามนำพลังิญญาเข้าสู่ร่างกาย ความรู้สึกเย็นสดชื่นซึมซาบไปทั่วร่างผ่านจุดชีพจรทั้งเจ็ด
พลังิญญาที่ล่องลอยอยู่ทั่วมิติลับถูกนำเข้าสู่ร่างกายของลู่เต้าอย่างราบรื่น รอบกายปรากฏแสงสีเขียวมรกตจางๆ
"ฮู้ว..."
ลู่เต้าหยุดสูดลมหายใจเข้าออก แสงสีเขียวมรกตก็ค่อยๆ จางหายไป ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วจุดชีพจร ลู่เต้ารู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด ดวงตาที่ปิดสนิทพลันเบิกกว้าง กำปั้นพุ่งทะยานออกไปจนเกิดเสียงแหวกอากาศดังเฟี้ยว
ลู่เต้าคลายกำปั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี นี่เป็ครั้งแรกที่เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตัวเองกำลังแข็งแกร่งขึ้น
ถึงแม้ไป๋เสียจะรู้หลักการชำระล้างไขกระดูก แต่ก็ไม่คาดคิดว่าลู่เต้าจะชำระล้างได้อย่างหมดจดถึงเพียงนี้ เปิดจุดชีพจรได้ทั้งเจ็ดจุด แม้แต่ตัวเขาเองในตอนนั้นที่ได้พบกับสระพลังิญญา ก็ยังเปิดได้เพียงห้าจุด ส่วนจุดที่เหลือต้องใช้วิธีนอกรีตฝืนเปิดออก
"แคก...อย่าได้หลงละเลิงไป" ไป๋เสียกระแอมไอเบาๆ "แต่นี่ถือเป็การเริ่มต้นที่ดี ตอนนี้เ้าแค่ต้องปลุกพลังพิเศษ จะได้กลายเป็ผู้ฝึกตนขั้นหนึ่งดาวแล้ว"
"ไม่ใช่ว่าต้องกินอาหาริญญาก่อน ถึงจะปลุกพลังพิเศษได้หรอกหรือ” ลู่เต้ายักไหล่อย่างจนใจ "ท่านปู่เคยเล่าว่า ครั้งสุดท้ายที่ป่าผีคร่ำครวญมีสัตว์ิญญาปรากฏตัวก็คือห้าร้อยปีก่อน แล้วตอนนี้จะไปหาจากที่ไหนเล่า”
"ไม่...ไม่ต้องหาสัตว์ิญญาหรอก" ไป๋เสียเดินไปหาลู่เต้าที่ยืนเปลือยท่อนบน ยื่นนิ้วเรียวจิ้มไปที่ท้องของเขาเบาๆ "อาหาริญญาที่เหมาะสมกับเ้าที่สุด อยู่ที่นี่แล้ว!"
"ผลไม้นั่นยังไม่สุกไม่ใช่หรือ”
"ดังนั้น ต่อไปนี้ข้าจะเร่งให้มันสุกเอง!" ไป๋เสียเดินวนในมิติลับ "ก่อนจะเข้าไปในหอคัมภีร์ต้องห้าม ข้าเคยสร้างห้องลับเอาไว้ในป่าผีคร่ำครวญ ข้างในมีทั้งยาและของสะสมของข้า..."
ไป๋เสียลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ "รวมถึง...สุนัขเฝ้าบ้านตัวหนึ่งล่ะมั้ง..."
