ทุกวันนี้ผิงอันนอนหลับสนิททุกคืน พอตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่ากำลังวังชาเต็มเปี่ยม ร่างกายที่เคยอ่อนแอดูเหมือนจะดีขึ้นมาก เมื่อก่อนร่างกายอ่อนแออยู่บ่อยๆ รู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไร้กำลัง แต่ตอนนี้ความรู้สึกเช่นนั้นค่อยๆ จางหายไปแล้ว
เพราะเป็เช่นนั้น วันนี้เขาจึงลืมตาตื่นั้แ่เช้า เมื่อเห็นฝนฤดูใบไม้ร่วงตั้งเค้าความหนาวเย็นโถมใส่เช่นนี้แล้ว เขาก็กังวลเื่กระต่ายขึ้นมา จึงลุกขึ้นวิ่งไปดูกระต่ายทันที
เปิดประตูเล้าไก่อย่างนุ่มนวล ท่านพี่บอกว่ากระต่ายรับการรบกวนไม่ได้เป็ที่สุด หากมีเสียงะโหรือเอ่ยเสียงอันดังจะทำให้พวกมันใ คำที่ท่านพี่บอกมาเขาจดจำไว้มั่น
กรงกระต่ายทั้งสี่ถูกตรวจสอบทีละกรง จนกระทั่งดูถึงกรงที่สี่ ซึ่งเป็กรงกระต่ายที่ตั้งท้องโดยเฉพาะ พบว่าบริเวณหน้าท้องของมันมีลูกกระต่ายอ่อนหลายตัวขยับขยุกขยิก ผิงอันอ้าปากกว้างด้วยความดีใจระคนแปลกใจ เขารีบทะลุออกจากเล้าไก่ ร้องเรียกไปทางเจินจูอย่างลุกลี้ลุกลนทันที
“ผิงอัน เป็อันใดไปหรือ?” เจินจูวิ่งเข้ามาด้วยฝีเท้าเร็วไม่กี่ก้าว มองขึ้นมองลงสังเกตไปทางเขา เห็นว่าไม่เป็ไรจึงถามเสียงเบาออกมา
“ท่านพี่ ท่านรีบมาดูนี่ แม่กระต่ายตัวนั้นออกลูกแล้ว ออกมาตั้งหลายตัว!” ผิงอันชี้ไปยังกรงกระต่ายด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม เป็ครั้งแรกที่เขาเห็นกระต่ายน้อยเพิ่งเกิด ช่างรู้สึกแปลกใหม่เสียจริง
“เฮ้อ จริงๆ เลย... แต่ ผิงอัน เ้าเบาเสียงลงหน่อย ลูกกระต่ายเพิ่งเกิด อย่าทำให้พวกมันใไป” เจินจูยกนิ้วชี้มาไว้ตรงปากแสดงท่าทีให้เขาเบาเสียงลง ก่อนจะยื่นตัวเข้าไปสังเกตในกรง แม่กระต่ายกำลังนอนอยู่บนกองหญ้าแห้ง ข้างกายมีลูกกระต่ายไม่กี่ตัวนอนอยู่ข้างๆ ตัวเทาๆ กลมๆ น่ารักราวกับลูกหนู นับดูแล้วลูกกระต่ายน่าจะมีห้าตัวได้
เธอเดินไปทางประตูอย่างระมัดระวัง ดึงผิงอันเข้ามากำชับอย่างรอบคอบว่า “ลูกกระต่ายเพิ่งเกิดอย่าไปลูบไปจับมัน อีกเดี๋ยวหลังจากทำความสะอาดแล้ว ให้วางผักป่าที่มันชอบกินเป็ประจำไว้ข้างๆ และจำไว้ว่าอย่าให้โดนน้ำ วันนี้ฝนตกลมพัดอากาศยิ่งเย็น ดีที่ใส่หญ้าแห้งไว้ในกรงล่วงหน้าเยอะหน่อย วันนี้คงทำได้แค่เลี้ยงกระต่ายปิดไว้ในกรงแล้ว หวังว่าพวกมันจะไม่ก่อฏ ข้าไปล้างหน้าก่อนนะ” เจินจูส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ กระต่ายชอบเคลื่อนไหวอยู่ด้านนอกไม่ชอบถูกขัง เฮ้อ หวังว่าพรุ่งนี้ท้องฟ้าจะโล่งปลอดโปร่ง
