คำถามของบิดาตนกระแทกเข้าหัวของหลิวฉินอย่างจัง ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงเพราะไม่ทันตั้งตัว เผลออีกทีก็ยืนอยู่ห่างผู้เป็พ่อไปแล้วกว่าสามฉื่อ [1] “ท่านเอาความคิดไร้สาระเช่นนั้นมาจากที่ใด?”
ยิ่งเห็นบุตรชายปฏิเสธเถ้าแก่หลิวยิ่งกังวล แต่เมื่อหลิวฉินไม่อยากพูดถึงเื่นี้เขาก็ไม่คิดจะเซ้าซี้อีก
“ท่านพ่อ ท่านอย่าคิดพูดเื่นี้อีก อายุปูนนี้แล้วยังชอบซุบซิบเื่เช่นนี้ได้อย่างไร…” หลิวฉินแสร้งทำเป็ดุบิดาแท้ๆ เพื่อปกปิดความคิดที่แท้จริงของตน
“เข้าใจแล้ว เ้ากลับไปพักผ่อนในสวนไม่ก็ทำธุระของเ้าให้เสร็จเสีย ข้ามีงานต้องทำอีกเยอะ!” เถ้าแก่หลิวเหนื่อยใจจะคุยกับบุตรชายต่อไป เขายัดสมุดบัญชีเล่มใหม่ไว้ในมือชายหนุ่ม “หากไม่มีอะไรทำก็ลองดูรายได้ที่เ้าหามาวันนี้ ข้าให้ฟู่อินสามสิบอีแปะต่อจิน แล้วเอาไปขายต่อให้คนพวกนั้นแปดสิบอีแปะต่อจิน รวมแล้วเกือบพันตำลึงเงิน!”
หลิวฉินเดินลงไปชั้นล่างด้วยใจว้าวุ่น
ถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกของหลินฟู่อินทำให้เขาได้เงินเกือบพันตำลึงเงินในวันเดียวเชียวหรือ?
ไม่แปลกใจที่ท่านพ่อจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ จากคนเคยตำหนิเื่การทำหุ้นส่วนกับหลินฟู่อินกลายเป็พร้อมหนุนหลังนางเต็มตัว…
หลิวฉินเองก็เป็คนหน้าเงินพอตัว เมื่อกลับไปถึงห้องเขาจึงนั่งอ่านสมุดบัญชีเล่มใหม่อย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งเห็นจำนวนเงินก็ยิ่งตื่นเต้นเข้าไปใหญ่ ชายหนุ่มวางแผนที่จะแวะไปร้านค้าของหลินฟู่อินในวันรุ่งขึ้นเพื่อสำรวจเสียหน่อย
ด้านหลินฟู่อินที่หอบเงินกว่าห้าร้อยตำลึงเงินกลับบ้าน ทันทีที่นางเปิดประตูก็สังเกตเห็นหวงฝู่จินยืนอยู่ใต้ต้นสนเก่าแก่ในลานบ้าน ชายหนุ่มเอามือไพล่หลังไว้ข้างหนึ่ง ใบหน้าเคร่งขรึมยากเกินกว่าจะเดาความคิดได้
เขาได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันหน้ามามองหลินฟู่อิน เด็กสาวมั่นใจว่านางเห็นเขายิ้มกว้าง แต่เมื่อมองดูดีๆ อีกครั้ง ใบหน้าหล่อเหลานั้นกลับไร้อารมณ์เช่นเดิม
“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้พักผ่อนให้ดี ท่านแค่นอนอยู่เฉยๆ เท่านั้น หากลุกขึ้นมาแล้วเป็ลมล้มพับไปจะทำอย่างไรเล่า?” จรรยาบรรณของหลินฟู่อินสอนให้เตือนด้วยความหวังดีหากคนไข้ไม่ยอมดูแลรักษาตัวเองในเบื้องต้น
ยิ่งไปกว่านั้น หัวใจของนางยังคงเต็มไปด้วยความโกรธ
หวงฝู่จินกระตุกริมฝีปากก่อนก้าวเข้ามาหาหลินฟู่อินช้าๆ เขายืนเผชิญหน้าพร้อมส่งสายตาอ่อนโยน “กลับมาแล้วหรือ? ่นี้ยุ่งมากเลยใช่หรือไม่?”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายใช้น้ำเสียงอ่อนโยนพูดด้วย อารมณ์โมโหของนางก็ค่อยๆ ลดลง
