มู่หรงฉือเอ่ย “จี๋เสียงถูกแมวดุร้ายตัวหนึ่งกัดจนได้รับาเ็ เื่นี้ทำให้เปิ่นกงคิดไปถึงคดีที่เกิดขึ้นใน่นี้ เปิ่นกงกำลังคิดว่า ยังมีสัตว์อะไรที่กัดคนแล้วทำให้เกิดแผลเช่นเดียวกับที่จี๋เสียงมี? องค์หญิงฉลาดหลักแหลม เปิ่นกงเชื่อว่าเ้าจะสามารถขจัดความกังวลของเปิ่นกงได้ เช่นนี้ก็แล้วกัน องค์หญิงกลับไปที่จวนก่อน ลองตั้งใจคิดดู นอกจากแมวแล้วยังมีสัตว์อะไรที่กัดคนจนได้แผลลักษณะนั้น หากคิดได้เมื่อไหร่ องค์หญิงรีบมาบอกเปิ่นกงได้ทันที”
พูดจบ นางยังยักคิ้วหลิ่วตา แสดงออกว่าเชื่อมั่นในตัวองค์หญิงตวนโหรว
ได้ยินดังนั้น มู่หรงสือพลันรู้สึกว่าตนเองมีประโยชน์ สบายใจเหมือนได้ดื่มน้ำผึ้ง
องค์รัชทายาทชมว่านางฉลาดหลักแหลม ทั้งยังบอกว่านางสามารถช่วยคลายกังวลให้พระองค์ได้อีกด้วย เตี้ยนเซี่ยทำเช่นนี้ก็เท่ากับว่าชื่นชมนางมิใช่หรือ? เท่ากับยอมรับนางแล้วใช่หรือไม่?
“เตี้ยนเซี่ย หม่อมฉันจะตั้งใจขบคิดเื่นี้ จะไม่ทำให้เตี้ยนเซี่ยผิดหวังเด็ดขาดเพคะ”
นางพูดออกมาด้วยความมั่นใจ ดีใจมาก
จากนั้นนางก็กลับไปอย่างมีความสุข
หรูอี้หัวเราะ ‘พรืด’ ออกมา “ความสามารถในการโน้มน้าวใจผู้อื่นของเตี้ยนเซี่ยพัฒนาขึ้นแล้วเพคะ”
มู่หรงฉือถอนหายใจ “ในที่สุดก็ไล่นางออกไปได้เสียที หรูอี้ เ้าสั่งให้คนไปหาจือเหยียน บอกว่าเปิ่นกงอยากให้เขามาที่ตำหนักทันที”
หรูอี้รับคำสั่ง
ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม เสิ่นจือเหยียนก็มาถึง ตอนที่กำลังจะทำความเคารพกลับได้ยินองค์รัชทายาทพูดด้วยความดีใจ “ตามเปิ่นกงไปที่ห้องตำรา”
ภายในห้องตำรา มู่หรงฉือพูดถึงสภาพน่าอนาถของจี๋เสียงที่ถูกแมวตัวหนึ่งทำร้ายจนาเ็ “เล็บแมวคมกริบ บ่าซ้ายขวาของจี๋เสียงมีรอยแผลจากกรงเล็บแมว าแที่แมวกัดนี้เมื่อเทียบกับาแของซุนอวี้เหม่ยและเสี่ยวลู่ที่ถูกกัดแล้วมีความคล้ายคลึงกันอยู่หลายส่วน”
“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เสิ่นจือเหยียนทั้งดีใจทั้งตื่นเต้น “ปกติแล้วแมวมักเรียบร้อย ไม่ค่อยกัดคนนัก นอกเสียจากจะได้รับการกระตุ้นจากภายนอก หรือใช้ของบางอย่างไปยั่วให้แมวโมโห”
“สัตว์ที่กัดซุนอวี้เหม่ยกับเสี่ยวลู่ไม่น่าจะใช่แมว แต่สามารถสร้างาแเช่นนั้นได้ ขนาดตัวคงจะใกล้เคียงกับแมว”
“การวิเคราะห์ของเตี้ยนเซี่ยมีเหตุผล เพียงแต่ยังคิดไม่ออกว่าเป็ตัวอะไรที่กัดคนแล้วได้าแอย่างแมว”
“เช่นนั้นพวกเราเลือกสัตว์ออกมาสองสามชนิดแล้วมาทดลองกันเถิด”
