เจินจูคิดอยู่เล็กน้อย สิ้นปีผ่านมาระยะหนึ่งแล้ว อาหารประเภทเนื้อของที่บ้านเหลือไม่มาก จึงถือโอกาสที่ว่างอยู่นี้ซื้อวัตถุดิบจัดโต๊ะเลี้ยงแขกตอนเย็นทั้งหมดให้ครบถ้วนก่อน
จ้าวเหวินเฉียงไม่ได้รีบกลับหมู่บ้าน เพราะหวงซิ่วผิงภรรยาของเขาสั่งให้ซื้อของเล็กน้อย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงนัดหมายกันว่าครึ่งชั่วยามให้หลังจะมาพบกันที่หน้าประตูเมือง
ตลอดทางหวังซื่อกับเจินจูเดินไปพลางคิดวัตถุดิบที่้าซื้อไปพลาง หูฉางกุ้ยเดินตามพวกนางอยู่ด้านหลังด้วยท่าทางสบายๆ ไม่นานจึงมาถึงตลาดฝั่งประตูตะวันออก
เนื่องจาก่ปีใหม่ยังไม่ผ่านพ้นไป ตลาดที่เคยคึกคักเมื่อก่อนกลับเงียบเหงาอยู่บ้าง ร้านค้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงส่วนใหญ่ดำเนินกิจการตามปกติ แต่ร้านค้าขายของริมถนนกลับไม่มาก
สามคนเดินมาถึงข้างร้านขายเนื้อเป็ลำดับแรก แล้วเห็นหลี่ซานเตาเถ้าแก่แผงขายเนื้อที่คุ้นเคยกัน ต่างฝ่ายต่างอวยพรปีใหม่ด้วยความสัมพันธ์ที่ดีเพราะเจอกันบ่อยครั้ง หลังจากนั้นจึงซื้อหมูสามชั้น เนื้อแดง และเนื้อติดมันกำลังดีจำนวนห้าชั่ง เพิ่มขึ้นนอกจากนี้คือกระดูกหมูสดๆ เตรียมเคี่ยวน้ำแกงหนึ่งหม้อใหญ่ตอนเย็น
เมื่อกล่าวลาเถ้าแก่แผงขายเนื้อแล้วก็มาถึงแผงขายปลาอีกครั้ง ซื้อปลากินหญ้าตัวใหญ่สองตัวหนักสี่ถึงห้าชั่ง เจินจูอยากทานหม่าล่าต้มปลาผักกาดดองอยู่นานมากแล้ว วันนี้เหมาะเจาะที่จะทำหนึ่งหม้อใหญ่พอดีจะได้แก้ความเปรี้ยวปากเสียให้พอ
เดินวนตลาดอยู่หนึ่งรอบ ในตะกร้าแบกหลังของหูฉางกุ้ยก็ใส่วัตถุดิบหนึ่งกองปะปนกันจนเต็มตะกร้า
สุดท้ายสามคนเดินเข้าร้านขายของจิปาถะ ของใช้ในชีวิตประจำวันล้วนต้องซื้อเล็กน้อย พวกน้ำตาลทรายขาว น้ำมันพืช เกลือที่ใช้ทำอาหาร...
หวังซื่อกับหูฉางกุ้ยปรึกษากันเกี่ยวกับปริมาณของของที่จะซื้ออยู่ด้านหนึ่ง เจินจูจึงเดินเตร็ดเตร่อยู่ในร้าน ของในมือนางก็ค่อยๆ มากขึ้น มีทั้งป้าหอมหนึ่งชิ้น ผงสีฟันสองตลับ กระดาษฟางหนึ่งพับ…
จนกระทั่งถึงตอนที่เจินจูอุ้มของในมือเตรียมจะไปคิดเงิน กลับถูกสิ่งของมุมหนึ่งดึงดูดความสนใจเข้า
นั่นคือ… กระจกทองแดง?
