มีพลังบางอย่างแผ่ปกคลุมร่างพวกเขา ภายใต้แสงโชติ่ทำให้รูปปั้นทั้งแปดดูศักดิ์สิทธิ์ราวกับกระตุ้นให้ผู้คนสักการะ
“ที่นี่มีแปดรูปปั้น คนที่มาถึงยอดเขาก็มีแปดคนพอดี ช่างประจวบเหมาะยิ่งนัก ดูท่า์จะลิขิตไว้แล้ว” หลิวอวิ๋นเจี๋ยกล่าว เขาก้าวออกมาเป็คนแรก ดังนั้นเขาจึงเลือกรูปปั้นแห่งดาบ นั่นเพราะเขาเชี่ยวชาญวิชาดาบ
แววตาของเฉินอ้าวเทียนทอประกายพลางเหลือบไปมองเย่เฟิงแวบหนึ่ง เขาต้องฆ่าเย่เฟิงให้ได้ แต่เขาหวาดกลัวหน้าไม้เล็กที่อยู่ในมือของฉินเยียนหราน ดังนั้นต่อให้เกลียดเย่เฟิงแค่ไหน เฉินอ้าวเทียนก็ไม่กล้าหุนหันพลันแล่น เขาคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ มีประสบการณ์มากมาย ย่อมรู้ว่าแปดรูปปั้นนี้หมายถึงอะไร จากนั้นเขาเดินไปทางรูปปั้นกิเลน
รูปปั้นกิเลนดูน่าเกรงขาม ทั้งยังมีพลังกิเลนแผ่ออกมา และิญญาาแรกที่เขาปลุกก็คืออสูรเทพกิเลน ดังนั้นจึงเหมาะกับเขามากที่สุด
ในเวลาเดียวกันนั้นโจวมู่ไป๋ก็เคลื่อนไหว ในฐานะผู้ครองิญญาาต้าเผิงขั้นเขียว เขาจึงเลือกรูปปั้นต้าเผิง
ซ่างกวนหงเดินไปหารูปปั้นทวนจันทร์เสี้ยว เขานั้นเรียนวิชาทวนมาั้แ่เด็ก จึงเป็เหตุผลที่เขาเลือกรูปปั้นนี้
แววตาของเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่เผยประกายกระหายเื แต่เหลือบไปมองเย่เฟิงอย่างไม่ตั้งใจ ก่อนจะเหยียดยิ้มอย่างเยือกเย็น จากนั้นเขาเลือกรูปปั้นอสรพิษบุปผา เพราะสัมพันธ์กับิญญาาที่เขาปลุกขึ้น
เฟิงเฉียนก็ไม่รีรอ เขาเดินไปที่ด้านหน้ารูปปั้นมีด
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” ฉินเยียนหรานกล่าวกับเย่เฟิง
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า ตอนนี้จากแปดรูปปั้นเหลือเพียงวานรและหงส์แดง เย่เฟิงจึงเลือกรูปปั้นวานร ในขณะที่ขึ้นบันไดหินมาเจ็ดวัน เย่เฟิงรู้สึกว่าพลังกายได้รับการขัดเกลาเป็อย่างดี กล้ามเนื้อกระดูกเปลี่ยนไปแข็งแรง ร่างกายสมบูรณ์ขึ้น และแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นบ่มเพาะกายาทั่ว ๆ ไปมาก นี่ทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของร่างกายที่แข็งแกร่ง เมื่อครู่นี้เย่เฟิงััถึงความแข็งแกร่งได้จากรูปปั้นวานรนี้ บางทีรูปปั้นนี้อาจช่วยเขาในการขัดเกลาร่างกายก็เป็ได้
ส่วนฉินเยียนหรานเลือกรูปปั้นหงส์แดงที่สัมพันธ์กับทักษะที่นางฝึกฝน อีกอย่างตัวนางยังมีร่องรอยของหงส์แดง ประจวบเหมาะกับที่จะได้เรียนรู้จากรูปปั้นนี้
เป็ไปตามที่หลิวอวิ๋นเจี๋ยกล่าวไว้เช่นนั้น ผู้ที่ขึ้นมาถึงยอดเขามีแปดคน ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนของรูปปั้นพอดีราวกับว่าทุกอย่างถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