หลินฟู่อินพยักหน้ารับขณะก้าวเท้าเดินเข้าห้อง “ใช่แล้ว ถั่วปากอ้าสดกับถั่วงอกของข้าเพิ่งเริ่มส่งขาย่นี้ แต่ทุกอย่างจะดีขึ้นหากหลิวฉินกลับมา”
ดวงตาที่เคยอ่อนโยนของหวงฝู่จินตวัดเปลี่ยนเป็เฉียบคมดุจเหยี่ยวทันทีที่ได้ยินชื่อของหลิวฉิน หลินฟู่อินััได้ถึงลมหายใจใกล้ชิด
เมื่อเงยหน้าขึ้นนางก็พบใบหน้าอันหล่อเหลาของหวงฝู่จิน
ทว่าสีหน้านั้นนิ่งเรียบ แววตาไร้แววสั่นไหวใดๆ
หลินฟู่อินกะพริบตาอย่างประหลาดใจก่อนพูดขึ้นว่า “ข้าเริ่มี้เีขึ้นมาแล้วตอนนี้ หากทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง ข้าจะหาคนมารับ่ต่อแทน ข้าี้เีเกินไปแล้ว”
เมื่อหวงฝู่จินได้ยินคำบ่นของอีกฝ่ายหัวใจของเขาก็เริ่มสูบฉีดอีกครั้ง
การค้าขายของหลินฟู่อินคล้ายกับวิธีการค้าขายของเขาไม่น้อย น่าสนใจจริงเชียว!
หวงฝู่จินเดินตามหลินฟู่อินเข้าห้อง “เ้าต้องฉลาดทำมาหากินเช่นนี้ เ้าแค่คุมคนให้ดีก็พอ”
หลินฟู่อินรู้สึกว่าไหนๆ ก็พูดถึงเื่นี้แล้ว นางจึงเริ่มพูดถึงการขายถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกล่าสุด
หวงฝู่จินเองยังต้องอาศัยประสบการณ์ของนางเป็แบบอย่าง เพราะตวนมูเฉิงเริ่มเก็บเกี่ยวถั่วตากแห้งกันแล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้เริ่มส่งขายกัน
สาเหตุหลักเป็เพราะตวนมู่เฉิงมีกำลังคนไม่เพียงพอ ยิ่งคนที่มีหัวด้านค้าขายยิ่งไม่มี
คนเป่ยหรงส่วนใหญ่เก่งด้านต่อสู้และลอบสังหาร มีเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจใช้มันสมองของพวกเขาเพื่อทำมาค้าขาย
เื่นี้คือสิ่งที่ทำให้หวงฝู่จินคิดไม่ตก หากเป็ตัวเขาในอดีตคงไม่มานั่งคิดมากในเื่เช่นนี้ ทว่าตอนนี้ใครเล่าทำให้เขาขัดสน?
หวงฝู่จินโยนปัญหากวนใจส่วนตัวไปยังหลินฟู่อิน เด็กสาวได้ยินเื่เล่าของชายหนุ่มก็รู้สึกอับจนหนทางเช่นกัน
ปัญหาคือเขามีกิจการเล็กๆ ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว แต่ยังกังวลเื่หาคู่คิดหัวธุรกิจมาร่วมงานเท่านั้น?
หลินฟู่อินกลอกตากลบเกลื่อนสิ่งที่คิดในใจ “สำหรับการค้าขายถั่วปากอ้าสดกับถั่วงอก ท่านต้องเตรียมเพียงสี่ขั้นตอนเท่านั้น หนึ่งคือวัตถุดิบ เื่นี้ไม่ใช่ปัญหาตราบใดที่ท่านมีเงิน ท่านก็หาซื้อมาเก็บไว้ได้ สองคือเตรียมสถานที่ขนาดใหญ่และกว้างให้พร้อม นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับท่านเช่นกัน สามคือเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็ อย่างพวกถังไม้ หม้อดินเผา สิ่งสำคัญคือต้องมีขนาดใหญ่ เื่นี้ข้าก็ไม่คิดว่าจะเป็ปัญหาสำหรับท่านเช่นกัน สุดท้ายคือเื่ที่ง่ายมาก ท่านแค่ต้องจัดหาชาวบ้านยากจนมาทำงานให้ท่าน”
ง่ายดายแค่นี้ ไยจึงต้องเสาะหาผู้มีพร์ด้านการค้าขายให้ยุ่งยาก?
