เ้าสามมัดะโตามทั้งสองมาติดๆ ทันทีที่เข้ามาในห้องหลอมสมุนไพร เ้ากระต่ายน้อยก็วิ่งหายไปที่ใดไม่ทราบ ขอแค่มันไม่บ้าจนไปกัดเตาหลอมสมุนไพรเพื่อลับฟันเล่น เฟิ่งสือจิ่นกับจวินเชียนจี้ก็ไม่เข้าไปควบคุมมันอยู่แล้ว พวกเขาชอบให้มันเป็อิสระมากกว่า ยิ่งตอนนี้เตาหลอมสมุนไพรก็ยังมีไฟลุกอยู่ หากมันกล้าหาญจนไม่กลัวร้อนปาก ก็เชิญกัดเตาหลอมได้ตามสบาย
จวินเชียนจี้หันไปป้อนยาสมุนไพรให้เฟิ่งสือจิ่น จากนั้นก็พานางเดินสำรวจและทำความคุ้นเคยกับการทำงานในห้องหลอมสมุนไพรต่อ นี่เป็ห้องที่จะปล่อยปละละเลย หรือประมาทไม่ได้เป็อันขาด เพราะนอกจากยาะที่ถวายให้ฝ่าา ซึ่งเป็ยาที่ปรุงยากมากที่สุดแล้ว ยาอื่นๆ ที่ฝ่าาใช้ในชีวิตประจำวัน ล้วนถูกทำขึ้นในห้องแห่งนี้ทั้งสิ้น
จวินเชียนจี้ยืนอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง เขายืนหันหลัง ดูงดงามราวกับความฝัน เส้นผมยาวสยายอยู่บนชุดนักพรตสีเขียวขุ่น นิ้วเรียวทั้งสิบกำลังวุ่นอยู่กับขวดยาจำนวนมากเบื้องหน้า เขาพูดด้วยเสียงนิ่งเรียบ “เ้าพักอยู่ในวังมาหลายวัน ได้เจอองค์ชายสี่บ้างหรือเปล่า?”
“หา?”
“ไม่เช่นนั้น เ้าจะคืนกริชให้เขาได้อย่างไร?”
เฟิ่งสือจิ่นพยักหน้าเบาๆ นางแต่งเื่ขึ้น “อ้อ... เจอสิ เจอกันโดยบังเอิญแค่ผ่านๆ เท่านั้น ข้าคิดว่าอย่างไรเสียเขาก็เป็ถึงพี่เขยของข้า แถมยังบอกว่ากริชเล่มนี้เป็ของแทนใจที่เขาให้เฟิ่งสือหนิงอีก ข้าเลยคืนกริชให้เขาไป อย่างไรเสียข้าก็ไม่ได้อยากได้กริชเล่มนั้นอยู่แล้ว”
ในวังมีเื่ที่น่าใเกิดขึ้นมากมาย แต่ทั้งหมดนั้นล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป ในเมื่อกลับมายังจวนราชครูได้อย่างปลอดภัยแล้ว นางก็ไม่จำเป็ต้องเอาเื่พวกนี้มาทำให้อาจารย์ต้องกลุ้มใจอีก
เพราะกลัวว่าจวินเชียนจี้จะถามซักไซ้ต่อ เฟิ่งสือจิ่นจึงพูดเปลี่ยนเื่ “อาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่าสือหนิงให้กริชเล่มนี้กับข้าั้แ่เมื่อใด? ทำไมข้าถึงจำไม่ได้เลย”
จวินเชียนจี้เงียบอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ในเมื่อมันไม่ใช่ของของเ้า คืนเขาไปก็ดีเหมือนกัน”
เฟิ่งสือจิ่นยิ้มตาหยีพลางพยักหน้าเบาๆ “ศิษย์เองก็คิดเหมือนกัน”
อาการของพระสนมอวี๋เริ่มดีขึ้นทุกวัน ตอนนี้ เฟิ่งสือจิ่นไม่จำเป็ต้องพักอยู่ในวังอีกแล้ว นางแค่ต้องเข้าวังเพื่อตรวจอาการให้พระสนมอวี๋ทุกวันพร้อมๆ กับจวินเชียนจี้เท่านั้น แม้สุขภาพของพระสนมอวี๋จะดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ความกลัดกลุ้มบนใบหน้ากลับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน นางไม่เคยยิ้มเลยแม้แต่ครั้งเดียว
