บรรยากาศภายในรถเย็นะเืลงเพราะคำจิกกัดของเยวี่ยเจาหรานที่ ‘เผลอ’ เอ่ยออกมา หากไม่ใช่เพราะดอกไม้ใบหญ้านอกหน้าต่างรถนั้นเขียวขจีละลานตา เป็ไปได้ว่าทุกคนคงเข้าใจผิดนึกว่าเดือนหกกลายเป็ฤดูหนาวไปเสียแล้ว... เยวี่ยเจาหรานเงยหน้าขึ้นเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ใช้สีหน้าท่าทางที่ตนคิดว่าไม่เลวทีเดียวมาประจันหน้ากับสายตาของสวี่ชิวเยวี่ย
“ข้าหมายถึง...” คนฉลาดเช่นเยวี่ยเจาหราน ถึงกับครุ่นคิดอยู่นานก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะจบเื่ที่ไม่อาจทำให้จบลงได้เลยนี้อย่างไรดี
“ใช่แล้ว ความหมายของข้าก็คือ ทางที่เยี่ยนอวิ๋นเฟยใช้ล้วนเป็ทางลัด เร็วหน่อยก็สมควรแล้ว...”
ถูๆ ไถๆ ตอบกลับไปอย่างยากเย็น สุดท้ายก็ยังปากลาไม่ตรงปากม้า [1] เยวี่ยเจาหรานฟังเองก็ยังอึ้ง
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ความสามารถในการ ‘เสแสร้ง’ ของสวี่ชิวเยวี่ยนั้นแข็งแกร่งเกินไปจริงๆ แม้แต่คำพูดเหลวไหลของเยวี่ยเจาหรานก็ยังรับมือได้โดยไม่สะทกสะท้าน นางเพียงยิ้มเล็กน้อย แล้วเอ่ยช้าๆ “ใช่เ้าค่ะ พี่สะใภ้กับเปี่ยวเกอสามีภรรยารักใคร่ เปี่ยวเกอคงไม่ยอมให้พี่สะใภ้ต้องเหนื่อยล้ากับเส้นทางโคลงเคลง การใช้ทางลัดก็เป็เื่สมเหตุสมผล ชิวเยวี่ยก็ต้องขอบคุณพี่สะใภ้ที่ทำให้ชิวเยวี่ยได้อาศัยบารมีไปด้วยนะเ้าคะ”
สีหน้าของเยวี่ยเจาหรานแข็งตึง อยากจะยกนิ้วโป้งให้สวี่ชิวเยวี่ยสักทีจริงๆ เขาเอ่ยรำพึงกับทักษะอันล้ำลึกของแม่นางผู้นี้เช่นนั้น แต่ความคิดนั้นยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง สวี่ชิวเยวี่ยก็พลันต้องขายหน้าตัวเอง...
รถม้าไม่รู้ไปเหยียบอะไรเข้า เขย่าเยวี่ยเจาหรานและสวี่ชิวเยวี่ยกระเด้งกระดอนอย่างไร้ปรานี สวี่ชิวเยวี่ยนั้นร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว เยวี่ยเจาหรานแทบอยากจะหัวเราะลั่น แต่เห็นแก่ใบหน้าน้อยๆ ที่น่าสงสารและความภาคภูมิของหญิงสาว เขาจึงกลั้นเอาไว้
“ไม่ ไม่เป็ไรนะ...” เมื่อเห็นท่าทางใจนหน้าถอดสีของสวี่ชิวเยวี่ย เยวี่ยเจาหรานก็เอ่ยปากถามขึ้นมาอย่างสุภาพ สีหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยในยามนี้เปลี่ยนไปมาไม่หยุดเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวแดง เกิดความรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกขึ้นมาเล็กน้อย
หรือจะเรียกว่าถึงตายก็จะรักษาหน้าไว้ แม้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อรับกรรมก็ตาม [2] มาถึงขนาดนี้แล้ว สวี่ชิวเยวี่ยจึงจัดแจงเสื้อผ้าของตน ฝืนระงับความกลัวแล้วตอบออกไปคำหนึ่ง “ไม่เป็ไรเ้าค่ะ…” แต่น้ำเสียงกลับสั่นเครือไม่หยุด เห็นแล้วช่างน่าสงสารเสียจริง
ทั้งสองนิ่งเงียบชั่วขณะ ในรถม้าเองก็ไร้การเคลื่อนไหวไปชั่วครู่ แต่หากง่ายดายขนาดนั้นก็ไม่ใช่ลักษณะของสวี่ชิวเยวี่ยน่ะสิ เยวี่ยเจาหรานกำลังคิดจะเอนตัวพิงกับพนักเพื่อหลับตาพักผ่อนสักครู่ ก็ได้ยินสวี่ชิวเยวี่ยกระแอมไอขึ้นมาอย่างดัดจริต แล้วเอ่ยเสียงอ่อนเสียงหวาน “พี่สะใภ้่นี้นอนหลับไม่สบายหรือเ้าคะ?”