“หากท่าน้าผู้มีพร์ ท่านก็ควรหาคนที่ฉลาดปราดเปรื่อง และไว้ใจขนาดที่ท่านสามารถปล่อยให้คนผู้นั้นจัดการคนที่ร่วมงานด้วยได้” คำแนะนำของหลินฟู่อินแสดงให้เห็นว่าเป็คนใจเย็นและมีความมั่นใจสูง
หวงฝู่จินรู้สึกว่าเขาไม่สามารถละสายตาจากเด็กสาวคนนี้ไปได้เลย
หลินฟู่อินไม่รู้ว่าตัวเองสะกดสายคนอื่นได้ถึงเพียงนั้น นางยกมือขึ้นแตะหน้าผากของชายหนุ่มแล้วพูดว่า “อ้อ ข้าเกือบลืมไปเลย! หากท่านอยากหาคนติดต่อทำสัญญาค้าขาย ท่านต้องหาคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง อย่างท่านตวนมู่นั้นทำได้แน่นอน แต่ถ้าให้เขารับเื่ทั้งหมดไว้คนเดียวคงไม่ไหว”
หวงฝู่จินพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม หลินฟู่อินเคยพูดถึงเื่นี้แล้วแต่เขายังไม่เข้าใจเกี่ยวกับมัน
ตอนนี้เด็กสาวอธิบายทุกอย่างชัดเจนแล้ว เขาจึงรู้แจ้งทุกอย่าง
หวงฝู่จินจดจำคำพูดของหลินฟู่อินเตรียมมอบหมายงานให้ตวนมู่เฉิง แม้ตวนมู่เฉิงจะถูกฝากฝังให้มาอยู่กับเขาโดยคนที่เขาไม่อยากพูดถึง แต่หวงฝู่จินเชื่อว่าตวนมู่เฉิงไม่มีวันทรยศเขาอย่างแน่นอน
หวงฝู่จิน… บางครั้งข้าก็อยากถามว่าตัวตนที่แท้จริงของท่านคือใคร ท่านคิดจะทำอะไร เงินหลายหมื่นตำลึงเงินจากชาดหิมะหลอมวันนั้นไม่เพียงพอเลี้ยงปากเลี้ยงท้องของท่านอย่างนั้นหรือ…
นี่คือสิ่งที่หลินฟู่อินทำได้เพียงเอ่ยถามในใจ ความลับบางอย่างหากมีผู้ล่วงรู้แล้วอาจถึงตายได้
หวงฝู่จินที่ได้เคล็ดลับการทำธุรกิจจากหลินฟู่อิน รีบกลับไปยังห้องของตนเพื่อจดบันทึกเื่สำคัญทั้งหมดเป็ลายลักษณ์อักษร
หลินฟู่อินไปยังครัวเพื่อแช่ผักที่นางซื้อมาเมื่อวานให้สดใหม่เหมือนเดิม
หลังจากล้างจานเสร็จเรียบร้อย นางก็ลงมือเคี่ยวน้ำแกงกระดูกและหัวไชเท้า จากนั้นจึงเริ่มหุงข้าวตามด้วยผัดเครื่องเคียงอีกสองสามจาน
หลังหวงฝู่จินม้วนกระดาษใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ผูกติดไปกับขานกพิราบ เป็จังหวะเดียวกับที่หลินฟู่อินเข้ามาเรียกเขาไปรับประทานมื้อกลางวันพอดี
ชายหนุ่มเลิกคิ้วขณะดวงตากระตุกยิ้ม ใครๆ ก็รู้ว่าฝีมือทำอาหารของเด็กสาวคนนี้ยอดเยี่ยมขนาดไหน
กลายเป็ว่าหวงฝู่จินไม่ออกไปเถลไถลนอกบ้านหลินฟู่อินอีกเลย
นับเป็ภาพหายากที่ไม่เห็นเหล่าลิ่วและตวนมู่เฉิงอยู่ข้างกายหวงฝู่จิน แต่พวกเขาก็ยังเข้ากันได้ดีจนน่าประหลาดใจ
หลายวันที่ผ่านมาหลินฟู่อินกลับมานอนที่บ้านใหม่ของนางตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็แวะกลับหมู่บ้านหูลู่เพื่อดูแลเด็กๆ ทั้งสอง
หวงฝู่จินไม่คิดแกล้งหลินฟู่อินแล้ว่นี้ อาจเป็เพราะเด็กสาวตั้งใจดูแลเขาเป็อย่างดี
อย่างตอนที่เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า เขามักจะไปยืนพิงประตูมองหลินฟู่อินซักผ้าให้เขา ไม่รู้ว่าเหตุใดเวลาเขาเห็นนางพยายามซักเสื้อของเขาให้สะอาดดีที่สุด มุมปากของเขาก็จะกระตุกยิ้มไม่รู้ตัว
“ฟู่อิน ข้าจะออกจากชิงหยางในอีกไม่กี่วันนี้ เกรงว่าข้าอาจไม่ได้กลับมาจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ผลิหน้า” วันนี้หลินฟู่อินก็ช่วยหวงฝู่จินซักผ้าอีกเช่นเคย ต่างตรงที่ครั้งนี้นางได้ยินเสียงชายหนุ่มชวนคุยจากด้านหลัง
เด็กสาวชะงักเล็กน้อย ก่อนออกแรงขยี้เสื้อด้วยน้ำหนักมือที่แรงขึ้น “เข้าใจแล้ว ขอให้เดินทางปลอดภัย”
หวงฝู่จินขมวดคิ้วแน่น แค่ประโยคเดียวเองหรือ?
