แม้เหวินกวนจิ่งจะบอกว่าสามารถเข้าไปได้แล้วแต่เรือสำราญลำนี้กับแท่นนั่นกลับไม่ได้เชื่อมต่อกัน บางทีอาจจะเป็เพราะอะไรบางอย่างเรือลำนี้จึงไม่อาจเข้าไปได้ใกล้นัก ระยะห่างของมันมีประมาณสี่ถึงห้าร้อยเมตรระยะทางไกลเช่นนี้ไม่มีที่ให้ตั้งหลักระหว่างทางได้แล้วจะขึ้นไปที่แท่นนั่นได้อย่างไรหรือว่านี่จะเป็การแสดงพลังของแต่ละคนในด่านแรกกันนะ
ข้อได้เปรียบของทีมรัสเซียที่มีร่างสูงใหญ่คือถนัดในด้านการโจมตีระยะประชิด ดังนั้นสิ่งที่ต้องใช้ “ความตัวเบา” แบบนี้จึงเป็จุดอ่อนของพวกเขาพวกเขาโยนแผ่นไม้ลงไปยังท้องทะเลอย่างหน้าไม่อายเพื่อจะใช้มันเป็กระดานะโก่อนจะพากันะโไปยังแท่นทีละคน จนทำให้ผู้คนอดจะแอบขำออกมาไม่ได้
เหล่าเด็กตัวเล็กที่สวมเกี๊ยะไม้ต่างก็เคยเรียนศาสตร์ลมปราณกันมาแล้วมันถูกพวกเขาปรับเปลี่ยนจนกลายเป็พลังเวทที่ให้ความรู้สึกแปลกประหลาดออกมาพวกเขาใช้ลมทะเลในการส่งตัวไปยังแท่น ก็นับได้ว่าผ่านไปได้ด้วยดีแต่ก็มีอยู่คนหนึ่งที่เหมือนว่าจะยังฝึกมาได้ไม่ดีนัก เกือบจะตกลงไปในทะเล
อีกทั้งยังมีคนที่เป็สันตะปาปาเมื่อเขาขับร้องบทสวด ร่างกายก็เหมือนกับได้รับพลังเพิ่มขึ้นแสงส่องลงมาจากฟ้าท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมาย เมื่อแสงมลายหายไปพวกเขาก็ไปอยู่บนแท่นเสียแล้ว...แต่ว่าใบหน้าที่แดงก่ำและท่าทางการเช็ดหยาดเหงื่อของผู้ที่เป็ผู้นำ ทำให้ทุกคนได้รู้ว่ามันไม่ได้สบายๆเหมือนอย่างที่เห็น...
ทุกๆ ประเทศต่างมีวิธีที่แตกต่างกันออกไปแต่ว่าในขณะนั้นเองบนดาดฟ้าของเรือก็เหลือเพียงนักปราชญ์จากจีนและกลุ่มของคริสตัลที่เคยพบกันที่โรงแรม
แม้จะบอกว่าตอนนี้ธรรมชาติปั่นป่วนไปหมดทำให้เกิดผลกระทบมากมายต่อผู้ฝึกศาสตร์ในทุกๆ ประเทศแต่พวกเขาไม่ได้ซึมซับพลังเข้าไปในร่างโดยตรงเหมือนอย่างนักปราชญ์ชาวจีนที่มาของการฝึกศาสตร์ของพวกเขานั้น ไม่เพียงแต่จำกัดพลังเท่านั้นแม้แต่พลังเวทต่างๆ เองก็ไม่ได้มีมากนัก โลกของการฝึกศาสตร์จีนในปัจจุบันก็ไม่อาจจะรักษาขอบเขตเอาไว้ได้อีกแล้ว
ด้านในของสถานที่ลึกลับนั้นยังไม่รู้ว่าจะมีอันตรายอะไรที่เฝ้ารอพวกเขาอยู่บ้างในตอนนี้ก็ไม่เวลาที่จะมาเสียดายพลังเหล่านี้ หน้าตาของตัวเองจะเป็อย่างไรก็ช่างอย่างไรตอนนี้ก็เหมือนกับเป็ตัวแทนของประเทศแล้ว