“ความคิดของเตี้ยนเซี่ยไม่เลวเลย ข้าจะกลับไปเตรียมการที่ศาลต้าหลี่วันนี้” เสิ่นจือเหยียนคลี่ยิ้มอย่างยินดี “จริงสิ ข้าไปดูที่พักของเสี่ยวยินมาแล้ว ไม่พบอะไรเหมือนที่เตี้ยนเซี่ยพูด ถูกคนเก็บกวาดหมดแล้ว”
จากนั้น พวกเขาก็นึกถึงสัตว์หลายชนิดออกมา อย่างเช่นกระต่าย ลูกสุนัขขนาดเล็ก ลิง
มู่หรงฉือเสนอความคิด “มิสู้พวกเราไปเดินรอบๆ ถนน ไม่แน่ว่าอาจจะได้อะไรมา”
เขาปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “เมื่อวานเตี้ยนเซี่ยเพิ่งได้รับาเ็ จะออกไปเดินด้านนอกให้เหน็ดเหนื่อยไม่ได้ ต้องพักผ่อนให้มากๆ พรุ่งนี้ค่อยไปจะดีกว่า”
นางจึงทำได้เพียงปล่อยไป แล้วนัดกันว่าพรุ่งนี้จะไปทางทิศตะวันออกของเมืองด้วยกัน
หลังเที่ยง นางก็นอนหลับไปตื่นหนึ่ง ตอนที่ตื่นขึ้นมาพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกแล้ว
ฉินรั่วเดินเข้ามาอย่างแ่เบา ใช้ตะขอรูปดอกบัวรั้งผ้าม่านสีเขียวออกพลางเอ่ย “เตี้ยนเซี่ย เสี่ยวเถาจากตำหนักชุนอู๋มาขอเข้าเฝ้าเพคะ นางรอมาครึ่งชั่วยามแล้ว”
มู่หรงฉือเพิ่งจะตื่น หัวสมองยังเบลออยู่เล็กน้อย จำไม่ได้ว่าข้าหลวงที่ชื่อว่าเสี่ยวเถาคือคนไหน
ตอนที่เห็นเสี่ยวเถา นางจึงนึกออก ที่แท้ก็เป็ข้าหลวงที่เป็ลูกน้องของหลี่มามาจากเรือนชุนอู๋
จริงสิ ก่อนหน้านี้นางเคยพูดเอาไว้ หากพวกนางคิดอะไรออกให้มารายงานที่ตำหนักบูรพา
หรูอี้จัดสำรับที่ตำหนักใหญ่ มู่หรงฉือนั่งอยู่ที่หัวโต๊ะ ยกชาขึ้นจิบเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือให้เสี่ยวเถาลุกขึ้น “เสี่ยวเถา เ้าคิดอะไรขึ้นมาได้หรือ?”
เสี่ยวเถาลุกขึ้นมาพลางก้มหน้าตอบ “ขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ยเพคะ หนูปี้ว่างแล้วก็นึกย้อนไปถึงเรือนชุนอู๋เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ หนูปี้เห็นคนกำลังเผาสิ่งของ จึงคิดถึงเื่หนึ่งขึ้นมาได้”
“เื่อะไรหรือ?” ฉินรั่วถาม
“คงจะเป็เมื่อราวห้าปีก่อน เพราะอากาศร้อนมาก มีคนจำนวนไม่น้อยปูเสื่อนอนอยู่ที่ด้านหลังเรือน เช่นนี้จึงจะเย็นขึ้นมาหน่อย กลางดึกคืนหนึ่ง จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งถูกไฟคลอกขึ้นมา ตอนแรกไม่มีใครสังเกตเห็น ต่อมาทุกคนก็ตื่นขึ้นมา เอาน้ำราดไปที่คนผู้นั้น แต่ว่าคนผู้นั้นถูกไฟคลอกจนใบหน้าเละไปหมด ไม่สามารถแยกแยะว่าเป็ผู้ใดได้อีก” เสี่ยวเถาเล่าออกมาอย่างออกรสออกชาติ
“มีคนถูกไฟคลอก เช่นนั้นคนก็ควรจะร้องโหวกเหวกโวยวายมิใช่หรือ? คนที่อยู่รอบๆ ไม่ได้ยินเสียงร้องใดหรือ?” ฉินรั่วถามอย่างไม่เข้าใจ
