ตงฟางซวี่ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงข้างโต๊ะที่อวิ๋นซูเรียงขวดยาไว้เต็มไปหมด “อวิ๋นเฟิง เ้ามีความผิดอะไรหรือ”
ตอนนี้พวกเขารู้ว่ารัชทายาทพบเงื่อนงำแล้ว เฟิ่งอวี่มีท่าทางอ่อนลง ตนเองนั้นไม่เห็นด้วยกับวีธีการของจวนชางหรงโหว แต่นั่นเป็เื่ของพวกเขา คนนอกไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่หากรัชทายาททรงสอบถามตนโดยตรง ก็อาจจะไม่กระอักกระอ่วนเช่นตอนนี้
ไม่นึกเลยว่าจวนชางหรงโหวจะปฏิบัติต่อลูกอนุภรรยาเช่นนี้ เหตุใดบุตรีมีความสามารถเช่นคุณหนูหกจึงได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้
ตอนนี้เหลยซื่อสองแม่ลูกยืนอยู่นอกห้อง แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ดูเหมือนไม่ค่อยปกตินัก แต่ก็ไม่กล้าเดินปราดเข้าไปในห้อง
“กระหม่อมไม่ควรหลอกลวงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วอวิ๋นเฟิงก้มหน้าลงทว่ากลับมีมือคู่หนึ่งยื่นมาประคองเขาขึ้นจากพื้น “เ้าหลอกลวงอะไรข้าหรือ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”
หากกล่าวตามจริง ตงฟางซวี่ไม่ได้ถามพวกเขาโดยตรงว่าใครเป็ผู้ที่ช่วยรักษาตน เพียงแต่เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาก็ทราบเพียงว่าเป็คุณหนูรองที่ดูแลเขาทั้งคืน ไม่มีผู้ใดเคยพูดว่าใครเป็คนรักษาแผลนี้ ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็การหลอกลวง
หลิ่วอวิ๋นเฟิงจะรู้ได้อย่างไรว่ารัชทายาทมีเจตนาไม่สืบสวนเื่นี้ หรือรัชทายาทจะไม่ทราบถึงอุบายของมารดาของตน
“พี่ใหญ่ หากฝ่าา้าลงโทษ ก็ควรจะลงโทษข้าถึงจะถูกต้องเ้าค่ะ”
ตอนนี้เอง สตรีที่เงียบมาตลอดเปิดปากกล่าวออกมา ทุกคนมองไปยังอวิ๋นซูอย่างประหลาดใจ
“พระวรกายของฝ่าาล้ำค่ายิ่งนัก หม่อมฉันไม่ประมาณตน ขอฝ่าาโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ เดิมทีควรจะต้องตามหมอหลวงมาตรวจ แต่ยามนั้นสถานการณ์คับขัน จึงจำเป็ต้องตัดสินใจเช่นนี้ ยังดีที่ฝ่าาทรงมีพระวรกายแข็งแรง อาการาเ็จึงดีขึ้น หม่อมฉันกลัวว่าจะถูกฝ่าาลงโทษ จึงคิดขอร้องให้พี่ใหญ่อย่าบอกเื่นี้กับพระองค์เพคะ”
อวิ๋นซูกล่าวเช่นนี้นับเป็การนำความผิดทั้งหมดมากองไว้บนร่างของตน ทุกคนอดไม่ได้ที่จะนำนางไปเปรียบเทียบกับหลิ่วอวิ๋นฮว๋า เป็คุณหนูแห่งจวนโหวเช่นเดียวกันแท้ๆ เหตุใดจึงได้ต่างกันมากมายเช่นนี้ คนหนึ่งพยายามแย่งชิงความดีความชอบมาเป็ของตน คนหนึ่งอ่อนน้อมถ่อมตนตลอดเวลา
หลิ่วอวิ๋นเฟิงไม่คิดว่าอวิ๋นซูจะช่วยพูดให้เขา ตนเองทำเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรมกันนางเลยจริงๆ แต่นางก็ยังใจกว้างถึงเพียงนี้ ทำให้ในใจของเขารู้สึกอับอาย
ตงฟางซวี่พลันรู้สึกดีกับสตรีตรงหน้า ตนเองมีความสามารถอยู่กับตัวแต่ไม่แสดงตน หาได้ยากยิ่ง
“คนของจวนชางหรงโหวมีความสามารถ คุณหนูหกช่วยข้าไว้ จะมีความผิดได้อย่างไร” เขายื่นมือออกไปตบไหล่หลิ่วอวิ๋นเฟิง คำพูดนี้มีความหมายลึกล้ำ และมีเพียงตัวเขาเองที่รู้
เฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ มองแววตาของตงฟางซวี่ ความร้อนรนในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่ไหนแต่ไรมีแต่เขาที่เห็นความพิเศษของนาง ทว่าตอนนี้...