นี่คิดจะเล่นลูกไม้อะไรอีก? แม้เยวี่ยเจาหรานจะคาดไม่ถึงไปชั่วขณะ แต่ก็ยังมองออกอย่างฉับไว ว่าเื่คงไม่ง่ายดายขนาดนั้น
ไม่มีทางเลือก เขาได้แต่ลืมตาขึ้น แล้วถามด้วยความงุนงง “ก็พอได้ เหตุใดจึงพูดเช่นนั้น?”
แม้ว่ายามปกติเยวี่ยเจาหรานจะชอบใจการยั่วยุและก่อเื่ของสวี่ชิวเยวี่ยอย่างมาก ทว่ายามนี้เขารู้สึกอ่อนเพลียจริงๆ ทั้งการเดินทางอันทุลักทุเล คำพูดคำจาจึงเริ่มเอ่ยไปแบบส่งๆ
“โธ่เอ๊ย ก็ไม่มีอะไรหรอกเ้าค่ะ~” ในมือสวี่ชิวเยวี่ยถือผ้าเช็ดหน้าของตนไว้มั่น แล้วเอ่ยเช่นนั้น เยวี่ยเจาหรานได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง ยังนึกว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไรต่อแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าสวี่ชิวเยวี่ยจะอ้าปากกว้าง แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเนิบนาบอีกครั้ง “ก็แค่เห็นพี่สะใภ้ขอบตาดำคล้ำ เลยนึกว่าพี่สะใภ้นอนหลับไม่สบายเสียอีกเ้าค่ะ!”
หากคำพูดนั้นไปเข้าหูผู้หญิงคนอื่นเข้า พวกนางคงจะโกรธเป็ฟืนเป็ไฟแน่ ถึงอย่างไรสถานะในตอนนี้ของสวี่ชิวเยวี่ยก็คือศัตรูหัวใจ หากถูกศัตรูหัวใจบอกว่าดูแลตัวเองไม่ดีพอจนขอบตาดำคล้ำ สำหรับหญิงสาวธรรมดาไม่ว่าผู้ใดก็นับว่าเป็ความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวง!
หากแต่ไม่รู้ว่าควรจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคไม่ดีกันแน่ เยวี่ยเจาหรานของพวกเรานั้นก็ไม่ใช่หญิงสาวที่จะสนใจเื่พวกนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรนี่นา หรือจะให้พูดตามตรง เขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงอยู่แล้ว!
ดังนั้นสวี่ชิวเยวี่ยในครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็นับว่าออกหมัดลงบนฝ้าย [3] ไม่มีผลอะไรเลย
เยวี่ยเจาหรานได้ยินคำพูดของสวี่ชิวเยวี่ย จึงเอ่ยเหมือนว่านึกขึ้นมาได้ทันใด “อ๋อๆ ถูกเ้าจับได้แล้วสิเนี่ย ต้องโทษเปี่ยวเกอของเ้าทั้งนั้น ในคาบเรียนไม่เรียน กลับมายังต้องลากข้ามาอยู่สู้ศึกยามดึกดื่น ทำให้เวลานอนหลับดีๆ ของข้าน้อยลงน่ะสิ!”