เหวินกวนจิ่งหยิบดาบสั้นห้อยพู่เล่มหนึ่งขึ้นมาริมฝีปากขยับพูดอะไรบางอย่าง ด้วยพลังที่ไหลเข้ามาทำให้ดาบเล็กนี้ขยายออกกว้างขึ้น และกลายเป็ดาบั์ลอยอยู่บนอากาศเหวินกวนจิ่งขึ้นไป ก่อนที่เหล่านักปราชญ์ชายที่เหลือจะพากันะโตามไป
กลุ่มคนพากันขึ้นไปยืนปะทะลมอยู่บนดาบั์แต่หากทุกคนจะยืนอยู่บนดาบั์วิเศษแล้วบินออกไปตอนนี้มันก็ดูเหมือนกับรถเมล์อย่างไรอย่างนั้น หลินลั่วหรานกลั้นขำเอาไว้เธอมองไปยังพื้นที่ว่างสองที่ที่พวกเขาตั้งใจเหลือเอาไว้ให้เธอและหลีซีเอ๋อร์
แม้ว่าทุกคนจะกระจุกกันอยู่บนดาบั์แต่การบินไปแบบนี้ ก็ยังคงทำให้นักปราชญ์จากประเทศอื่นๆที่ต้องพึ่งความสามารถของตัวเองนั้น พากันอิจฉา ต่างก็ส่งสายตาริษยามาให้นั่นคืออาการอึ้งที่มีต่อศาสตร์จีน
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของหลีซีเอ๋อร์ที่มองมายังตัวเธอหลินลั่วหรานจะไม่รู้ได้อย่างไรก็สาวน้อยคนนี้เดาถูกแล้วว่าเธอเองก็ไม่อยากจะ “อัดอยู่ในรถเมล์” แบบนั้น เธอลอบถอนหายใจออกมา มือขวาของหลินลั่วหรานขยับร่ายเวทพลังธาตุน้ำโดยรอบต่างก็รวมตัวเข้าด้วยกัน เธอส่งเสียงออกมา “เวทสมบูรณ์” และเสาน้ำก็โผล่ขึ้นมาจากกลางทะเลก่อนจะกลายเป็สะพานเชื่อมระหว่างเรือลำนี้และแท่นนั่น
“ว้าว! รุ่นพี่หลินสุดยอดไปเลย!” ดวงตาของหลีซีเอ๋อร์เปล่งประกายราวกับดวงดาว
ความจริงเธอไม่ต้องกรีดร้องออกมาสายตาของทุกคนต่างก็มองมาที่ตรงนี้
ระยะทางกว่าสี่ร้อยเมตรสะพานเชื่อมที่ทำขึ้นจากน้ำกระทบกับแสงจากแท่นเปล่งประกายเป็เงาน้ำฟ้าใสพร่างพราว ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผลงานชิ้นนี้ของหลินลั่วหรานงดงามและมีพลังมากเพียงใด หากเธอเป็ชายคนหนึ่งการทำแบบนี้เพื่อจีบสาว อย่างไรก็ต้องได้รับผลอย่างแน่นอน
เหวินกวนจิ่งรู้ดีว่าหลินลั่วหรานไม่ใช่พวกชอบโอ้อวดแบบนี้การที่เธอทำอะไรดึงดูดสายตาผู้คน นั่นก็มีเพียงจุดประสงค์เดียวแล้วมันไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะไปยุ่งกับสาวๆ ทำอะไรให้มันดูดีกว่านี้เสียหน่อยเถอะ!