เจินจูเดินเข้าไปใกล้ทันที ยื่นศีรษะเข้าไปสังเกตอย่างละเอียด กลับเห็นใบหน้าเล็กอ่อนวัยหนึ่งดวงปรากฏออกมาบนกระจกสีเหลืองอ่อนๆ ดวงตาสีดำสนิทปรากฏความฉงน ริมฝีปากแดงอมชมพูชุ่มชื้นเผยน้อยๆ อย่างประหลาดใจ
อ่า ที่แท้กระจกของยุคโบราณก็ส่องได้ชัดเจนอยู่มาก!
เจินจูเหลือบซ้ายมองขวาส่องหนึ่งรอบด้วยความดีใจ นานเท่าไรแล้วที่ไม่ได้ส่องกระจก? ไม่เคยคิดเลยว่าการส่องกระจกทุกวันจะกลายเป็ความฟุ้งเฟ้อไปได้
เจินจูเข้าใกล้กระจกทองแดง สังเกตใบหน้าของตนเองให้ละเอียดครู่หนึ่ง เครื่องหน้างดงามผิวเกลี้ยงละเอียด เป็ลักษณะของคนงามตัวน้อยวัยเยาว์ ในใจนางมีความปลื้มอกปลื้มใจเล็กน้อย
น่าเสียดายที่ผิวกระจกเหลืองไปหน่อย
ผิวขาวผ่องของนางเมื่อดูแล้วกลับคล้ำเหลืองอยู่สองสามส่วน หากมีกระจกแก้วก็คงจะดี
เจินจูเม้มปากพร้อมกับใช้ความคิด กระจกทำอย่างไรกัน ทำไมนางจำไม่ได้แล้ว
“เจินจู… เ้าอยากซื้อหรือ?” หูฉางกุ้ยเห็นเจินจูเดินแกร่วอยู่หน้ากระจกทองแดงนานแล้ว จึงเดินเข้ามาเงียบๆ แล้วเอ่ยเสียงถาม
“แม่นาง สายตาดีนัก นี่เป็กระจกทองแดงที่เพิ่งเข้ามาที่ร้านข้า เ้าดู กระจกเป็ทรงหกเหลี่ยมดอกกระจับ ด้านหลังเป็ลวดลายรูปเมฆา ทั้งสง่าทั้งเรียบและดูงดงาม เหมาะกับแม่นางน้อยที่อายุเช่นเ้าใช้กันพอดีเลย” พอเ้าของร้านวัยกลางคนของร้านขายของจิปาถะเห็นลูกค้ามีความสนใจต่อกระจก จึงเดินมาข้างหน้าและแนะนำอยูพักหนึ่งทันที
“เ้าของร้าน กระจกทองแดงนี่ต้องจ่ายเงินเท่าไรหรือเ้าคะ?” เจินจูฟังแล้วจึงถาม
“กระจกทองแดงทรงหกเหลี่ยมดอกกระจับนี่ในร้านของเรามีเพียงสองอัน เพราะเป็สินค้าที่ส่งมาจากทางใต้ ราคาเลยค่อนข้างแพงเล็กน้อย ต้องจ่ายเป็เงินสามเหลียง” เ้าของร้านกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ตอนสามคนนี้เข้าร้านมาไม่ได้สะดุดตานัก ผู้ใดจะทราบว่าเวลาไม่เท่าไรก็ซื้อของหนึ่งกองใหญ่แล้ว จึงยกให้เป็ลูกค้ารายใหญ่เลย
ราคาสามเหลียง เจินจูดวงตาเป็ประกาย ไม่นับว่าแพงเกินไป ซื้อหนึ่งชิ้นน่าจะได้อยู่
“ซื้อ!” เสียงสบายๆ ของหวังซื่อดังแว่วขึ้นมาจากด้านหลัง “หาได้ยากที่เจินจูของพวกเราจะดูสิ่งของเช่นนี้ ย่าจะซื้อให้เ้าเอง”
“…ท่านแม่ ไม่ ไม่ต้องให้ท่านซื้อหรอก ข้าพกเงินมาขอรับ” หูฉางกุ้ยแย่งกล่าวขึ้นมาอย่างตะกุกตะกัก
“เงินที่เ้าพกมาเก็บไว้เสีย นี่เป็ของที่ข้าจะซื้อให้หลานสาวข้า” หวังซื่อโบกมืออย่างไม่ต้องสงสัย
“…เช่นนั้นจะได้อย่างไรขอรับ ข้า…ข้า…” หูฉางกุ้ยคิดจะโต้เถียงสักรอบ แต่เพราะไม่ชินกับการโต้เถียงกับผู้อื่น ใบหน้าเลยแดงขึ้นเล็กน้อย