ฝนในฤดูใบไม้ร่วงตกลงมาดังซู่... ซ่า... ทั้งวัน ครอบครัวเจินจูทำได้แค่อยู่แต่ในห้อง
หลี่ซื่อฝ่าสายฝนไปให้อาหารหมูและไก่ในเล้า ในมือไม่มีงานเย็บปักชั่วคราว จึงยกม้านั่งไปนั่งเย็บพื้นรองเท้าตรงจุดสว่างข้างประตู รองเท้าของคนในครอบครัวพังเร็วเหลือเกิน เจินจูมีรองเท้าเพียงคู่เดียวที่สามารถสวมได้ มองดูรองเท้าที่ทั้งเก่าและชำรุดซึ่งอยู่ใต้เท้าของบุตรสาว หลี่ซื่อเม้มริมฝีปากแล้วรีบเร่งทำสิ่งที่อยู่ในมือให้เร็วขึ้น ต้องรีบทำรองเท้าของเด็กทั้งสองออกมาก่อนฤดูหนาวให้เสร็จให้ได้
โชคดี่นี้ตอนเย็นนางนอนหลับสนิท กำลังวังชาในตอนกลางวันจึงไม่เลวนัก เลยใช้พละกำลังบนมือมากขึ้นสองถึงสามส่วน
เจินจูนั่งขัดสมาธิบนเตียง ในมือถือแผ่นภาพลักษณะเป็ลายต่างๆ ที่เป็ของสะสมของหลี่ซื่อหลายๆ แผ่น ดูลักษณะน่าจะเป็การวาดตามแบบสัตว์มงคลจำพวกนกกางเขนหรือยวนยาง [1] มีทั้งรูปดอกไม้อย่างดอกท้อหรือดอกเหมย ช่างเรียบง่ายและธรรมดาเสียจริง เจินจูมองลวดลายเก่าแก่แล้วคิดวิพากษ์วิจารณ์ในใจ ...นี่เธอหลุดจากการปักลายด้วยคอมพิวเตอร์ย้อนกลับมายังยุคโบราณที่เป็การปักลายด้วยมือจริงๆ แล้วสินะ
เลือกซ้ายหยิบขวาหาภาพที่ง่ายที่สุดจากในนั้น เธอตัดสินใจเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม [2] ถึงอย่างไรก็อยู่ในยุคโบราณ งานเย็บปักถักร้อยนับเป็ทักษะที่จำเป็ต้องเพียบพร้อมของผู้หญิง อย่าเอาแต่บ่นเลย เรียนให้ชำนาญดีกว่า จะออกมาดีหรือร้ายอย่างไรเสียก็ห้ามไม่รู้วิชาอะไรเลย
ผิงอันที่อยู่ข้างๆ รู้สึกเบื่อ เขาพลิกตัวหกคะเมนตีลังกาบนเตียงอย่างเกียจคร้าน ขณะที่เจินจูกำลังปักผ้าไปด้วยพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับข้อควรระวังในการเลี้ยงกระต่ายไปด้วย ในตอนนั้นจึงถือโอกาสพูดคุยถึงความเป็ไปได้ในการเลี้ยงไส้เดือนด้วยมูลกระต่าย ผิงอันฟังแล้วลุกขึ้นนั่งตัวตรง เอ่ยอย่างดีใจว่า “วิธีการนี้ดียิ่ง หากว่าสามารถเลี้ยงัดินได้ ก็จะมีอาหารไปเลี้ยงไก่ทุกวัน ไก่ก็อาจจะออกไข่มากขึ้น ข้าจะไปขุดหลุมเดี๋ยวนี้แหละ” กล่าวจบก็ทำท่าจะลงจากเตียง