“หนูปี้เองก็รู้สึกว่าแปลก แต่ว่าหนูปี้ยังจำได้ดี ตอนนั้นคนที่นอนอยู่ด้านหลังเรือนต่างไม่ได้ยินเสียงร้อง” เสี่ยวถามตอบ
“คนที่ถูกไฟคลอกคนนั้นคือใคร?” มู่หรงฉือถาม เื่นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
“หนูปี้ไม่กล้าพูดเพคะ” เสี่ยวเถาพูดเสียงอึกอัก ท่าทางดูหวาดกลัวเล็กน้อย
“หากเตี้ยนเซี่ยจะกริ้วก็ไม่ใช่ความผิดของเ้า” ฉินรั่วพูด
“คนที่ถูกไฟคลอกผู้นั้นมีนามว่าชุ่ยหนง นาง...ไม่ใช่ข้าหลวง แล้วก็ไม่ใช่เฟยผินที่ถูกถอดตำแหน่ง เหมือนจะเป็...ข้ารับใช้ในจวนของรุ่ยหวางเพคะ” เสี่ยวเถาลอบมองเตี้ยนเซี่ย เห็นองค์รัชทายาทไม่กริ้วถึงได้ถอนหายใจ
มู่หรงฉือใมาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน เป็รุ่ยหวางอีกแล้ว
นางถาม “เื่นี้เกิดขึ้นก่อนที่หลิวเหมยจะเข้าเรือนชุนอู๋หรือ?”
เสี่ยวเถาครุ่นคิด ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ “เพคะ หลังจากชุ่ยหนงตายไปได้หลายวัน หลิวเหมยก็เข้าเรือนชุนอู๋มาเพคะ”
มู่หรงฉือลุกขึ้นยืน เดินไปที่โต๊ะอาหาร “ชุ่ยหนงเป็คนของจวนรุ่ยหวาง เื่นี้เป็เื่ต้องห้ามในวัง ต่อไปห้ามพูดถึงรุ่ยหวางอีก”
เสี่ยวเถาพยักหน้าอย่างหวาดหวั่น “เพคะ หนูปี้จะระมัดระวังเพคะ”
มู่หรงฉือหยิบจานขนมขึ้นมาสองจานแล้วส่งให้ฉินรั่ว
ฉินรั่ววางจานขนมสองจานเข้าด้วยกัน ใช้ผ้ามาห่อเอาไว้ แล้วส่งให้กับเสี่ยวเถา “นี่เป็รางวัลที่เตี้ยนเซี่ยประทานให้ เ้ากลับไปได้แล้ว”
เสี่ยวเถาถือจานขนม ในใจรู้สึกยินดี พยักหน้าขอบพระทัยเตี้ยนเซี่ยแล้วรีบออกไป
“เตี้ยนเซี่ย ชุ่ยหนงคนที่ตายคนนั้นเป็ข้ารับใช้จากจวนรุ่ยหวาง เื่นี้แปลกอยู่นะเพคะ” ฉินรั่วพูดพลางครุ่นคิด
“แค่เพียงเกิดไฟลุก นางย่อมต้องร้องออกมา คนที่อยู่รอบๆ จะไม่ได้ยินได้อย่างไร?” มู่หรงฉือหยิบช้อนเงินขึ้นมาเคาะโต๊ะอาหารเบาๆ “นอกเสียจากว่านางจะถูกฆ่าตายเสียก่อน แล้วค่อยมีการจุดไฟเผาศพ”
“ที่เตี้ยนเซี่ยพูดมานั้นถูกต้อง เรือนชุนอู๋เกิดเื่เช่นนี้ขึ้น พูดกันตามหลักเหตุผลแล้วควรมีการรายงาน แต่ว่าฐานะของชุ่ยหนงพิเศษ หลี่มามาจะต้องไม่กล้ารายงาน เพียงรายงานต่อกรมข้าหลวงว่ามีคนตาย ข้าหลวงจากกรมก็ไม่มีทางสนใจว่าคนตายคือใคร แล้วลากศพออกไปทิ้งนอกวังก็เท่านั้น” ฉินรั่วพูด
“เื่ที่ชุ่ยหนงถูกไฟคลอกตาย กับเื่ที่หลิวเหมยเข้าเรือนชุนอู๋มานั้นเวลาใกล้เคียงกันเกินไป” สายตาของมู่หรงฉือเลื่อนออก “พรุ่งนี้เ้าไปสอบถามมา ตอนนั้นจวนรุ่ยหวางมีข้ารับใช้ชื่อว่าชุ่ยหนงหรือไม่”
“เพคะ” ฉินรั่วรับคำ
“เตี้ยนเซี่ยทานอาหารก่อนเถิดเพคะ” หรูอี้เอ่ยเตือน
...