“ท่านแม่ ตอนนี้รัชทายาททรงทราบแล้วว่าเป็อวิ๋นซูที่ช่วยพระองค์...” เหลยซื่อที่อยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากระวนกระวายจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
“แล้วอย่างไรเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง ท่าทางไม่สนใจไยดี “เ้ากำลังตำหนิว่าข้าไม่ควรพาอวิ๋นซูมาด้วยงั้นหรือ”
“...ไม่ ไม่ใช่เ้าค่ะ เพียงแต่...วันหน้าอวิ๋นฮว๋าจะทำอย่างไรดีเ้าคะ” เกรงว่ารัชทายาทจะจำเพียงบุญคุณที่อวิ๋นซูช่วยชีวิต ไม่ใช่อวิ๋นฮว๋าที่ดูแลเขาทั้งคืน
“ทำอย่างไรหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเบนสายตาขึ้นช้าๆ แววตานั้นทำให้เหลยซื่อตกตะลึง ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่าผู้หยินผู้เฒ่าไม่พอใจตนเองเป็อย่างมาก จึงไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ
ภายในห้อง
หลิ่วอวิ๋นเฟิงกลับมาด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่กลับพบว่ากับท่านแม่และน้องรองนั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“ท่านแม่ขอรับ น้องรอง พวกเ้า...”
“รัชทายาททรงกล่าวอะไรบ้าง” เหลยซื่อเปิดปากถามด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
“ฝ่าาทรงมีจิตใจกว้างขวาง ไม่ได้ตำหนิพวกเราขอรับ”
“พระองค์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นหรือ”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงประหลาดใจ “เด็กไหนขอรับ”
“ยังจะมีใครอีก นังตัวโชคร้ายนั่นอย่างไร” เหลยซื่อตบโต๊ะ ท่าทางโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั้นทำให้หลิ่วอวิ๋นเฟิงใ
เขาไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของมารดามาก่อน เขาไปจากจวนโหวหลายปีแล้ว ในความทรงจำของเขา นางเป็สตรีที่มีจิตใจงดงามกว้างขวางคนหนึ่ง ทั้งยังปฏิบัติต่อเหล่าบุตรีและบุตรชายของอนุภรรยาในจวนโหวด้วยความเมตตา
ยามนี้สตรีตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกหน้า ท่าทีของเขาจึงอ่อนลง ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เหลยซื่อเห็นท่าทีแปลกไปของบุตรชาย จึงได้รู้ว่าตนเองเสียกิริยาไปแล้ว นางมิอาจให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกต้องพังลงเพราะตัวโชคร้ายผู้นั้นได้
นางสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง “รัชทายาททรงกล่าวถึงน้องรองของเ้าหรือไม่”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองไปยังอวิ๋นฮว๋าครู่หนึ่ง ความเงียบทำให้พวกนางเดาคำตอบได้
“พี่ใหญ่เ้าคะ คุณชาย...คุณชายสามของจวนชางติ้งโหวผู้นั้น...ก็มาด้วยใช่หรือไม่เ้าคะ”
“อืม คนที่สวมชุดขาวก็คือคุณชายสาม”
ใบหน้างดงามเป็เอกมิอาจสลัดออกไปจากความคิดของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าได้เลย เหลยซื่อมองท่าทีเช่นนี้ของบุตรี พลันต้องถอนใจ “อวิ๋นฮว๋า คุณชายสามจะมาหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเื่ของเ้า”
หรือบุตรีของตนยังมิได้ตัดสินใจ หากแต่งให้กับถังยาผู้นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอนาคตอะไรแล้ว หลิ่วอวิ๋นฮว๋าพลันก้มหน้าลง
“บิดาของเ้าจะกลับมาเมื่อไร”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงคิดครู่หนึ่ง “อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็จะกลับมาจากชายแดนแล้วขอรับ”
“แล้วน้องสามของเ้าเล่า”