ยิ่งเห็นอีกฝ่ายตั้งหน้าตั้งตาซักผ้าให้เขาต่อไป ก็อดคิดไม่ได้ว่าเสื้อผ้าคงสำคัญกว่าเ้าของที่ยืนหายใจอยู่ทนโท่ตรงนี้
“ข้าต้องไปทำธุระของข้า ข้าจะทิ้งเงินเอาไว้ให้ในห้องของเ้า อย่าลืมเก็บให้ดีด้วย” หวงฝู่จินกำชับอีกครั้ง
“โอ้ ข้ามีเงินมากพอแล้ว ท่านไม่จำเป็ต้องฝากเอาไว้ให้ข้า” ในที่สุดหลินฟู่อินก็เงยหน้าขึ้นมามอง ก่อนพูดเสียงแ่ว่า “ข้าคิดว่าท่านต้องใช้เงินมากกว่าข้า”
หวงฝู่จินขมวดคิ้วอีกครั้ง “ข้าไม่มีเงินตำลึง ใช่ว่าข้าไม่มีเงิน”
หลินฟู่อินลุกขึ้นยืน เช็ดมือเปียกชุ่มกับผ้ากันเปื้อน ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้อง
หวงฝู่จินเดาไม่ออกว่านางจะทำอะไร จึงเดินตามไป
หลินฟู่อินหยิบตั๋วแลกเงินที่หวงฝู่จินวางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้งมาไว้ในมือ นางนั่งลงหยิบกล่องไม้ที่ซ่อนไว้ใต้เตียงก่อนนำตั๋วแลกเงินออกมาเช่นกัน “นี่ห้าพันตำลึงเงินให้ท่าน ข้ารู้ว่าเงินแค่นี้เล็กน้อยสำหรับท่าน แต่ดีกว่าไม่มีติดตัวเลย”
หลินฟู่อินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ตอนนี้ แต่กลัวว่าจะเกิดเหตุร้ายอะไรเมื่อเขาออกจากชิงหยาง จึงมอบตั๋วแลกเงินห้าพันตำลึงเงินให้เขานำติดไปด้วย
หากไม่ใช่เพราะว่าขายถั่วปากอ้าและถั่วงอกได้เป็กอบเป็กำทุกวัน นางคงไม่คิดหยิบเงินกว่าห้าพันตำลึงเงินออกมาง่ายดายเช่นนี้
ในกล่องไม้ของนางยังมีเครื่องประดับและแท่งเงินอีกมาก
แท่งเงินเ่าั้รวมแล้วมีมูลค่าราวสองหรือสามร้อยตำลึงเงินด้วยกัน
หวงฝู่จินมองตั๋วแลกเงินในมือเด็กสาวโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว
ใจของเขาอยู่ไม่เป็สุขแล้วตอนนี้ เขาตั้งใจให้เงินนางรวมสองพันตำลึงเงินเผื่อไว้ใช้ฉุกเฉิน แต่นางกลับมอบเงินเก็บทั้งหมดให้เขา…
“เอาเถิด ข้าไม่เหมือนท่าน ข้าใช้ชีวิตสองสามเดือนด้วยเงินสองอีแปะก็ย่อมได้” หลินฟู่อินกล่าวอย่างอ่อนโยน แม้รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยแต่นางก็พยายามข่มใจตัวเองให้มอบเงินทั้งหมดให้ชายหนุ่ม เพื่อชาดหิมะหลอมเท่านั้น เพื่อชาดหิมะหลอมเท่านั้นแหละ!