วันต่อมา มู่หรงฉือกับเสิ่นจือเหยียนก็ไปยังทิศตะวันออกของเมืองด้วยกัน
เขตค้าขายของเมืองลั่วหยางแบ่งออกเป็ตะวันออกและตะวันตก สินค้าฝั่งตะวันออกของเมืองจะมาจากทั่วทุกมุมโลก จะเป็ของแปลกประหลาดหายากเพียงใด ล้ำค่าแค่ไหนก็สามารถหาได้จากที่นี่ ทางตะวันตกของเมืองเป็พื้นที่ของประชาชนจากเมืองหลวงเป็หลัก ค้าขายครอบคลุมทุกอย่าง ั้แ่ของกินของใช้ เสื้อผ้าอาภรณ์ ของล้ำค่าหรือของโบราณก็สามารถหามาได้หากเ้า้า
แคว้นเยี่ยนไม่ได้มีการห้ามออกนอกเคหะสถานตอนกลางคืน ดังนั้นพ่อค้าของทั้งสองเขตเมือง ร้านน้ำชาต่างๆ เริ่มเปิดั้แ่หัววันจนกระทั่งดึกดื่น บนถนนมีรถม้ามากมาย เสียงคนพูดคุยกันจอแจ
วันนี้ไม่รู้ว่าเป็วันดีอะไร มีคนเร่ร่อนมาแสดงความสามารถขอเรี่ยไรเงินกันไม่น้อย มีทั้งการแสดงกายกรรม การใช้อกทำลายหินแกร่ง มีการเล่นไพ่ หรือสั่งให้สัตว์เล็กมาแสดงตามคำสั่ง ประชาชนพากันมุงดู เสียงปรบมือดังเกรียวกราว สร้างสีสันเป็พักๆ
วันนี้ เสิ่นจือเหยียนยังคงสวมชุดสีขาวปักด้ายสีเขียว เส้นผมสีดำใช้กวานมัดเอาไว้ ท่าทางดังผู้สูงศักดิ์ ดึงดูดสตรีน้อยใหญ่มากมายให้ชายตามอง ใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ ปกติแล้วสตรีที่หันกลับมามองเขาแล้วเห็นรอยยิ้มล่มเมืองก็จะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
มู่หรงฉือเองก็ดึงดูดสายตาไม่น้อย แต่ว่าร่างกายผอมบางทำให้แม่นางน้อยมากมายเห็นแล้วได้แต่ริษยา
พวกเขาเดินวนอยู่ที่นี่ มองไปทางนั้นทีทางนี้ที บรรดาร้านรวงมีเสียงร้องเรียกเชิญชวน ปล่องไฟมีควันลอยขึ้นมาดูแล้วมีชีวิตชีวา
เห็นร้านรวงต่างๆ มากมาย พวกเขาจึงเดินสุ่มถามเถ้าแก่ว่าที่ไหนมีกระต่ายขาวหรือลิงตัวน้อยขาย เถ้าแก่บอกว่าเดินไปตรงด้านหน้าจะมีร้านขายสัตว์เล็กๆ พวกนี้เป็สัตว์เลี้ยงอยู่ร้านหนึ่ง
เดินไปด้านหน้าได้ครึ่งถนน พวกเขาก็เห็นร้านที่ขายสัตว์เล็กเปิดอยู่
คาดว่าเพราะเห็นทั้งคู่ในชุดผ้าแพรล้ำค่า คนขายจึงสร้างบรรยากาศร้องเรียกอย่างเป็กันเอง
“คุณชายทั้งสองอยากจะซื้ออะไรหรือ?” เสี่ยวเอ้อร์ถามด้วยรอยยิ้ม
“เ้ามีอะไรแนะนำหรือไม่?”
มู่หรงฉือมองไปทางกรงไม้ที่ทำขึ้นมาอย่างดี ในกรงล้วนมีสัตว์เล็กๆ อยู่กรงละตัว มีทั้งกระต่ายขาว ลูกลิง ลูกสุนัข สัตว์เล็กพวกนี้ส่วนมากตัวเล็ก ขนยาวสะอาดสะอ้าน รูปร่างสวยงามน่ารัก ชัดเจนว่าได้รับการดูแลมาอย่างดี
เสี่ยวเอ้อร์ถาม “คุณชายจะมาซื้อสำหรับเก็บไว้เล่นเองหรือว่าให้เป็ของกำนัลผู้อื่นขอรับ?”