“เขาอยู่ข้างกายท่านพ่อได้รับความลำบากไม่น้อย เชื่อว่าเขาจะกลับมาโดยเร็วที่สุด” เมื่อคิดถึงน้องสามคนนี้ หลิ่วอวิ๋นเฟิงจึงยิ้มออกมาอย่างจนใจ
เหลยซื่อสูดหายใจลึก “อวิ๋นเฟิง เ้าต้องพูดเื่ดีของน้องรองเ้าต่อหน้ารัชทายาทให้มากเสียหน่อย แล้วถามเื่วันคัดเลือกพระสนมอีกสักครั้ง”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองอวิ๋นฮว๋าอย่างลึกล้ำ ส่งเสียงตอบรับไปอย่างเรียบเฉย
เช้าตรู่วันต่อมา อวิ๋นซูถูกดรุณีน้อยข้างกายปลุกให้ตื่น เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นดรุณีน้อยที่กอดตนแน่นราวกับหมีโคอาล่า นางยื่นมือออกไปเคลื่อนย้ายมือและเท้าของนางออกเบามือ แล้วลงจากเตียงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
ั้แ่เมื่อวานเฟิ่งหลิงก็ยิ่งติดนางมากขึ้น จู่ๆ นางก็รู้สึกว่านิสัยของสตรีน้อยผู้นี้กับหลิ่วเฉิงซีมีความคล้ายกันอยู่บ้าง หากพวกเขาได้รู้จักกัน อาจจะกลายเป็เพื่อนสนิทกันก็เป็ได้
เปิดหน้าต่างออก ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าพากลิ่นดอกอวี้หลาน1 โชยมาจางๆ อวิ๋นซูก้มลงมองพบว่าตรงขอบหน้าต่างมีดอกอวี้หลานวางอยู่สองกิ่ง
ใครเอามาวางไว้ตรงนี้กัน นางยื่นมือไปหยิบดอกไม้น่ารักสองดอกจ่อบริเวณจมูกแล้วสูดดมเข้าไป ภาพที่ดูสงบเงียบนี้ตกอยู่ในสายตาอันลึกล้ำคู่หนึ่งในเงามืด พลันกลายเป็ความอ่อนโยน
“พี่ซูเ้าคะ ท่านตื่นแล้ว”
เสียงที่ฟังดูี้เีของเฟิ่งหลิงดังขึ้นจากด้านหลัง นางบิดี้เี ยิ้มกริ่มมองสตรีข้างหน้าต่าง
“อืม ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
ดรุณีน้อยขยับข้อเท้าของตน “ไม่เจ็บแล้ว ต่อไปนี้หากว่าข้าาเ็ ข้าจะใช้แต่ยาของพี่ซู”
ปากพล่อยจริง เหตุใดจึงคิดว่าวันหน้าจะาเ็อีกเล่า
“ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะออกไปเก็บสมุนไพรเสียหน่อย คุณหนูเจ็ดนอกต่ออีกสักครู่เถิด”
เฟิ่งหลิงพลันรู้สึกขัดหู “พี่ซู เรียกข้าว่าหลิงเอ๋อร์ดีหรือไม่ พี่สามก็เรียกข้าเช่นนี้”
“...หลิงเอ๋อร์”
“ดี หลิงเอ๋อร์จะนอนอีกสักครู่” ดรุณีน้อยห่มผ้าห่มแล้วแอบยิ้มราวกับได้กินน้ำผึ้งหวานก็มิปาน
เมื่อเดินผ่านหน้าเรือนรัชทายาทก็พบกับสตรีผู้หนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าไม่น่าดูนัก
ดวงตาของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าดูอิดโรย ขอบตาก็ดำคล้ำ ดูเหมือนจะเกิดจากการที่เมื่อคืนนอนหลับไม่สบาย เมื่อนางเห็นอวิ๋นซูก็พลันหยุดเดินรอให้อวิ๋นซูเดินเข้ามาใกล้ นางรู้สึกยากที่จะระงับอารมณ์ จึงเปิดเผยความเกลียดชังและความโกรธออกมา
อย่างไรก็ตาม สตรีตรงหน้ากลับเดินเลี้ยวไปยังอีกทางหนึ่ง
“หยุดนะ”
อวิ๋นซูหยุดลงเล็กน้อย หันมามองใบหน้าอันโกรธเคืองอย่างสงบ “ท่านพี่มีอะไรหรือเ้าคะ”
รู้ทั้งรู้ยังจะแกล้งถามอีก นางทนดูไม่ไหวแล้ว เด็กคนนี้ปกติมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่กลับชอบะโมาทำให้เื่ดีๆ ของนางกลายเป็แย่ หน้าไหว้หลังหลอก “อย่าคิดว่าฝ่าารู้ว่าเ้าช่วยพระองค์ แล้วเ้าจะได้ติดปีกกลายเป็หงส์เล่า อย่าลืมว่าข้าเป็บุตรีภรรยาเอกแห่งจวนโหว ส่วนเ้าเป็ลูกอนุที่ไม่มีอะไรเลย เป็แค่ตัวโชคร้ายที่ทุกคนทอดทิ้ง”
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าด่ากราด ราวกับ้าเห็นอารมณ์อื่นบนใบหน้าของอวิ๋นซู ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้ฟังจบแล้วจะตอบกลับมาอย่างเรียบง่ายประโยคหนึ่ง “ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง”
“เ้า...เ้า...”