ทว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ในใจของนาง? นางไม่กล้าที่จะถามตัวเองด้วยซ้ำ
สุดท้ายแล้วหวงฝู่จินก็ตกลงรับเงินจากหลินฟู่อิน แต่ยังดื้อดึงทิ้งเงินที่เขาตั้งใจให้กับนาง เด็กสาวรู้สึกว่าสิ่งที่นางและเขาทำนั้นไร้ความหมาย
หวงฝู่จินจากไป เหลือเพียงเสื้อผ้าที่เขาเคยใส่ในห้องที่เขาเคยอยู่ หลินฟู่อินไม่เคยเข้าไปในห้องนั้นอีกเลยหลังชายหนุ่มไม่อยู่
การค้าขายถั่วปากอ้าสดและถั่วงอกไปได้สวย หลินฟู่อินจึงเกณฑ์คนจากหมู่บ้านหูลู่มาช่วยงานเพิ่ม คราวนี้ผู้คนมากหน้าหลายตารีบเดินทางมาช่วยอย่างเต็มใจ แต่จะได้เข้าช่วยงานหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่า์พร้อมประทานพรให้พวกเขาหรือไม่
หลินฟู่อินปล่อยให้หลิวฉินจัดการเื่ค้าขายถั่วปากอ้าและถั่วงอก โดยให้หลินฟางเป็ตัวแทนของนางคอยช่วยเหลือหลิวฉินอีกที ขณะนั้นนางก็หันมาศึกษาเื่หยูกยาและเครื่องสำอางด้วยตัวเอง
วันที่สองของเดือนสิบสอง ถือเป็วันมงคลที่หลินต้าหลางวางฤกษ์จัดงานฉลองเอาไว้
ตอนนี้ย่างเข้าวันที่ยี่สิบแปดเดือนสิบเอ็ดเข้าไปแล้ว หลินฟู่อินจึงเดินทางกลับหมู่บ้านหูลู่เพื่อพบกับท่านลุง ท่านป้า รวมถึงอู๋ซื่อเองก็แวะมาเช่นกัน โดยมีหลินต้าซานและภรรยามาร่วมด้วย
หลินต้าหลางไม่มา
จ้าวซื่อที่กำลังตั้งท้องใบหน้าซีดเซียว เด็กในท้องของนางสงบเสงี่ยมดีเมื่อสามเดือนแรก แต่สามเดือนหลังนั้นหนักหน่วงพอสมควร
นางหัวเสียขนาดขู่ว่าไม่อยากให้เด็กคนนี้เกิดมาอีก นางขู่จะกินยาคร่าชีวิตเด็กในท้องเสีย ตรงกันข้าม หลินต้าซานไม่เคยคิดพิศวาสเด็กเล็กมาก่อน แต่หลังจากจ้าวซื่อตั้งท้องเขากลับรู้สึกผูกพันกับเด็กคนนี้ เมื่อไรก็ตามที่จ้าวซื่อขู่ว่าจะเอาเด็กออก เขาก็จะดุด่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึมทุกครั้ง
เมื่อจ้าวซื่อเห็นหลินฟู่อิน นางก็ทำตัวหยิ่งผยองขึ้นมาทันที นับเป็ครั้งแรกในรอบเดือนที่จ้าวซื่อได้พบกับหลินฟู่อินอีกครั้งหลังกลับจากชิงเหลียน
นางไปเยือนบ้านหลินฟู่อินนับครั้งไม่ถ้วนเพื่อหวังใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่ไม่เคยมีใครอยู่บ้าน นางจึงไม่รู้จะไปลงที่ใคร
ในที่สุดก็ได้เจอหน้าหลินฟู่อินสักที นางยกมือชี้ที่จมูกของเด็กสาวพร้อมกล่าวอย่างอวดดี “ฟู่อิน ข้าไม่ได้มาในฐานะป้าของเ้าวันนี้ แต่มาในฐานะท่านแม่ของบัณฑิตใหญ่ เหตุใดเ้ายังไม่คุกเข่าทำความเคารพข้าอีก?”