“วูบ!” เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้รูปปั้นเพื่อที่จะเรียนรู้ พลันมีแปดหุ่นเชิดมาเยือน ซึ่งจำนวนสอดคล้องกับแปดรูปปั้นพอดี พวกมันมีกลิ่นอายที่น่าหวาดกลัวรายล้อมร่างกาย ตอนนั้นเองพวกมันพุ่งเข้าหาทั้งแปดคนโดยไร้ซึ่งวาจา
“นี่มัน...” ทั้งแปดคนต่างนิ่งงัน แต่เข้าใจได้ทันทีว่าหุ่นเชิดทั้งแปดนี้คือผู้เฝ้าปกป้องแปดรูปปั้น หาก้าเข้าไปใกล้ก็ต้องผ่านด่านหุ่นเชิดไปให้ได้ก่อน
หุ่นเชิดคือชิ้นงานของปรมาจารย์ศัสตราวุธ หล่อหลอมเป็รูปมนุษย์ โดยใช้วัสดุล้ำค่าในการสร้าง ปรมาจารย์ศัสตราวุธก็หาพบได้ยาก หุ่นเชิดจึงมีราคาสูงอย่างมาก ที่อาณาจักรจ้าวก็มีไม่กี่กองกำลังที่หุ่นเชิดเช่นนี้ได้
สำนักยุทธ์เทียนเสวียน ในฐานะที่เป็สำนักยุทธ์ศึกษาชั้นยอดแห่งเมืองหลวง แดนทดสอบย่อมมีหุ่นเชิดและถือว่าเป็เื่ปกติ ซึ่งหุ่นเชิดนั้นไม่มีความคิด แต่พลังโจมตีกลับแกร่งกล้า มีพลังมหาศาล และพลังป้องกันก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน เพียงพริบตาหุ่นเชิดทั้งแปดก็บุกโจมตีทั้งแปดคน
“พวกเราต้องพึ่งตัวเองแล้ว!” ฉินเยียนหรานกล่าวกับเย่เฟิง หุ่นเชิดที่นางเผชิญด้วยอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ตรงกับระดับการบ่มเพาะของนาง
“ระวังตัวด้วย” เย่เฟิงกำชับฉินเยียนหราน จากนั้นเขาก็เบี่ยงตัวหลบการโจมตีของหุ่นเชิดขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7
“เลิกคิดจะฆ่าสวะนั่นเป็การชั่วคราว ให้ตั้งใจกับเื่นี้ก่อน!” เฟิงเฉียนกล่าวขึ้น แน่นอนว่าสวะที่เขาเอ่ยถึงก็คือเย่เฟิง เมื่อเห็นฉินเยียนหรานกับเย่เฟิงใกล้ชิดมากเพียงนี้ เฟิงเฉียนก็ยิ่งอยากฆ่าเย่เฟิงมากขึ้น จากนั้นเขาปล่อยพลังออกไป ก่อนจะโจมตีหุ่นเชิดนั่น
ศึกระหว่างมนุษย์และหุ่นเชิดปะทุขึ้น สถานการณ์ดำเนินไปอย่างดุเดือด หุ่นเชิดที่ทุกคนเผชิญหน้าด้วยล้วนมีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่ากับของตัวเอง ทั้งยังมีพลังโจมตีแกร่งกล้า
“ปัง!!!” เสียงะเิดังสนั่น เห็นว่าฝ่ามือของเฉินอ้าวเทียนโจมตีไปยังส่วนศีรษะของหุ่นเชิด ทำให้ศีรษะของหุ่นเชิดนั้นแตกะเิจนสูญเสียพลังต่อสู้
“แกร่งมาก!” คนอื่น ๆ ที่กำลังต่อสู้ก็เห็นเหตุการณ์ด้านเฉินอ้าวเทียน เฉินอ้าวเทียนล้มหุ่นเชิดขั้นรวมชี่ที่ 6 ภายในไม่กี่กระบวนท่า จากนั้นเฉินอ้าวเทียนเดินไปที่ด้านหน้ารูปปั้นกิเลนและเริ่มเรียนรู้
เงาต้าเผิงปรากฏที่ด้านหลังโจวมู่ไป๋ กรงเล็บของมันพลันตะปบไปที่หน้าอกของหุ่นเชิด ฉีกกระชากหุ่นเชิดเป็ชิ้น ๆ จากนั้นเขาก็เริ่มเรียนรู้ แม้เขาเพิ่งเข้าสำนักยุทธ์ แต่พลังต่อสู้กลับไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกยุทธ์รายนามขั้นบ่มเพาะกายาเลยแม้แต่น้อย