“ฝ่าาคงใกล้ตื่นบรรทมแล้ว ท่านพี่ไม่ไปหรือเ้าคะ”
คำพูดที่ดูราวกับไม่ใส่ใจของอวิ๋นซูทิ่มแทงใจของหลิ่วอวิ๋นฮว๋า ั้แ่รัชทายาททรงทราบความจริงก็ปฏิเสธการดูแลของนางอย่างสุภาพ หรือการที่นางอยู่เป็เพื่อนสองวันนี้ยังมิอาจดึงดูดใจของฝ่าาได้ จะต้องเป็นังนี่แน่นอน เป็นางที่วางแผนอะไรอยู่แน่
อวิ๋นซูเดินตรงไปในป่า ไม่สนใจนางอีก
นางย่อมไม่อาจบอกผู้อื่นได้ว่า ความจริงนางตั้งใจให้รัชทายาทรู้ว่าตนเป็ผู้ที่ช่วยเขาคนนั้น หาก้าจะปิดบังก็มีวิธีการมากมาย แต่นางกลับช่วยคนต่อหน้ารัชทายาท
ไท่จื่อเฟยหรือ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นาง้า เป้าหมายของนางมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของตนคืนมาจากผู้สูงศักดิ์สองคนนั่น หากไม่พึ่งโชคของหลิ่วอวิ๋นฮว๋า โอกาสนี้จะได้มาอย่างไรกัน
บุรุษผู้อยู่ในเงามืดเห็นทั้งหมด สายตาเ็ามองไปยังหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่เดินกระฟัดกระเฟียดไปอย่างโกรธแค้น หรือว่าอวิ๋นซูจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาตลอด คำว่าตัวโชคร้ายนั่นหมายความว่าอย่างไร
ไม่นานก็ต้องไปแล้ว เมื่อคิดว่าจะไม่สามารถเห็นใบหน้างดงามสงบนิ่งนั้นได้บ่อยๆ ใจของเฟิ่งหลิงก็รู้สึดโดดเดี่ยว
อวิ๋นซูที่นั่งยองอยู่กับพื้นรู้สึกราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ตนเอง นางยืนขึ้นหันมองไปก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณไม่ไกล
ในดวงตาของเขาฉายแววแแปลกประหลาด เพียงพริบตาเดียวเฟิ่งหลิงก็มาถึงเบื้องหน้านางแล้ว
“คุณหนูหก ข้ามาบอกลาเ้า”
บอกลา
“รถม้ามารออยู่ที่ตีนเขาแล้ว หลิงเอ๋อร์ไม่ยอมไป เมื่อครู่จึงถูกน้องสี่ของข้าบังคับอุ้มเอาตัวไปแล้ว เพียงแต่ไม่ระวังจึงทำให้ผ้าคลุมเตียงของคุณหนูหกขาด”
“...” อวิ๋นซูจินตนาการได้ถึงภาพอันคึกคักวุ่นวาย ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฟิ่งหลิงมองใบหน้าที่มีอยู่จริงทว่าดูห่างไกลตรงหน้า เนิ่นนานกว่าจะเปิดปากกล่าว “คุณหนูหกรังเกียจข้าหรือ?” มิฉะนั้นเหตุใดตนเองจึงมักจะรู้สึกได้ถึงความห่างเหินจากสายตาของนาง
อวิ๋นซูประหลาดใจ ความรู้สึกของบุรุษผู้นี้ว่องไวเฉียบคมเช่นนี้เชียว หากจะกล่าวว่ารังเกียจ มิสู้กล่าวว่านางรู้สึกกีดกันบุรุษที่มีหน้าตาโดดเด่นทุกคนจะดีกว่า
ไม่รอนางตอบ เฟิ่งหลิงก็ยกยิ้มที่น่าหลงใหล “แต่จะอย่างไร พวกเราจะได้เจอกันอีกในเร็ววันนี้”
“...”
************************
คำอธิบายเพิ่มเติม
1 ดอกอวี้หลาน คือดอกแมดโนเลีย (ดอกจำปี)