จ้าวซื่อเห็นหลินฟู่อินดูดีขึ้นก็แปลกใจ หลินฟู่อินได้ยินนางพูดจาร้ายกาจอีกครั้งจึงตอกกลับเสียงเรียบ “ท่านป้า คราวนี้ท่านอยู่กับท่านย่าเช่นกัน ท่านเคยใช้โชคลาภและสง่าราศีของท่านบอกให้ท่านย่าคุกเข่ากราบไหว้ท่านในฐานะมารดาบัณฑิตใหญ่ด้วยหรือไม่?”
แม้ว่าคำพูดของหลินฟู่อินจะจงใจตอกกลับป้าของนาง แต่ก็กระทบอู๋ซื่อไปด้วย “ถ้าไม่เห็นแก่หน้าแม่สามี นางคงให้ข้าคุกเข่ากราบไหว้เหมือนกันนั่นแหละ! ข้าเองก็นับเป็ย่าของบัณฑิตเช่นกัน!”
“ต้าหลางของข้าจากบ้านไปเป็บุตรบุญธรรมแล้ว ย่าเย่ออะไรนี่มาจากไหนกัน? หน้าด้านหน้าทนยิ่งนัก!” จ้าวซื่อด่าทออู๋ซื่อ
อู๋ซื่อหน้าซีด “เ้าก็รู้นี่ว่าลูกชายไปเป็บุตรบุญธรรมคนอื่นแล้ว แม่ของเขานับเป็เพียงหญิงแก่คนหนึ่ง หน้าด้านหน้าทนเสียจริง!”
จ้าวซื่อชี้ไปที่ท้องของตัวเอง “อย่างน้อยต้าหลางก็คลานออกมาจากท้องของข้า จะกล้าเมินเฉยแม่บังเกิดเกล้าของเขาได้เช่นไร?”
คำพูดของจ้าวซื่อทรงพลังจนอู๋ซื่อไม่กล้ายอกย้อนอีก
หลินฟู่อินสะใจเล็กน้อยที่อู๋ซื่อโดนถอนหงอก นางมีความสุขที่ได้เป็ผู้ชมละครชีวิตเื่นี้ แต่เมื่อคิดว่าต้องจัดงานร่วมกับคนพวกนี้ นางก็ทุกข์ขึ้นมาทันที
ไม่เป็ไร ไม่เป็ไร พวกเขาก็แค่ทั้งน่ารังเกียจและน่าขยะแขยงเล็กน้อยก็เท่านั้น
หลินฟู่อินจงใจตีสีหน้าไร้สุขก่อนเหลือบมองจ้าวซื่อเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ท่านป้าหมายความว่าตอนนี้พี่ต้าหลางกลายไปเป็ลูกของใครก็ไม่รู้แล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้นอกจากท่านที่เป็แม่ผู้ให้กำเนิดแล้ว พี่ต้าหลางควรทดแทนบุญคุณให้หลินซิ่วไฉชราและภรรยาของเขาเท่านั้น ส่วนท่านย่ากับท่านลุงไม่นับเป็ย่าเป็พ่อของพี่ต้าหลาง เขาไม่จำเป็ต้องกตัญญูต่อพวกท่านใช่หรือไม่?”
แม้กำลังตั้งท้องแต่หัวของจ้าวซื่อก็ทำงานไวได้ดีเช่นเดิม นางตอบรับทันทีว่า “อย่าพูดจาไร้สาระฟู่อิน ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น”
หลินฟู่อินส่ายหัวแสร้งทำเป็เสียใจ “หากพี่ต้าหลางไม่คิดจดจำท่านย่าของเขา นับประสาอะไรกับพวกข้าบ้านสาม เช่นนั้นแล้วข้ายังต้องจัดงานฉลองให้เขาอีกหรือ?”
ได้ยินหลินฟู่อินพูดเช่นนั้นสองสามีภรรยาก็กังวลว่าจะอดจัดงานฉลอง พวกเขามีท่าทีประหม่าขึ้นมาทันที
หลินฟู่อินเพียงแหย่เล่นเท่านั้น อย่างไรงานฉลองของหลินต้าหลางก็ต้องจัด!