เจินจูจับเขาไว้ทันที พยักหน้าแล้วกล่าวอย่างขบขันว่า “จะรีบร้อนอันใดเล่า ฝนตกอยู่ จะขุดอะไรอย่างไร อีกอย่างใส่มูลกระต่ายอย่างเดียวมิได้ ยังต้องผสมมูลวัวกับมูลไก่ด้วย ต้องคิดดูว่าใส่เท่าไหร่จึงจะเหมาะสม อย่าเอาแต่ทำอะไรบุ่มบ่ามจนเสียเปล่า ใส่ัดินลงไปให้พอเหมาะจึงจะเลี้ยงได้ดี”
กล่าวจบก็มองออกไปนอกหน้าต่าง เอ่ยต่อว่า “ตอนนี้อากาศหนาวแล้ว คาดว่าไม่เหมาะที่จะเลี้ยงเสียเท่าไหร่ หน้าหนาวหิมะตกจนพื้นเกาะเป็น้ำแข็ง เช่นนั้นยิ่งเลี้ยงไม่รอด เอาเป็ว่าพวกเรารอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าค่อยว่ากันเถิด”
ผิงอันฟังจบก็อดบุ้ยปากไม่ได้ เขาถอนหายใจแล้วกล่าว “อีกตั้งนานกว่าจะฤดูใบไม้ผลิ”
เด็กน้อยกลอกตา แล้วมองไปยังเจินจูอย่างเลื่อมใสศรัทธา กล่าวว่า “ท่านพี่ เหตุใดท่านจึงเก่งกาจยิ่งนัก ทำไมท่านถึงรู้อะไรมากมายเพียงนี้? ผู้ใดบอกท่านหรือ?”
การเคลื่อนไหวในมือของเจินจูหยุดลงชั่วขณะจากคำพูดนั้น แต่เธอได้ค้นหาคำแก้ตัวจากความทรงจำเดิมเอาไว้แล้ว มือทั้งคู่ยังคงปักภาพตรงกลางกระท่อมดอกไม้อย่างมั่นคงต่อไป พลางกล่าวด้วยท่าทางสงบนิ่ง “เมื่อก่อนข้าฟังมาจากท่านปู่เผิงน่ะ ผิงอันยังจำท่านได้ใช่หรือไม่?”
“จำได้ ท่านปู่เผิงที่อยู่บนริมคลองใหญ่ เมื่อก่อนมักเล่านิทานให้พวกเราฟัง แล้วยังชอบให้ลูกอมเรากินอีกด้วย น่าเสียดายที่คนไม่อยู่แล้ว” บนใบหน้าผิงอันมีความเสียดายอยู่ เขาชอบชายชราที่มีดวงตาใจดีคนนั้นมาก
“ใช่แล้ว ท่านปู่เผิงเป็คนใจดี เมื่อก่อนข้ามักพาเ้าไปตัดหญ้าสำหรับเลี้ยงหมูบริเวณคลองใหญ่ ทุกครั้งที่เห็นพวกเราก็ให้พวกเราไปพักเหนื่อยในบ้าน ตอนท่านยังวัยเยาว์เคยเดินทางไปหลายที่นัก รู้อะไรหลายอย่าง ตอนนั้นเ้ายังเด็กคงจำไม่ได้ ท่านปู่เผิงเคยเล่าเื่ราวที่ท่านไปเจอะเจอมาจนทั่วเมื่อครั้งยังหนุ่ม ช่างน่าสนุกนัก” เจินจูกล่าวเอื่อยๆ เหลือบเห็นผิงอันที่ฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม เธอยิ้มและกล่าวต่อ “ท่านเคยบอกว่า ทางใต้นั้นเลี้ยงกระต่ายเป็คอก ต้องหาพื้นที่ลาดเอียงสร้างกำแพงสูง ในนั้นสร้างรังรกเล็กๆ ไม่กี่รัง และยังปลูกหญ้าและผักป่าที่กระต่ายชอบกินไว้ แค่นี้แล้วก็ไม่ต้องไปให้ความสนใจกับกระต่ายเท่าไหร่ พวกมันเติบโตด้วยตนเองได้ มหัศจรรย์มากใช่หรือไม่”
ผิงอันฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม อดไม่ได้ที่จะพยักหน้ากล่าวว่า “อื้ม มหัศจรรย์จริงๆ เลี้ยงกระต่ายเช่นนี้ก็ได้ด้วย แต่เหตุใดข้าถึงจำไม่เห็นได้ว่าท่านปู่เผิงเคยพูดถึงเื่นี่เล่า?” เขาอดขมวดคิ้วขึ้นมาไม่ได้
เจินจูเม้มริมฝีปากยิ้ม “ตอนนั้นเ้าเพิ่งสี่ห้าขวบ เป็เด็กน้อยเดินตามหลังผู้อื่น เอาสมองที่ไหนมาจำเื่เหล่านี้ได้เล่า เ้าจำท่านปู่เผิงได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
ผิงอันขมวดคิ้วอย่างขัดเคืองใจ หันไปมองทางเจินจูอย่างเฝ้ารอและกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านปู่เผิงพูดเื่อันใดให้ฟังอีก ท่านเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
“นั่นเป็เวลาเพียงชั่วครู่ชั่วยาม อีกทั้งยังเด็กมาก ข้าจะจำได้เยอะเสียที่ไหน รอข้านึกอะไรใหม่ๆ ออกค่อยบอกเ้าแล้วกัน” ด้ายในมือกวัดแกว่งไปมา คนที่ไม่รู้เื่รู้ราวเห็นแล้วคงนึกว่าเธอมีฝีมือเย็บปักถักร้อยสูง แท้จริงแล้วเธอเพียงแสร้งทำเป็ว่าไม่ว่างก็เท่านั้น หากมองรอยเย็บในกระท่อมดอกไม้ให้ดี มันทั้งเอียงและไม่ตรง ช่างน่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้
“ก็ได้ เช่นนั้นท่านจดจำให้ได้ตลอดนะ” ผิงอันหดหู่เล็กน้อย คาดไม่ถึงเลยว่าเื่เหล่านี้ที่ท่านปู่เผิงเล่า ตนเองจะจำไม่ได้เลยสักเพียงนิด กลุ้มใจเสียจริง
เจินจูค่อยๆ เหลือบมองใบหน้าเล็กที่เหี่ยวเฉาของเขา แลบลิ้นแล้วย้ายสายตาออกไป
ไม่ใช่ว่าเธอไม่อยากบอกเขา ความจริงในความทรงจำของเธอเื่ราวเกี่ยวกับท่านปู่เผิงก็น้อยมากเช่นกัน เธอเพียงเอาเขามาเป็ข้ออ้าง ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีหนทางที่จะอธิบายได้ว่าทำไมเด็กสาวชาวนาธรรมดาจึงรู้อะไรมากมายถึงเพียงนี้ อย่างไรเสียชายชราก็ล่วงลับไปแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถหาหลักฐานมาพิสูจน์ได้ ให้เธอยืมชื่อเขามาใช้หน่อยเถิด เจินจูถูกใจในความคิดของตนเองเป็อย่างยิ่ง