แม้ว่าที่เยวี่ยเจาหรานพูดไปนั้นจะเป็ความจริงทั้งหมด ทั้งยังไม่ได้พูดเสริมเติมแต่งเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเข้าหูของผู้มีจิตคิดคดอย่างสวี่ชิวเยวี่ยแล้ว มันก็ไม่ได้น่าอภิรมย์นัก ด้วยความสามารถในการมโนภาพของสวี่ชิวเยวี่ย นางจึงเห็นคำพูดนั้นของเยวี่ยเจาหรานกลายเป็การตีโต้ที่ทรงพลังยิ่ง
แถมยังมีคำบรรยายแปลกๆ อย่างอยู่สู้ศึกยามดึกดื่นอะไรนั่นอีก จึงกลายเป็จุดชนวนะเิของสวี่ชิวเยวี่ยขึ้นมา
รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยเริ่มตรึงไว้ไม่อยู่ นางกำกำปั้นเล็กๆ อยู่ในแขนเสื้ออย่างเงียบงัน พลางตอบกลับด้วยรอยยิ้มเสแสร้ง “อ๋อ”
คำพูดนั้นเผยเจตนาไม่้าจะพูดต่ออย่างชัดเจน ทว่า ‘า’ นั้นแต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่สิ่งที่เ้าคิดจะเริ่มก็เริ่ม คิดจะจบก็จบได้ ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าเมื่อครู่เยวี่ยเจาหรานจะไม่ได้รู้สึกตัว แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของสวี่ชิวเยวี่ย เขาก็เข้าใจเื่ราวทุกอย่างแล้ว
ในเมื่ออีกฝ่ายเคลื่อนไหวแล้ว เยวี่ยเจาหรานก็ไม่มีเหตุผลที่ไม่สานต่อ
ดังนั้นเยวี่ยเจาหรานที่มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนก็ได้ทีขี่แพะไล่ พลันดึงแขนเสื้อของสวี่ชิวเยวี่ยเอาไว้ แล้วเอ่ยถามอย่างเป็จริงเป็จัง “ข้าดูแล้วเปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ยผิวพรรณดีนัก นอกเสียจากการไม่มีสามี ไม่ต้องสู้ศึกยามดึกดื่นแล้ว ยังมีวิธีอะไรดีๆ ในการบำรุงดูแลบ้าง พอจะสามารถสอนให้พี่สะใภ้หรือไม่?”
เมื่อเห็นดวงตาโตที่กะพริบปริบๆ ของเยวี่ยเจาหรานแล้ว สวี่ชิวเยวี่ยก็แทบอยากจะให้ในมือมีมีดขึ้นมา จะได้จ้วงดวงตาสองข้างนั้นออกมาระบายอารมณ์เสียเลย! แต่ถ้าหากแค่นี้ก็รับไม่ไหวเสียแล้ว สวี่ชิวเยวี่ยเองก็คงไม่อาจถูกเรียกว่าเป็ทหารแนวหน้าของศึกในจวนได้ นางสอดมือที่กำเป็กำปั้นเก็บไว้ในแขนเสื้อ จากนั้นจึงเอ่ยกับท่าที ‘ไร้เดียงสา’ เช่นนั้นของเยวี่ยเจาหราน
“วิธีบำรุงดูแลหรือเ้าคะ?” สวี่ชิวเยวี่ยกะพริบตา แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “จะว่ามีก็มี เพียงแต่กลัวว่าท่านจะไม่เข้าใจ” แววตาทั้งสองสบมองกัน แน่นอนว่าเยวี่ยเจาหรานนั้นพยักหน้าอย่างตั้งใจ แทบอยากจะพูดว่าข้าจะพยายามเพื่อแสดงถึงการขอคำชี้แนะอย่างถ่อมตัวของตน เมื่อนั้นสวี่ชิวเยวี่ยจึงถอนหายใจ เอ่ยเชื่องช้าอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เช่นนั้นก็… ต้อง-ใจ-งาม”
สวี่ชิวเยวี่ยพูดไปพลาง รอยยิ้มเสแสร้งที่ริมฝีปากก็ยิ่งแย้มได้น่ามอง แต่เยวี่ยเจาหรานผ่านการอบรม ‘ศึกในจวน’ ในหลายวันมานี้ เขาก็ไม่ใช่คนกินเจ [4] ไปนานแล้ว หลังจากที่พยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วยกับข้อสรุปของสวี่ชิวเยวี่ยอย่างเป็ตุเป็ตะ ก็พลันวาดัแต้มั์ตา [5] เอ่ยเสริมขึ้นมา
“ใช่แล้ว ใครต่อใครล้วนบอกว่าลักษณะของคนเกิดจากจิตใจหนุนส่ง ในตอนแรกข้าก็ยังไม่เชื่อหรอก กระทั่งได้เห็นเปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ย ข้าถึงได้รู้แจ้งอย่างถ่องแท้” แววตาของเยวี่ยเจาหรานหรี่ลงเล็กน้อย นิ้วบอบบางจับมุมแขนเสื้อขึ้นมาเบาๆ แล้วลูบไล้ไปช้าๆ พลางเอ่ยประโยคต่อท้ายนั้นขึ้นมา “เพราะรูปลักษณ์ของเ้าเปี่ยวเม่ยนั้น ก็เหมือนกับตัวเ้าอย่างไรอย่างนั้น...”