ด้านซ่างกวนหง เขาแผดเสียงคำรามพร้อมแทงทวนจันทร์เสี้ยวไปที่ศีรษะของหุ่นเชิด ต่อจากนั้นเฟิงเฉียน หลิวอวิ๋นเจี๋ย และเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ก็เอาชนะหุ่นเชิดและต่างก็เริ่มเรียนรู้
แม้หุ่นเชิดจะทรงพลัง แต่พวกเขาเหล่านี้ฝ่าด่านคนนับร้อยกว่าจะมาถึงยอดเขาเทียนเสวียนได้ พลังย่อมไม่อ่อนด้อย
“ดูท่าเ้ากับข้าต้องพยายามมากกว่านี้แล้ว!” เย่เฟิงกล่าวกับฉินเยียนหราน เหตุผลที่เขาล่าช้าก็เพราะเสียเวลาไปกับการสังเกตพลังต่อสู้ของผู้อื่น
“แน่นอน” ฉินเยียนหรานพยักหน้า เคล็ดวิชาฝ่ามือของนางประหนึ่งเทพหงส์แดง ทั้งแม่นยำและว่องไว เมื่อเอาชนะหุ่นเชิดนั่นได้ นางก็เริ่มเรียนรู้ทันที
“วูบ!” ขณะเดียวกันรังสีหอกทะลวงร่างหุ่นเชิดที่อยู่ตรงหน้าเย่เฟิง จากนั้นเขาเดินไปที่ด้านหน้ารูปปั้นวานรขนาดใหญ่นั่นราวกับว่ามีบางอย่างลอยผ่านร่างเขา ก่อนจะแทรกซึมสู่ร่างเขา จากนั้นก็เข้าสู่ภาวะว่างเปล่า เหมือนเข้ามายังอีกมิติหนึ่ง
ภายในที่แห่งนี้ว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิต แต่มีแสงจากดวงดาวบนท้องฟ้า สาดส่องมายังพื้นโลก เย่เฟิงที่ยืนอยู่ท่ามกลางมิตินี้ก็มองไปรอบ ๆ แต่กลับไม่พบสิ่งใด จากนั้นเขาไขว้ขานั่งขัดสมาธิ เข้าสู่สภาวะบ่มเพาะพลัง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน จู่ ๆ พื้นดินสั่นไหวขึ้นมาพร้อมกับเสียงดังที่น่ากลัว เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ส่วนเย่เฟิงก็รับรู้ได้ถึงแรงสั่นะเืที่รุนแรงนั่นได้
เย่เฟิงลืมตาพร้อมลุกขึ้นยืน ก่อนจะมองไปทางต้นเสียง เห็นว่ามีเงาร่างวานรั์วิ่งมาทางด้านนี้ ร่างกายขนาดใหญ่ั์ของมันอัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล เท้าของมันที่เหยียบพื้นโลกก็พลอยทำให้ฟ้าดินสั่นไหวไปด้วย
“สัตว์อสูร!” เย่เฟิงอุทานด้วยความใ ในความทรงจำของเขาดูเหมือนจะไม่เคยเจอสัตว์อสูรที่มีลมปราณมหาศาลเท่านี้มาก่อน
“สัตว์อสูรวานรตนนี้อยู่ระดับไหนกันนะ?” เย่เฟิงคิดในใจ แต่ก็ยังไม่เคลื่อนไหว เขารู้ว่าถ้าสัตว์อสูรวานร้าทำร้ายเขา เขาอาจไม่มีเวลาปล่อยพลังเข้าต่อต้านได้ทัน แต่จะถูกอีกฝ่ายบดขยี้เป็ชิ้น ๆ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดหนี เพียงมองวานรั์นั่นวิ่งเข้ามาหาเขาเงียบ ๆ
“ครืน!!!” พื้นดินสั่นไหวไม่หยุด ไม่นานวานรั์ก็มาเยือนที่เบื้องหน้าเย่เฟิง พร้อมปล่อยพลังอสูรออกมาทันที
เย่เฟิงดูตัวเล็กลงทันทีเมื่อเผชิญหน้ากับวานรั์ ราวกับว่ากำปั้นของวานรั์สามารถขยี้ร่างเย่เฟิงได้อย่างง่ายดาย เย่เฟิงนั้นไม่คิดว่าจะมีสัตว์อสูรที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเทียนเสวียน
“ไอ้หนู เ้าช่างใจกล้ายิ่งนักที่ไม่หลบข้า ไม่กลัวข้าจะฆ่าเ้าหรือ?” วานรั์หยุดชะงักและเชิดหน้ามองเย่เฟิง แม้ปากจะไม่ขยับเขยื้อน แต่เสียงนั่นกลับดังกังวานราวกับโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า
เย่เฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง วานรั์ตนนี้ไม่เพียงมีพละกำลังแกร่งกล้า แต่ยังสามารถใช้พลังจิตสื่อสารกับเขาได้ แม้แต่สัตว์อสูรเ่าั้ที่เย่เฟิงเจอก่อนหน้านี้ก็ยังเทียบไม่ติด ดูท่าพลังของวานรั์ตนนี้จะน่าหวาดกลัวเกินกว่าความคิดของเย่เฟิงมาก
“ข้ามิเคยล่วงเกินผู้าุโ เหตุใดท่านต้องฆ่าข้า? แน่นอนว่าถ้าผู้าุโอยากฆ่าก็ย่อมทำได้ง่าย ผู้เยาว์ไม่มีอะไรจะพูด” เย่เฟิงใช้พลังจิตสื่อสารกับวานรั์
“หากข้าอยากฆ่าเ้า ไยต้องมีเหตุผล?” เสียงของวานรั์แข็งกร้าว พร้อมกับมีพลังมหาศาลปะทุออกจากร่าง
“ผู้าุโอยากฆ่าคนก็ไม่จำเป็ต้องมีเหตุผล หากไม่มีเหตุผล เช่นนั้นก็เป็เพราะผู้าุโแข็งแกร่ง ส่วนข้าอ่อนแอ ท่านสามารถฆ่าได้ทุกเมื่อ แต่กลับกันถ้าข้าแข็งแกร่ง ท่านจะต้องก้มหัวให้ข้า!” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็น แม้อีกฝ่ายสามารถฆ่าเขาได้ง่ายดาย แต่เขาก็ไม่ยอมศิโรราบและก็ไม่มีคำว่าศิโรราบอยู่ในพจนานุกรมของเขา
“ไอ้หนู คนที่กล้าพูดจาเช่นนี้ต่อหน้าข้ามีไม่มาก ถึงข้าไม่ฆ่าเ้า แต่เ้าอยากประสบความสำเร็จและออกจากที่นี่ ก็ต้องพึ่งพาตัวเอง หากล้มเหลวก็มีแต่ความตายที่รออยู่!”
วานรั์รู้สึกโกรธทันทีที่ได้ยินคำพูดเฉียบคมของเย่เฟิง พร้อมกับมีเพลิงพิโรธปะทุออกจากร่าง แต่มันกลับไม่ลงมือทำร้ายเย่เฟิง จากนั้นวานรั์โยนคัมภีร์เก่า ๆ เล่มหนึ่งไปให้เย่เฟิงพร้อมกล่าวว่า “นี่คือทักษะบ่มเพาะพลัง ข้าจะให้เวลาเ้าหนึ่งวัน โดยเ้าจะต้องฝึกทักษะขั้นที่หนึ่งของคัมภีร์เล่มนี้ให้สำเร็จ ถึงเวลานั้นข้าจะมาอีกครั้งเพื่อทดสอบพลังของเ้า หากทำให้ข้าพึงพอใจก็จะถือว่าผ่าน แต่หากไม่ เ้าต้องตาย!”
“นี่...” ทันทีที่สิ้นเสียงวานรั์ก็หายตัวไป โดยที่ไม่รอให้เย่เฟิงพูดสิ่งใด ราวกับว่าวานรั์ไม่เคยมาปรากฏตัวที่นี่
“บัดซบ สัตว์อสูรเฒ่านี่วางแผนจะทำอะไร? ให้ข้าฝึกทักษะขั้นที่หนึ่งของคัมภีร์เล่มนี้ให้สำเร็จภายในหนึ่งวัน แต่ถ้าข้าล้มเหลวก็ต้องตาย กฎบ้าบออะไรเนี่ย?” เย่เฟิงก่นด่าด้วยความโมโห แต่วานรั์ตนนั้นออกไปแล้ว และที่ว่างเปล่าแห่งนี้ก็ไม่มีใครมาสนใจเขา
หลังจากระบายอารมณ์ เย่เฟิงก็สงบจิตสงบใจ จากนั้นไขว้ขานั่งขัดสมาธิ เริ่มศึกษาคัมภีร์ที่วานรั์ให้ตนมา ซึ่งคัมภีร์นี้มีชื่อว่า ‘ทักษะหล่อิญญา’ เป็เคล็ดวิชาบ่มเพาะร่างกายประเภทหนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้