"เ้าเลี้ยงสุนัขด้วยหรือ” ลู่เต้าถามอย่างประหลาดใจ ภาพลักษณ์นี้ช่างแตกต่างจากจอมมารในจินตนาการของเขามากเหลือเกิน
"มีอะไรหรือไร ข้าเห็นเ้าพวกมนุษย์แล้วอยากจะอาเจียน จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพื่อผ่อนคลายบ้างก็ไม่ได้หรือ” ไป๋เสียพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์
ลู่เต้าไม่ตอบ แต่กลับจินตนาการว่าสุนัขที่ไป๋เสียเลี้ยงนั้นจะมีขนาดใหญ่โตเพียงใด และมีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวขนาดไหน
ทันใดนั้น พื้นดินก็สั่นะเื เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ทั่วทั้งมิติลับสั่นคลอนอย่างรุนแรง บนท้องฟ้าปรากฏรอยแตก เศษท้องฟ้าขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาข้างเท้าลู่เต้า
"แย่แล้ว เ้าดูดพลังิญญาทั้งหมดในมิติลับไปจนหมด มิติเล็กๆ แห่งนี้กำลังจะพังทลายแล้ว!" ไป๋เสียขมวดคิ้ว
***
ภายนอกมิติลับ
เนื่องด้วยกาลเวลาของสองมิติไม่เท่ากัน ณ เวลานี้ ป่าผีคร่ำครวญกลับเข้าสู่ยามเช้าแล้ว จางเฟิงผู้ควบคุมิญญายังคงดักรอลู่เต้าอยู่ทางเข้ามิติลับตลอดทั้งคืน เพื่อหวังชิงขลุ่ยสะกดมารในมือของเขา
แต่ในใจของเขาก็ไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อย ใครจะไปรู้ว่าอีกฝ่ายจะยอมออกมาจากมิติลับเมื่อใด ขณะที่เขารอจนทนไม่ไหว คิดจะล้มเลิกความตั้งใจ จู่ๆ โดยรอบก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาว
มุมปากจางเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่านี่คือสัญญาณบ่งบอกว่าทางเข้ามิติลับเปิดออกแล้ว และก็เป็อย่างที่เขาคาดการณ์ไว้ หลังจากหมอกสีขาวปรากฏขึ้นได้ไม่นาน ลู่เต้าเดินออกมาด้วยท่อนบนที่เปลือยเปล่า และถือเสื้อผ้าวิ่งโซซัดโซเซออกมาจากมิติลับ
จางเฟิงแสยะยิ้มเ็า และหยิบขวดใบเล็กสีขาวที่บนขวดเขียนอักขระผนึกด้วยชาดออกมา นี่คือไพ่ตายใบสุดท้ายในมือของเขา อสุรกายระดับหนึ่งดาว... อสุรกายพระโพธิสัตว์ เนื่องจากมันมีคุณสมบัติของ "อสุรกาย" จึงจำเป็ต้องกินิญญาจำนวนมากเป็อาหาร เมื่อเทียบกับเงากวนอิมที่เลี้ยงดูและอยู่รอดได้ด้วยตัวเองแล้ว พระโพธิสัตว์อสุรกายนับว่าเป็ภาระผู้ควบคุมิญญามากกว่า ดังนั้นในอันดับภูตผีปีศาจ มันจึงถูกจัดอันดับให้อยู่ระดับล่าง
แม้จะมีข้อเสียคือกินจุ แต่อสุรกายพระโพธิสัตว์ก็ยังคงมีข้อดี นั่นก็คือเมื่อใดที่มันหิวโหยถึงขีดสุด มันจะคลุ้มคลั่งแย่งชิงิญญา
ยามนั้นอสุรกายพระโพธิสัตว์จะกลายร่างเป็อสุรกายที่แท้จริง ไม่แยกแยะศัตรูหรือมิตร แม้แต่จางเฟิงเองก็มิอาจควบคุมได้ หากปล่อยมันไปแล้ว ก็อย่าได้หวังว่าจะเรียกกลับคืนมา นี่นับว่าเป็ความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่สำหรับผู้ควบคุมิญญา
แต่เมื่อนำไม้สะกดมารมาวางชั่งแล้ว อสุรกายพระโพธิสัตว์ก็ดูด้อยค่าลงไปทันที
จางเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดดึงผ้าแดงที่อุดปากขวดออกอย่างเงียบเชียบ หมอกสีดำพวยพุ่งออกมาปกคลุมลู่เต้า
จางเฟิงหัวเราะอย่างชั่วร้าย "แม้แต่กระดูกก็อย่าเหลือให้ข้าได้เห็น!"