“แหะๆ” เจินจูมองสองคนที่ถกเถียงเพื่อแย่งกันจ่ายเงินขึ้นมา อดยิ้มแล้วกล่าวออกมาไม่ได้ “ท่านย่า ท่านพ่อ พวกท่านมิต้องแย่งกัน หากจะซื้อก็ต้องซื้อให้พี่รองด้วยหนึ่งอันมิใช่หรือ เอาเช่นนี้แล้วกันนะเ้าคะ ท่านย่า ท่านซื้อให้พี่รอง ท่านพ่อซื้อให้ข้า ครอบครัวละอันพอดีเลย”
พอหวังซื่อได้ฟังก็ลังเลใจไปพักหนึ่ง ที่บ้านไม่เคยมีกระจกทองแดงมาก่อน เคยซื้อครั้งหนึ่งก่อนที่อู้จูจะแต่งออกไปเพื่อเป็สินเดิมของหลานสาว จำได้ว่าชุ่ยจูในตอนนั้นเดินเตร่รอบกระจกอยู่นาน
ชุ่ยจูก็เป็หญิงสาวที่โตแล้วคนหนึ่งควรจะซื้อให้หนึ่งอัน หวังซื่อแอบรู้สึกได้ในส่วนลึกของจิตใจ
“ใช่ๆ ท่านแม่ ชุ่ยจูโตแล้ว ท่านซื้อให้ชุ่ยจูสักอันเถิด ส่วนของเจินจูข้าซื้อเองขอรับ” หูฉางกุ้ยพยักหน้าเห็นด้วยทันที
เห็นว่าหวังซื่อไม่เอ่ยปาก เจินจูจึงหันไปกล่าวกับเ้าของร้าน “เ้าของร้าน กระจกทองแดงสองอันนี้หากซื้อด้วยกันสามารถถูกลงหน่อยได้หรือไม่เ้าคะ? ท่านดูสิพวกข้าซื้อของไม่น้อยเลย หากคิดถูกลงหน่อย พวกข้าก็จะซื้ออันนี้ที่ร้านท่านด้วย หากไม่ได้ เช่นนั้น… พวกข้าก็ค่อยไปดูร้านอื่นอีกที”
“อ่า นี่… นี่ แม่นางน้อย ร้านเราล้วนเป็กิจการเล็กๆ เดิมทีกำไรก็ไม่ได้มาก” เ้าของร้านวัยกลางคนจงใจนิ่วหน้าแล้วกล่าวหัวเราะขมขื่น
เจินจูหัวเราะเบาๆ หนึ่งเสียง แล้วไม่เสียเวลาต่อรองกับเขาอีก ทำเพียงหมุนกายหันไปกล่าวกับหวังซื่อ “ท่านย่า พวกเราซื้อของครบหรือยังเ้าคะ? ยังต้องจัดเตรียมโต๊ะเลี้ยงแขกตอนเย็นอีก เราต้องรีบกลับไปเตรียมทำของได้แล้ว”
“เอ๋? อ่า! …ทั้งหมดซื้อได้พอสมควรแล้ว แค่รอคิดเงินก็เรียบร้อย” หวังซื่องงงวยเล็กน้อยแล้วจึงตอบ
เ้าของร้านวัยกลางคนเห็นว่าเจินจูไม่สนใจเขาต่อ จึงอดไม่ได้ที่จะร้อนรนนิดหน่อย
กระจกทองแดงสองชิ้นนี้เขานำสินค้าเข้ามาระยะหนึ่งแล้ว แม้จะบอกว่ามีคนสนใจไม่น้อยแต่พอได้ฟังราคาล้วนไม่พอใจที่ราคาแพงไปหน่อย กว่าจะมีคนอยากซื้อไม่ง่ายเลย แน่นอนว่าเขาต้องอยากขายสินค้าออกไป
“แหะๆ แม่นางน้อย เ้าดู กระจกทองแดงนี่เรียบมันและชัดแจ้งดีนัก เป็กระจกดีที่หาได้ยากเลย ซื้อกลับไปใช้แปดปีสิบปีก็ไม่เสียหาย ราคานี้พวกเราหารือกันได้ หากพวกเ้าซื้อสองอัน เช่นนั้นก็ห้าเหลียงครึ่งเป็อย่างไร?” เ้าของร้านเอากระจกวางตรงหน้าเจินจู สีหน้ากัดฟันขาดทุน
เจินจูมองอย่างขบขัน ในใจพลางคิดว่าที่แท้ไม่ว่าจะยุคโบราณหรือปัจจุบันการต่อรองราคาซื้อขายของทั้งสองฝ่ายล้วนไม่ต่างกันเลย!