“เล่นเองหรือว่าให้คนอื่นก็ได้ทั้งสิ้น มีแต่สัตว์ตัวเล็กพวกนี้หรือ?” เสิ่นจือเหยียนกวาดตามอง มีสัตว์อยู่ไม่กี่ชนิด แต่ก็มีจำนวนมาก
“มีสัตว์เลี้ยงที่ค่อนข้างหายากบ้างหรือไม่?” มู่หรงฉือถามอย่างรังเกียจ “พวกนี้เห็นบ่อยเกินไปแล้ว”
“คุณชายทั้งสองคนมาได้เวลายิ่งนัก เมื่อวานเพิ่งจะมีสัตว์เลี้ยงใหม่ๆ น่าสนใจหลายตัวเข้ามา เชิญพวกท่านไปดูทางด้านในดีกว่าหรือไม่ขอรับ?” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มพลางถาม สายตามองดูแล้วก็มั่นใจว่าสองคนนี้เป็คุณชายเสเพลแน่นอน หาสัตว์เลี้ยงเล่นจนเบื่อแล้ว อยากจะหาของเล่นใหม่ๆ แทน
เสิ่นจือเหยียนกับมู่หรงฉือสบตากัน แล้วตามเสี่ยวเอ้อร์เข้าไปด้านใน
บนพื้นด้านในวางกรงสัตว์ขนาดใหญ่เอาไว้ ด้านในมีสัตว์เล็กสีเทาสีดำอยู่ประมาณเจ็ดแปดตัว
สัตว์เล็กพวกนั้นกำลังกัดผักกินหญ้ากันอย่างเสียงดัง
“นี่มันสัตว์อะไรกัน? ดูแล้วเหมือนหนู” เสิ่นจือเหยียนถามเสี่ยวเอ้อร์ด้วยท่าทางสนอกสนใจ
“แม้ดูแล้วจะเหมือนหนูมาก แต่หนูไม่ได้ตัวใหญ่ขนาดนี้” มู่หรงฉือจ้องมองสัตว์นั้นอย่างสนใจ ในหัวเหมือนจะมีแสงแล่นผ่าน ขนาดของสัตว์ตัวนี้พอๆ กับแมว
“นี่คือหนูท่อ เป็สัตว์ที่มีแค่ในแคว้นซีฉิน” เสี่ยวเอ้อร์แนะนำ “ถึงแม้ว่าหนูท่อจะหน้าตาคล้ายหนูมาก แต่ว่าก็ไม่ใช่หนู เป็สัตว์ที่อ่อนโยนน่ารัก ่นี้มีคุณชายจำนวนไม่น้อยมาถามว่ามีหนูท่อหรือไม่ ดังนั้นเถ้าแก่จึงซื้อมาจากแคว้นซีฉินอยู่หลายตัว”
มู่หรงฉือกล่าว “หนูท่อ กระต่ายขาว ลูกลิง เอามาอย่างละตัว แล้วส่งไปที่จวนสกุลเสิ่น”
เสี่ยวเอ้อร์ตอบรับอย่างดีใจ “ขอรับ”
ตอนจ่ายเงิน เสิ่นจือเหยียนถามอย่างอยากรู้ “เสี่ยวเอ้อร์ อย่างกระต่ายขาวกับหนูท่อที่นิสัยอ่อนโยน เวลาโมโหแล้วจะไม่กัดคนใช่หรือไม่”
เสี่ยวเอ้อร์รับปาก บอกอย่างมั่นใจว่าไม่มีทาง
“เสี่ยวเอ้อร์ มีวิธีอะไรที่สามารถทำให้กระต่าย หรือหนูที่อ่อนโยนจู่ๆ ก็นิสัยดุร้ายจนกัดคนขึ้นมาหรือไม่?” มู่หรงฉือถามขึ้น
“คุณชายถามถูกคนแล้ว เถ้าแก่ของพวกเราทำการค้าขายนี้มายี่สิบกว่าปีแล้ว เข้าใจสัตว์พวกนี้เป็อย่างดี” เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มแล้วพูด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้