ท่านปู่เผิงมีนามเต็มว่าเผิงต้าเฉียง ท่านมีประสบการณ์ชีวิตที่ค่อนข้างล้มลุกคลุกคลาน ครั้งยังเล็กบิดามารดาถึงแก่กรรมทั้งคู่ ครอบครัวจึงไร้ทรัพย์สมบัติเป็ธรรมดา เมื่ออายุได้ประมาณสิบขวบก็ต้องหาหนทางเลี้ยงชีพ ออกจากหมู่บ้านวั้งหลินหางานทำจนสำเร็จ เคยขุดคูน้ำทำงานจับกังและเป็ลูกมือฝึกหัดมาก่อน ต่อมาเขาติดตามพ่อค้าไปมาจนทั่วอยู่ไม่กี่ปีก็รวบรวมเงินได้จำนวนหนึ่ง จึงจัดการหาที่พักในเมืองแล้วแต่งภรรยามีลูก ในแต่ละปีอาศัยรายได้ส่วนต่างของราคาสินค้าระหว่างทางเหนือและใต้ ชีวิตความเป็อยู่นับได้ว่ามีทรัพย์สินครอบครัวน้อยนิด น่าเสียดายที่เมฆบนฟ้ามิอาจคาดเดา ตอนที่ครอบครัวของเขาเดินทางล่องเรือก็เกิดประสบกับฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่คาดคิด เรือทั้งลำถูกคลื่นขนาดใหญ่ซัดคว่ำ มีเพียงไม่กี่คนที่ว่ายน้ำเป็และได้รับการช่วยชีวิต ส่วนที่เหลือล้วนล้มหายตายจากไป ในส่วนนี้มีภรรยาและบุตรชายบุตรสาวของเขาด้วย
เผิงต้าเฉียงว่ายน้ำพอได้และโชคดีคว้าไม้ที่ลอยอยู่บนผิวน้ำได้สำเร็จ จึงถูกซัดเข้าไปยังชายฝั่งและได้รับการช่วยเหลือ แต่พอได้ยินข่าวว่าภรรยาและบุตรชายบุตรสาวไม่ได้โชคดีเช่นเขาจึงร้องไห้โฮ... สติกระจัดกระจาย กลับมาบ้านอย่างซมซานและล้มป่วยอย่างรักษาไม่ได้
ความกระทบกระเทือนจากการที่คนใกล้ชิดลาลับโลกไปได้ส่งผลต่อร่างกายเขาอย่างมาก อาการเจ็บป่วยรุมเร้า ไม่นานหลังจากนั้นทรัพย์สมบัติก็กระจายเหือดหายไปภายในไม่กี่ปี สุดท้ายเขาปลุกจิตใจให้มีสติขึ้นมาและขายที่พักอาศัย กลับมาอยู่บ้านเดิมที่หมู่บ้านวั้งหลินคนเดียว จ่ายเงินปรับปรุงบ้านหลังเก่าแล้วอาศัยอยู่ที่นั่น น่าเสียดายที่สุขภาพไม่ดี ผนวกกับไม่มีแรงใช้ชีวิตต่อ ไม่กี่ปีก็จากโลกใบนี้ไปแล้ว
สิ่งเหล่านี้ล้วนฟังมาจากคนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านซุบซิบกันมา หลังจากที่เผิงต้าเฉียงจากโลกนี้ไปแล้ว
เผิงต้าเฉียงอยู่ที่หมู่บ้านวั้งหลิน ยังมีหลานชายที่อาศัยอยู่ห่างไกลคนหนึ่ง บางคราหลานคนนี้ก็จะมาช่วยทำงานที่ต้องใช้แรง แต่อย่างไรเสียเนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล จึงต้องใช้เวลาถึงสามวันห้าวันในการไปหนึ่งรอบ พอถึงฤดูการเกษตรก็ใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนจึงจะไปหนหนึ่ง ครอบครัวหูห่างจากบ้านเผิงต้าเฉียงนับได้ว่าใกล้นัก หูฉางกุ้ยจึงมักเอาฟืนไปให้ที่บ้านเขาจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ช่วยหาบน้ำบ้าง แต่หูฉางกุ้ยมีนิสัยไม่ถนัดพูดคุย ทุกครั้งที่หาบฟืนหาบน้ำไปให้ พูดคุยไม่กี่คำก็รีบออกมาแล้ว