เพียงแค่มองดูก็รู้ว่าเธอเป็พวกรักสันโดษไม่้ายุ่งวุ่นวายในใจของเหวินกวนจิ่งได้แต่ถอนหายใจ การค้างอยู่บนอากาศแบบนี้ก็ทำให้เขาเหนื่อยมากจึงรีบร่ายเวทดาบเพื่อขับ “รถเมล์” ของเขาออกไป
“ยังไม่ไปอีกเหรอ?” หลินลั่วหรานถามขึ้น ก่อนจะเดินตรงไปยังสะพาน
แม้จะบอกว่าเดินแต่ตลอดทางเธอกลับดูเหมือนล่องลอยเสื้อผ้าที่ปลิวไสวให้ความรู้สึกกระฉับกระเฉงและหนักแน่นต่างทำให้ทุกคนพากันกลั้นหายใจ ไม่กล้าทำอะไรออกมาโดยไม่คิด
ตลอดจนถึงตอนที่หลินลั่วหรานเดินออกไปกว่าครึ่งทางแล้วหลีซีเอ๋อร์ก็เพิ่งได้สติกลับมา ก่อนจะรีบตามเธอไปเธอเดินอย่างระมัดระวังตามติดแผ่นหลังของหลินลั่วหรานมาตลอดทางดูเหมือนว่าเธอจะกลัวว่าสะพานน้ำนี่จะถล่มลงไป
คริสตัลมองไปยังแผ่นหลังที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องบนสะพานน้ำด้วยความรู้สึกมากมายส่วนดาน่ารู้สึกมีความสุขนัก นี่เป็ครั้งแรกที่เห็นนักปราชญ์สาวจากจีนเธอคนนั้นมีพลังมหาศาลจนเธอไม่อาจแตะต้องได้อย่างง่ายๆ แม้เพียงปลายนิ้วแต่มีความสุขที่ทำให้คริสตัลภูมิใจได้
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนเดินข้ามผ่านไปได้โดยไร้ปัญหาคริสตัลก็หันไปพูดกับดาน่าว่า “พวกคนจีนเรียกมันว่าอะไรนะ ยืมแรงโน้มถ่วงเหรอ? พวกเราก็ไปลองสะพานสวยๆ นั่นกันเถอะ!”
เธอคือหัวหน้าทีมในครั้งนี้คนอื่นต่างก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไร ดาน่าก็ได้แต่เดินตามไปอย่างช่วยไม่ได้
คำพูดของคริสตัลถูกส่งไปยังแท่นสูงกลางทะเลหลินลั่วหรานไม่ได้ทำอะไร รอจนพวกเขามายืนอยู่หน้าสะพานมือขวาของเธอก็ขยับยกเลิกเวท ทำให้สะพานที่ทำด้วยน้ำกันพังทลายลง ราวกับหยาดฝนที่มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น
เพราะว่าคริสตัลอยู่ใกล้มากเรือนผมของเธอจึงเต็มไปด้วยหยาดน้ำ ทั่วทั้งตัวเปียกชุ่มแม้ว่าดาน่าที่ไม่ได้แสดงสีหน้าอะไร แต่ก็ขยับตัวออกห่าง...
เมื่อมองไปจากตรงนี้หลินลั่วหรานและหลีซีเอ๋อร์กำลังก้มหน้ากระซิบกระซาบกันเมื่อไม่เห็นถึงความผิดปกติ ร่างกายของคริสตัลนั้นก็ส่งความรู้สึกเย็นะเืออกมา
ดาน่าพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “พวกเราไปเถอะไม่อย่างนั้นแท่นคงจะปิดแน่”
คริสตัลพยักหน้า ร่างกายของเธอะโลอยขึ้นสูงในระหว่างที่ทุกคนบนแท่นคิดว่าเธอจะตกลงไปในทะเลตัวของเธอก็ลอยขึ้นมาราวกับนกตัวใหญ่ ก่อนจะบินขึ้นมาจากทะเลอีกครั้งมือทั้งสองของเธอกางออก พร้อมกับะโขึ้นมาบนแท่นราวกับค้างคาวเธอยืนขึ้นในบริเวณที่ห่างออกไปจากหลินลั่วหรานและอยู่คนละทิศทางกับเหล่าสันตะปาปา