“ฟู่อิน อย่าฟังป้าเ้านักเลย นางตั้งท้องอยู่ตอนนี้ ไม่รู้ว่าในหัวของนางคิดอะไรอยู่บ้าง บางทีก็ชอบพูดอะไรแปลกๆ ออกมา” หลินต้าซานมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะพูดกับหลินฟู่อิน
อู๋ซื่อเองก็พยักหน้าเห็นด้วยกับหลินต้าซาน “อย่าไปสนใจหญิงสติไม่ดีนักเลย นางบ้าไปแล้วตอนนี้ ข้าก็จะไม่สนใจนางเช่นกัน”
ไม่ใช่ว่าอู๋ซื่อพูดเช่นนั้นเพราะเข้มแข็ง แต่นางกลัวที่จะต้องปะทะฝีปากกับจ้าวซื่อตอนนี้
ครั้งก่อนอู๋ซื่อตบตีจ้าวซื่อล้มลงพื้น นางกลับไปที่บ้านพร้อมพาพี่ชายที่เป็อันธพาลเกียจคร้านสองคนกลับมาสร้างความวุ่นวายในบ้านหลิน สองคนนั้นไม่ได้ก่อปัญหาโหวกเหวกโวยวาย พวกมันเพียงกินขนมดื่มเหล้าแล้วเข้านอนในบ้านเดิมสกุลหลิน พร้อมขู่ว่าจะกลับบ้านก็ต่อเมื่อฝั่งครอบครัวหลินสัญญาจะดูแลน้องสาวของพวกมันอย่างดี
ทั้งสองคนกินสิ้นเปลืองถึงที่สุดทั้งยังกินได้ทุกอย่าง บ้านหลินกินอะไรก็กินอย่างนั้น ปัญหาเดียวคือทันทีที่เริ่มกินข้าว บ้านหลินทั้งบ้านรวมถึงจ้าวซื่อกลับได้กินข้าวจานเดียว ที่เหลือพวกมันทั้งกินทั้งดื่มของจากบ้านหลินโดยไร้ความเกรงใจจนหมด
บ้านหลินหงุดหงิดรำคาญจนปู่หลินต้องเรียกหลินต้าซานมาต่อว่า เขากลับไปขอให้จ้าวซื่อเห็นแก่หน้าของเขาแล้วไล่พี่ชายสองคนนั้นกลับไป
จ้าวซื่อยอมแต่โดยดีเพราะนางเองก็อดมื้อกินมื้อมาหลายวัน รวมถึงรู้สึกว่าตนชนะเพราะปู่หลินเป็คนมาขอร้องด้วยตัวเอง นางจึงให้พี่ชายกลับไป
หลังจากนั้นอู๋ซื่อก็ไม่คิดกลั่นแกล้งจ้าวซื่ออีกเลย คนในหมู่บ้านหูลู่ต่างรู้เื่นี้เป็อย่างดีว่าแม่สะใภ้กับลูกสะใภ้ไม่ถูกกัน
หลินฟู่อินได้ยินเื่นี้มาจากคนอื่นอีกทีเช่นกัน
แต่คราวนี้นางได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่าอู๋ซื่อไม่กล้าหือกับจ้าวซื่อจริงๆ
ถึงอย่างนั้นจ้าวซื่อก็เป็ใหญ่ได้แค่ในบ้านของตนเท่านั้น ความหัวรั้นของนางไม่มีทางสู้กับหลินฟู่อินได้
หลังจากได้ยินคำพูดของเด็กสาว จ้าวซื่อก็เปิดปากพ่นคำหยาบคายเสียงดัง “หลินฟู่อินเอ๋ย ผู้หลักผู้ใหญ่อยากเราบากหน้ามาคุยกับเ้าเื่งานของต้าหลางด้วยตัวเองเช่นนี้ เ้ายังกล้าโผล่หางออกมาอีก! คิดว่าพวกข้ามาง้อแล้วเ้าจะดูถูกคนอื่นได้อย่างนั้นหรือ! มีหน้าที่จ่ายเงินให้ต้าหลางก็จ่ายไป ไม่ต้องพูดมาก! เ้าสำคัญตัวผิดเกินไปแล้ว!”
สิ้นสุดคำพูดของจ้าวซื่อ ใบหน้าของหลินต้าซานและคนอื่นพลันซีดเซียวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ด่าจบแล้วใช่หรือไม่?” หลินฟู่อินถามอย่างใจเย็น จ้าวซื่อส่ายหัวก่อนพูดจายอกย้อน “ข้าด่าจบแล้ว เ้าล่ะด่าจบหรือยัง?”
---------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ฉื่อ หมายถึง หน่วยวัดความยาว 1 ฉื่อ เท่ากับ 10 นิ้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้