จนกระทั่งเจินจูผ่านไปแถวคลองใหญ่ เผิงต้าเฉียงจึงมักจูงนางมานั่งพักเหนื่อยในลานบ้าน ให้ลูกอมของว่างนิดหน่อยอยู่เสมอ บางครั้งพูดคุยเื่ที่บ้านและเล่านั่นเล่านี่ให้ฟังอยู่บ่อยๆ น่าเสียดายที่เจินจูคนก่อนรับนิสัยพูดน้อยมาจากบิดา ตรงกันข้ามกับผิงอันที่คึกคักร่าเริงรู้จักพูดนั่นถามนี่ คนชราคนหนึ่งและเด็กคนหนึ่งจึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างสนุกสนาน
เจินจูระลึกถึงชีวิตที่ล้มลุกคลุกคลานของเผิงต้าเฉียง เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเล็กน้อย เด็กหนุ่มยากจนไม่มีอะไรคนหนึ่ง ต้องดิ้นรนพึ่งพาตนเองมาตลอด ไม่ใช่เื่ง่ายเลยที่จะแต่งภรรยามีลูกแล้วใช้ชีวิตมาอย่างดี แต่นึกไม่ถึงเลยว่าความโชคดีเพียงเย้าแหย่คน ราวกับฝันหวานตื่นหนึ่ง หนึ่งครอบครัวต้องแยกจากกันตลอดกาล สุดท้ายทิ้งไว้เพียงความโดดเดี่ยวอ้างว้างก่อนลาลับตลอดไป
เงินทอง อำนาจ หรือตำแหน่งมิใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่เป็คนชิดใกล้ สุขภาพที่แข็งแรงและเพื่อนผอง ไม่มีคนในครอบครัวและสุขภาพที่แข็งแรงแล้ว ต่อให้มีเงินทองมากมายเท่าใดก็ไม่มีประโยชน์
คิดถึงพ่อกับแม่ของเธอขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกท่านน่าจะสบายดีใช่ไหมนะ? น่าจะหลุดพ้นออกจากความโศกเศร้าต่อการจากไปของเธอได้แล้วใช่หรือไม่? คิดได้เช่นนี้ เธอพลันแสบจมูกขึ้นมา อีกนิดน้ำตาก็จะหยดลงมาแล้ว
เจินจูเบี่ยงกาย หลบเลี่ยงการมองเห็นของผิงอัน เธอใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา คลายความโศกเศร้าที่ปะทุขึ้นมา ทางบ้านมีพี่ชายพี่สาวคอยดูแลอยู่ ไม่น่ามีเื่อะไร เธอคิดในใจกลับไปกลับมา กระท่อมดอกไม้ในมือเกือบจะถูกเธอบีบจนเปลี่ยนรูปไปแล้ว
นานพักหนึ่ง เจินจูถึงหมุนศีรษะมามองผิงอันที่เซื่องซึมเล็กน้อย ในเมื่อเธอมายังโลกนี้แล้ว ได้มีวาสนากลายเป็คนในบ้านแห่งนี้ เช่นนั้นญาติตรงหน้าเธอก็จะเป็ความอบอุ่นและความรับผิดชอบชั่วชีวิตนี้ของเธอ ดังนั้น สู้ๆ! หูเจินจู!
เชิงอรรถ
[1] ยวนยาง หรือเป็ดแมนดาริน เป็สัญลักษณ์แทนความรักและความซื่อสัตย์ เนื่องจากเชื่อกันว่ายวนยางเป็นกที่มีคู่เพียงตัวเดียว
[2] เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม คือ ประพฤติตนตามที่คนส่วนใหญ่ประพฤติกัน