หลินลั่วหรานไม่พอใจในสายตาแบบนั้นอีกทั้งคนในกลุ่มของคริสตัลต่างก็มีกลิ่นอายเืบางๆ ออกมาและนั่นก็ทำให้สัญชาตญาณของหลินลั่วหรานตอบสนองกลับดังนั้นเธอจึงแสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนั้แ่ตอนแรก ไม่อยากจะไปยั่วยุพวกเขาและก็ไม่อยากให้พวกคนเ่าั้มองเธอเป็เพียงอะไรบางอย่างที่จะมารังแกกันได้ง่ายๆไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของหลินลั่วหรานแล้วก็คงไม่มีทางทำเื่แบบนี้ออกมาท่ามกลางสายตาของผู้คนหรอก
หลีซีเอ๋อร์กดเสียงลงพูด “รุ่นพี่หลิน ฉันก็ไม่ชอบเธอเหมือนกัน”
ปลายสายตาของหลินลั่วหรานสังเกตเห็นว่าใบหูของคริสตัลที่ยืนอยู่อีกฝั่งขยับสั่นไหวเล็กน้อยก็รู้ได้ทันทีว่าเธอได้ยินคำพูดของหลีซีเอ๋อร์แล้วจึงแสดงท่าทางให้หลีซีเอ๋อร์รู้ว่าไม่ควรพูดเื่นี้ต่อ
คนที่มาด้วยกันกับเธอต่างก็สามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ข้ามมาได้จนหมด ด้วยความเร็วนั้นแล้วถือได้ว่าเป็กลุ่มที่ทำเวลาได้ดีที่สุด
ความรวดเร็วว่องไวหลินลั่วหรานแอบแสดงความคิดเห็นขึ้นในใจพร้อมทั้งเตือนตัวเองว่าให้ออกห่างจากผู้คนเหล่านี้ถ้าถูกความเร็วแบบนี้มาใช้ในการขโมยกระเป๋า หรือการต่อสู้ระยะใกล้ก็คงจะรับมือได้ยากทีเดียว
บริเวณริมของแท่นส่องแสงสีใสขึ้น ก่อนจะปกคลุมให้ทุกคนเข้ามาอยู่ตรงกลางในใจของหลินลั่วหรานเกิดความคิดน่าเหลือเชื่อขึ้น นี่มันเหมือนกับลิฟต์เลยนี่นา
ท่ามกลางเสียงดังอีกทั้งยังอยู่ในขอบเขตของหนังไซไฟของอเมริกาแท่นที่ถูกปกคลุมเอาไว้ก็เริ่มขยับออกตัว... เื่ที่ยังไม่รู้นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนหลีซีเอ๋อร์จับชายแขนเสื้อของเธอเอาไว้แน่น
เหวินกวนจิ่งเดินเข้ามาใกล้มองมาด้วยความมุ่งมั่น แต่กลับกดเสียงลงพูดกับเธอ
“แวมไพร์เป็เผ่าที่น่ากลัวที่สุด... หลังจากเข้าไปแล้ว ต้องคอยระวังตัวเองไว้นะ!”
แวมไพร์?
หลินลั่วหรานรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ใอะไรมากนักบางทีอาจจะเป็เพราะเธอเดาเอาไว้ในใจั้แ่แรกแล้วเพียงแต่ยังไม่มั่นใจก็เท่านั้น ั้แ่ที่เธอก้าวเข้ามาในเส้นทางการฝึกศาสตร์โลกที่เคยอยู่บนความเป็กลางของเธอก็ค่อยๆ ขยับเข้าใกล้กับเทพนิยายมากขึ้น...
ในม่านแสงนั้นเอง อยู่ๆแท่นก็ะเิออกมาเป็แสงสว่างจ้า หลังจากแสงเ่าั้หายไปแล้ว ตัวแท่นหรือแม้แต่เส้นแสงก็หายลับไป ท้องทะเลเงียบสงบหากไม่ใช่ว่ายังคงมีหมอกควันสีขาวปกคลุมอยู่ และเรือสำราญลำหรูที่ลอยเด่นทุกอย่างในคืนนี้ก็คงเป็เหมือนกับความฝัน คล้ายกับว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นมาก่อน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้