สุขภาพของพระสนมอวี๋ในตอนนี้ ทำให้ฮ่องเต้พึงพอใจเป็อย่างมาก เขาอยากประทานรางวัลให้จวินเชียนจี้ แต่จวินเชียนจี้กลับปฏิเสธ บอกว่านี่เป็หน้าที่ของตน ไม่จำเป็ต้องให้รางวัลอะไร ฮ่องเต้รู้ดีว่าเฟิ่งสือจิ่นไม่ได้เล่าเื่ในคืนนั้นให้จวินเชียนจี้ฟัง และราชครูก็ยังไม่รู้เื่อะไรทั้งนั้น เฟิ่งสือจิ่นถือเป็เด็กที่รู้กาลเทศะไม่น้อย... เขาคิดในใจ ขณะที่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มประดับประดาอยู่เสมอ ตั้งใจให้เื่นี้ผ่านไปเงียบๆ
เมื่อพระสนมอวี๋อาการดีขึ้น ความสนใจที่ฮ่องเต้มีต่อเฟิ่งสือจิ่นก็เริ่มลดลงเช่นกัน ยิ่งตอนนี้มีราชครูคอยกั้นอยู่อีกชั้น ก็ยิ่งเป็ไปไม่ได้ใหญ่ ไม่นาน ฮ่องเต้ก็เลือกวันถวายตัวให้พระสนมอวี๋เรียบร้อยแล้ว แถมยังสั่งให้จวินเชียนจี้ทำยาที่ช่วยให้บุรุษกระปรี้กระเปร่าเป็พิเศษ กับยาสำหรับปลุกอารมณ์มาให้อีกด้วย
เฟิ่งสือจิ่นเสนอตัวว่าจะรับผิดชอบเื่นี้เอง อย่างไรเสียนางก็คุ้นชินกับการหลอมและปรุงยาอยู่แล้ว
ยาที่ใช้กระตุ้นอารมณ์ในวันถวายตัวถูกแบ่งออกเป็สองอย่าง อย่างแรกเป็ยาของฮ่องเต้ และอย่างที่สองคือยาของพระสนมอวี๋ ยาที่ให้ฮ่องเต้ ถ้าจะเรียกง่ายๆ ก็คือยาเพิ่มกำลังนั่นเอง ส่วนยาที่ให้พระสนมอวี๋เป็ยาสำหรับปลุกเร้าอารมณ์ ทำให้ผู้หญิงดูเย้ายวนมากยิ่งขึ้น
่บ่าย จวินเชียนจี้มาถามเื่ความคืบหน้าของยา เฟิ่งสือจิ่นจึงรีบยื่นกล่องเล็กๆ ออกไปอย่างประจบประแจง “ท่านอาจารย์ ศิษย์เตรียมยาของพระสนมอวี๋เสร็จแล้ว ส่วนยาของฝ่าา อีกครึ่งชั่วยามก็เอาออกจากเตาได้แล้วเช่นกัน”
จวินเชียนจี้พยักหน้าเบาๆ “เช่นนั้นก็ดี”
“อาจารย์” เฟิ่งสือจิ่นเห็นว่าจวินเชียนจี้กำลังจะออกไปจากห้องหลอมสมุนไพร จึงรีบเรียกรั้งไว้
จวินเชียนจี้หันหน้ากลับมามอง ควันสีขาวในห้องหลอมสมุนไพรส่งเสริมให้เขาดูคล้ายกับเทพที่ยืนอยู่กลางเมฆไม่มีผิด “มีอะไรหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นรวบรวมความกล้า “อีกเดี๋ยว หากยาในเตาเสร็จแล้ว ให้ศิษย์เข้าไปส่งยาในวังได้หรือไม่?” จวินเชียนจี้มองเฟิ่งสือจิ่นโดยไม่ได้ตอบว่าได้หรือไม่ นางเห็นดังนั้นจึงรีบอธิบาย “ศิษย์คิดเช่นนี้... อย่างไรเสียศิษย์ก็คุ้นเคยกับตำหนักของพระสนมอวี๋ แถมยังคุ้นเคยกับขันทีหวังไม่น้อย หากให้ศิษย์ไป จะได้พูดเน้นย้ำและอธิบายเื่เกี่ยวกับยาได้สะดวกขึ้น ไม่เช่นนั้น หากเด็กรับใช้พูดรายละเอียดไม่ชัดเจน อาจทำให้ฝ่าาไม่พอพระทัยได้”
จวินเชียนจี้ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว สายตาของเขายังมีความสงสัยแฝงอยู่เล็กน้อย
เฟิ่งสือจิ่นหัวใจกระตุกวูบ นางก้มหน้าลงต่ำ ก่อนจะกลั้นใจพูดออกไป “ก็ได้... อาจารย์เองก็น่าจะรู้ว่าที่พระสนมอวี๋ป่วยเช่นนี้ ก็เพราะกินยาห้าสหายเข้าไป และสาเหตุที่นางทำเช่นนี้ก็คือ... นางไม่อยากปรนนิบัติฝ่าา ศิษย์เกรงว่าจะเกิดเื่อะไรขึ้น เลยอยากเข้าไปพูดอธิบายเื่ยากับนางก่อน และฉวยโอกาสนี้พูดกล่อมนางอีกสักหน่อย นางเองก็น่าสงสารไม่น้อย หากทำให้ฝ่าากริ้วจนถูกปะาขึ้นมา หญิงงามต้องมาตายเช่นนี้ คงน่าเสียดายไม่น้อย”