“เ้าของร้าน พวกเราอย่าลับฝีปากกันเลยนะเ้าคะ ผ่อนคลายสักหน่อย กระจกทองแดงสองอันห้าเหลียง หากท่านขายได้พวกข้าก็เอา หากขายไม่ได้ ท่านก็เก็บไว้ขายให้ผู้อื่นเถิด” เจินจูตัดราคาอย่างว่องไว ชาติก่อนเดินเล่นซื้อของการต่อรองราคาจึงเป็ทักษะที่ต้องมีพร้อม ไม่คิดเลยว่าความสามารถนี้จะใช้ได้กับยุคโบราณเช่นกัน
“อ่า? สองอันห้าเหลียง? นี่… น้อยเกินไปหน่อย…” เ้าของร้านวัยกลางคนขมวดคิ้วขึ้นอยู่พักหนึ่ง
“หากลำบากใจเ้าของร้านจนเกินไปก็ช่างเถิด ไม่ใช่ว่าพวกข้าต้องซื้อกระจกทองแดงให้ได้ ท่านย่า วันอื่นมีเวลาว่างพวกเราค่อยไปดูร้านอื่นกัน ต้องหาร้านที่ราคาเหมาะสมได้แน่เ้าค่ะ” กล่าวจบ เจินจูก็ดึงมือหวังซื่อ เดินไปทางประตูร้าน
“อย่า… อย่า… รอเดี๋ยว…” เ้าของร้านวัยกลางคนถือกระจกทองแดงเดินไล่ตามไปข้างหน้า
ก็เป็เช่นนี้... รอจ่ายเงินทุกอย่างเสร็จแล้ว ก็ออกมาจากร้านขายของจิปาถะ ในตะกร้าแบกหลังของหูฉางกุ้ยจึงเพิ่มกระจกทองแดงสว่างไสวและเรียบง่ายของยุคโบราณมาสองอัน
สิ่งของล้วนตระเตรียมครบถ้วนแล้ว สามคนจึงไปรวมตัวที่ประตูเมืองกับจ้าวเหวินเฉียง แล้วขึ้นนั่งเกวียนวัวกลับหมู่บ้านวั้งหลินด้วยกัน
กลับมาถึงหมู่บ้าน หวังซื่อก็นัดหมายกับจ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านให้ไปร่ำสุราที่บ้านหูฉางกุ้ยในตอนเย็นแล้วจึงเคลื่อนเกวียนวัวกลับที่พัก
แม้ครอบครัวหูฉางกุ้ยจะซื้อที่ดินผืนใหญ่ที่รกร้างว่างเปล่า แต่ที่ดินนั้นก็ยังเชื่อมต่อกับริมฝั่งแม่น้ำหนึ่งผืนใหญ่ด้วย
ภายในบ้านเก่า หูเฉวียนฝูถือโฉนดที่ดินด้วยมือสองข้าง เขายิ้มเสียจนดวงตาหยีเป็รอยตะเข็บ เอาแต่กล่าว “ดี! ดี! ดี…”
ผิงซุ่นยืนอยู่ด้านข้างร่วมคึกคักอย่างมีความสุข ส่วนชุ่ยจูถือกระจกทองแดงที่ซื้อมาใหม่ด้วยสองมือที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข
ทั้งครอบครัวคล้ายกับดื่มด่ำอยู่ในความเบิกบานใจที่ได้ซื้อที่ดิน
ยกเว้นเหลียงซื่อ...