ลู่เต้าที่เพิ่งออกมาจากมิติลับที่ถล่มลงพบว่าท้องฟ้าสว่างแล้ว แต่ไม่นานท้องฟ้าก็กลับมืดมิดลงอีกครั้ง
"มาแล้ว" ไป๋เสียที่อยู่ในร่างลู่เต้าเอ่ยอย่างใจเย็น
เพิ่งสิ้นเสียง ลมกระโชกแรงก็พัดเข้าหาลู่เต้าอย่างเร็วรวด ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับเห็นผี หลังพลันเล็กน้อย จนหลบการโจมตีอันร้ายกาจได้อย่างหวุดหวิด
ไม่เพียงแต่ลู่เต้าจะมองเห็นการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของอีกฝ่ายได้เท่านั้น แต่เขายังเห็นได้ชัดเจนว่านั่นคือรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่รูปร่างบิดเบี้ยว แขนขายาวผิดสัดส่วน ใบหน้าดุร้าย และถูกหมอกสีดำปกคลุมทั่วร่าง
อสุรกายพระโพธิสัตว์คุดคู้อยู่บนพื้นราวกับสัตว์ร้าย ในปากเต็มไปด้วยฟันใบเลื่อย มือเป็กรงเล็บอันแหลมคมราวกับคมมีด ทุกย่างก้าวที่มันเดิน หมอกสีดำที่ล้อมรอบจะทำให้พืชพรรณโดยรอบเหี่ยวเฉา
ลำคอของมันหนาราวกับงูหลาม ในขณะเดียวกันก็ยืดหยุ่นราวกับงูเล็ก เมื่ออ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคมก็มีกลิ่นคาวเืโชยออกมา
หากคนทั่วไปเผชิญหน้ากับอสุรกายเช่นนี้ คงหวาดกลัวจนิญญาหลุดออกจากร่างไปแล้วแน่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอสุรกายพระโพธิสัตว์ที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้เลย
"อสุรกายพระโพธิสัตว์อย่างนั้นหรือ มารดามันเถิด ของแบบนี้ก็กล้าเอามา" ไป๋เสียกล่าวอย่างดูถูก
เขาไม่ต้องคิดก็รู้ว่าป่าผีคร่ำครวญที่แห้งแล้งเช่นนี้ คงไม่มีอสุรกายหนึ่งดาวถึงสองตน กล่าวคืออสุรกายพระโพธิสัตว์ตัวนี้ต้องเป็ของผู้ควบคุมิญญาคนนั้นอย่างแน่นอน
"ตอนนี้นายของมันน่าจะซ่อนตัวคอยดูสถานการณ์อยู่แถวนี้" ไป๋เสียพยายามััอีกฝ่าย แต่ก็ไม่เป็ผล "ดูท่าจะใช้เคล็ดวิชาปกปิดกลิ่นอายของตัวเอง"
ไป๋เสียคิดจะเข้าสิงร่างลู่เต้าเพื่อสั่งสอนอีกฝ่าย แต่ไม่คาดคิดว่าลู่เต้ากลับพร้อมที่จะลงมือแล้ว เมื่อเห็นดังนั้น เขาจึงยกยิ้มเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนใจ "ครั้งนี้เ้าจัดการเองเถอะ"
"ข้าเองก็คิดเช่นนั้น" ลู่เต้าหยิบขลุ่ยสะกดมารออกมาจากเสื้อคลุม ขลุ่ยพลันกลายเป็ไม้สีดำยาว อักขระสีทองที่สลักอยู่บนนั้นเปล่งประกาย
ลู่เต้าชี้ไม้สีดำไปที่อสุรกายตรงหน้า ภาพของมันทับซ้อนกับเงากวนอิมในความทรงจำ ภาพคุณปู่ที่โรยรินและชาวบ้านพลันปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง ไม้สะกดมารถูกลู่เต้าผู้โกรธแค้นกำแน่นจนส่งเสียงดังลั่น
"ข้าจะไม่ปล่อยให้เ้าไปทำร้ายใครอีก" ดวงตาของลู่เต้าเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร ฟันกระทบดังกึกก้อง "ไม่มีวัน!"