“คำว่าหยกงามกลางเถื่อน [6] นั้นเขียนอยู่เต็มใบหน้า!”
เยวี่ยเจาหรานพูดจบก็แย้มยิ้มเบิกบานราวกับอยู่เพียงลำพัง ริมฝีปากแดงฟันขาวงามหยด จนพาให้ลืมไปแล้วจริงๆ ว่าเขาคือบุรุษ
บนใบหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยเผยความงุนงงเล็กน้อย เยวี่ยเจาหรานจึงรีบเอ่ยขึ้นมาอย่างเห็นอกเห็นใจ “ข้าไม่ได้บอกว่าเปี่ยวเม่ยท่าทางกระโดกกระเดก [7] หรอกนะ ข้าเพียงอิจฉาเปี่ยวเม่ยชิวเยวี่ย จมูกเล็กหน้าตาจิ้มลิ้มสะสวยยิ่งนัก! ฮ่าฮ่าฮ่า...”
เยวี่ยเจาหรานพูดไปพลาง หัวเราะไปพลาง โดยไม่ได้สนใจสีหน้าของสวี่ชิวเยวี่ยที่เดี๋ยวแดงเดี๋ยวเขียวราวกับกิ้งก่าเปลี่ยนสีเลยแม้แต่น้อย!
เชิงอรรถ
[1] ปากลาไม่ตรงปากม้า (驴唇不对马嘴) หมายถึงตอบไม่ตรงคำถาม พูดคนละเื่ ไม่สอดคล้องกัน
[2] ถึงตายก็จะรักษาหน้าไว้ แม้ว่ามีชีวิตอยู่เพื่อรับกรรมก็ตาม (死要面子活受罪) หมายถึงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ ชื่อเสียง ต่อให้ต้องทุกข์ทรมานก็ยอมทนได้
[3] ออกหมัดลงบนฝ้าย (一拳打在棉花上) หมายถึงไม่สามารถทำร้ายหรือเอาชนะอีกฝ่ายได้เลย เปรียบเทียบเหมือนกับการต่อยปุยฝ้ายนุ่มๆ ต่อให้ใส่แรงแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
[4] ไม่ใช่คนกินเจ/กินมัง (不是个吃素的) คำสแลง ไม่ใช่แม่พระ เป็คนกินเนื้อนะ ดุนะ
[5] วาดัแต้มั์ตา (画龙点睛) อุปมาการพูดจา การเขียนบทความ หรือการวาดภาพ หากใส่ใจในรายละเอียด แต่งนิดเติมหน่อยจะทำให้เกิดความสมบูรณ์และสวยงาม
[6] หยกงามกลางเถื่อน (小家碧玉) หมายถึงหญิงสาวที่สวยงามและดูโดดเด่นเฉพาะในตำบลหรือสถานที่นั้น
[7] ท่าทางกระโดกกระเดก (小家子气) หมายถึงบุคคลไม่สุภาพเรียบร้อย (คำว่า 小家 สามารถหมายถึง ผู้ที่มีฐานะยากจน ต่ำต้อยได้)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้