เห็นเพียงนางนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องโถง ผ้าเช็ดหน้าหนึ่งผืนที่ถืออยู่ในมือถูกบิดจนกลายเป็ขนมงาทอด
“ที่ดินหนึ่งผืนใหญ่เช่นนั้น มีสิทธิ์อะไรเป็ของครอบครัวฉางกุ้ยทั้งหมด เห็นๆ กันอยู่ว่าเป็ทุกคนเลี้ยงกระต่ายขายอาหารหมักมาด้วยกัน ที่ดินนี่จะไม่มีส่วนที่เป็ของครอบครัวข้าได้อย่างไร? พวกเขาลำเอียงกันเกินไปแล้ว” เหลียงซื่อแอบกล่าวโกรธแค้นอยู่ในใจ ดวงตากลอกไปทางสามีที่มีความสุขอย่างโง่เง่าของตน ข้างในยิ่งเต็มไปด้วยความไม่เบิกบานใจขึ้น
เหลียงซื่อมองไปรอบๆ ในท้ายที่สุดก็หยัดกายขึ้นมาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว ยืดท้องที่ใหญ่ห้าเดือนขึ้นตรง ทันทีหลังจากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้เจินจูที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“เจินจู ทำไมโฉนดที่ดินมีเพียงฉบับเดียวเล่า? ท่านลุงเ้าไม่มีหรือ?” เหลียงซื่อยืดท้องตรงแสร้งมองเจินจูด้วยความไม่เข้าใจ
เจินจูเงยหน้ามองเหลียงซื่อที่ยิ้มได้จอมปลอมแวบหนึ่ง ตนเองทราบได้เลยว่าในใจของนางคิดอะไรอยู่แต่ไม่ได้เปิดโปงข้อเท็จจริงนั้นออกมา เพียงกล่าวเรียบนิ่ง “ป้าสะใภ้ โฉนดที่ดินนี้มีเพียงหนึ่งฉบับ ท่านลุงไม่ได้ซื้อที่ดิน แน่นอนว่าต้องไม่มีโฉนดที่ดินเ้าค่ะ”
“ทำไมจะไม่ซื้อ? ที่ดินนี่มิใช่ต้องนับว่าพวกเราซื้อด้วยกันหรือ? ท่านลุงเ้าย่อมต้องมีที่ดินหนึ่งฉบับสิ” เหลียงซื่อโมโหทันทีเสียงสูงขึ้นฉับพลัน ดังแหลมแทงแก้วหูนัก
คนทั้งห้องล้วนมองมาทันใด
เจินจูยิ้มกล่าวต่อด้วยความใจเย็น “ที่รกร้างผืนนี้เป็ท่านพ่อของข้าจ่ายไปสามสิบกว่าเหลียงซื้อมาใช้สร้างบ้าน ท่านลุงไม่ได้มีความคิด้าซื้อที่ดินสร้างบ้าน ดังนั้นโฉนดที่ดินนี้จึงมีเพียงฉบับเดียวเ้าค่ะ”
“ิฮวา ที่ดินนี่เป็น้องรองควักเงินซื้อด้วยตัวเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา เ้าอย่าก่อเื่วุ่นวายเลย ที่นี่ของเราเป็บ้านบรรพบุรุษ ฉลองปีใหม่เสร็จแล้วก็ต้องสร้างเพิ่มสองสามห้องขึ้นเช่นกัน ความเห็นของท่านพ่อกับท่านแม่ไม่อยากซื้อที่ดินอื่นปลูกบ้านอีกครั้ง” หูฉางหลินเดินเข้ามาใกล้ทันที ขมวดคิ้วจ้องมองเหลียงซื่อ แล้วจึงอธิบายกับนางหนึ่งรอบ
“น้องรองจะเอาเงินมากมายขนาดนั้นมาจากไหน ไม่ใช่ว่าเป็เงินที่พวกเรารวบรวมมาด้วยกันหรือไร จะให้เขาเอาไปซื้อที่ดินทั้งหมดได้อย่างไร” เหลียงซื่อหรือเหลียงิฮวาใบหน้าอิ่มเอิบยังคงโมโหและในใจไม่ยอมรับอยู่ คิดว่าแม่สามีลำเอียง เงินที่ที่บ้านหามาได้ส่วนใหญ่ล้วนใช้อยู่ที่ครอบครัวหูฉางกุ้ยทั้งหมด
หูฉางหลินคว้าเหลียงซื่อเข้ามา สายตาจ้องเขม็งด้วยความโกรธ กำลังคิดจะตำหนินาง
“ลูกสะใภ้ใหญ่” หวังซื่อได้ยินชัดแจ้ง สีหน้าครึ้มลง “เดิมทีเป็เพราะเ้ากำลังตั้งครรภ์อยู่ บางเื่ก็ไม่ได้บอกแก่เ้า เ้าจะได้ไม่เอาแต่กังวลใจ ผู้ใดจะรู้ว่าเ้ากลับยิ่งคิดผิดเพี้ยนไปอีก ช่างเถอะ ถือโอกาสเวลานี้จะให้เ้าได้รับรู้ว่าเงินที่พวกเราหามาได้ระยะนี้เป็มาอย่างไร”
กล่าวจบ หยิบโฉนดที่ดินในมือของหูเฉวียนฝูมาและยื่นให้หูฉางกุ้ย
“ฉางกุ้ย เจินจู พวกเ้ากลับไปเตรียมโต๊ะอาหารเลี้ยงแขกก่อน ในเมื่อเชิญคนมาร่ำสุรา เราต้องเตรียมโต๊ะสุราให้เรียบร้อย อีกเดี๋ยวข้าว่างแล้วจะไปช่วย” หวังซื่อหันไปยิ้มทางสองคน “ชุ่ยจู เ้ากับผิงซุ่นก็ไปช่วยด้วย”
ส่งทั้งสี่คนไปแล้ว หวังซื่อก็หมุนกายกลับมาในบ้าน ความรู้สึกแสดงออกบนใบหน้าอย่างเคร่งขรึมและเงียบสงบ
ภายในห้องหูฉางหลินกำลังดึงเหลียงซื่อมาตำหนิอยู่ เหลียงซื่อก้มศีรษะลงไปครึ่งหนึ่ง แต่สีหน้ากลับยังคงแสดงความไม่ยอมอย่างชัดเจน
หวังซื่อถอนหายใจหนึ่งเสียง แต่งลูกสะใภ้ไร้คุณธรรมเข้ามาในบ้านช่างไม่สงบสุขเลย
เหลียงซื่อผู้นี้ตอนแรกนั้นพ่อสื่อแม่ชักพาให้ไปรู้จักกัน ใบหน้ากลมอิ่มเอิบเล็กน้อยดูแล้วค่อนข้างสุภาพอ่อนโยนอยู่มาก แม้มองแล้วท่าทางจะไม่เรียบร้อยเท่าไร แต่คิดถึงสภาพของบ้านตนเองก็ไม่ได้ดีนัก จึงไม่ได้สืบสาวลงลึกมากเกินไป
เมื่อก่อนที่ใช้ชีวิตผ่านมาด้วยความยากลำบาก ก็ไม่ได้ปรากฏลักษณะนิสัยเห็นแก่ตัวและโลภออกมาเช่นนี้ แต่พอฐานะการเงินทางบ้านเพิ่งจะมีการปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ในที่สุดความเห็นแก่ตัวก็หนักหนานัก เอาแต่คิดถึงผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ของตนเอง
หวังซื่อแววตาอึมครึม ก้าวย่างเข้าไปอย่างใจเย็น