จวินเชียนจี้มีท่าทีเ็า “เื่ของคนอื่น อย่าเข้าไปยุ่งจะดีกว่า”
เฟิ่งสือจิ่นแย้ง “แต่ศิษย์ไม่คิดว่านี่เป็เื่ของคนอื่น ยาที่ส่งเข้าไปในวังเป็ยาจากจวนราชครู ศิษย์ย่อมไม่อยากให้เกิดเื่อะไรขึ้นในระหว่างนี้อยู่แล้ว ศิษย์อยากจัดการเื่ทุกอย่างให้ราบรื่นและเรียบร้อย จะได้ไม่ทำลายชื่อเสียงของจวนราชครู หรือทำให้อาจารย์เดือดร้อนไปด้วย ไม่เช่นนั้น สือจิ่นต้องรู้สึกผิดมากแน่ๆ”
จวินเชียนจี้เงียบลงชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “เ้าเองก็ทำไปด้วยความหวังดี เื่ส่งยาเข้าไปในวังก็ยกให้เ้าเป็คนรับผิดชอบก็แล้วกัน” คืนนี้ฮ่องเต้กำลังจะโปรดปรานพระสนมอวี๋ เฟิ่งสือจิ่นแค่เข้าไปส่งยาเท่านั้น คงไม่เกิดเื่อะไร
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยท่าทางดีอกดีใจ “ขอบคุณท่านอาจารย์”
ครึ่งชั่วยามต่อมา เฟิ่งสือจิ่นเปิดเตาหลอมสมุนไพร ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากเตาหลอม บัดนี้ ใบหน้าของนางไม่ได้ใสซื่อเหมือนเมื่อครู่อีกต่อไป นางหยิบต้นยาพุ่มเล็กๆ ออกมาจากแขนเสื้อ ยานี้มีลักษณะคล้ายดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวลงแล้ว นิ้วเรียวคลายออก ยาในมือจึงร่วงเข้าไปในเตาหลอม ก่อนจะถูกความร้อนอันมหาศาลหลอมจนกลายเป็ผุยผง ฤทธิ์ของต้นยากอนี้ก็ถูกกระตุ้นขึ้นมาเช่นกัน เพียงไม่นานเฟิ่งสือจิ่นก็นำยาออกมาจากเตาหลอมสมุนไพร แล้วส่งยาเข้าไปในวังอย่างรีบร้อน
เมื่อไปถึง ท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว ราตรีค่อยๆ ปกคลุมท้องนภา เป็ดั่งม่านสีดำที่ถูกดึงปกคลุมม่านฟ้า แสงไฟทั้งใกล้และไกลเป็เหมือนดวงดาราที่ส่องระยิบระยับ ทว่าก็ห่างไกลจนยากจะเอื้อมถึง
ขันทีหวังรออยู่ที่หน้าประตูวัง เมื่อเห็นว่าผู้ที่มาส่งยาคือเฟิ่งสือจิ่น เขาก็หน้าเจื่อนลงทันตา ทว่าก็ยังโค้งตัวให้อย่างมีมารยาท แล้วกล่าวทักทาย “คารวะแม่นางสือจิ่น”
เฟิ่งสือจิ่นะโลงมาจากหลังม้า “ขันทีหวัง ข้าไม่กล้ารับการคารวะจากท่านหรอก”
“แม่นางสือจิ่น อย่าล้อบ่าวเล่นเลย”
เฟิ่งสือจิ่นไม่ได้ชักสีหน้าใส่ขันทีหวัง ขันทีส่วนใหญ่ล้วนมีนิสัยกะล่อนเป็ธรรมดา โดยเฉพาะขันทีที่มีตำแหน่งสูงส่งเหมือนกับขันทีหวัง ไม่เช่นนั้น เขาคงขึ้นมาเป็ขันทีอันดับหนึ่งของวังหลวงไม่ได้หรอก แม้เขาจะมีส่วนร่วมในเหตุการณ์คืนนั้น แต่ต่อมา หากขันทีหวังไม่ได้จงใจเปิดทางให้ ซูกู้เหยียนหรือจะบุกเข้ามาได้ หากเขาคิดจะรั้งจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องรั้งซูกู้เหยียนได้อย่างแน่นอน ที่เขาทำเช่นนี้ ก็เพราะอยากให้ตนพอจะเหลือทางหนีทีไล่บ้าง ไม่ต้องถูกราชครูแค้นเคืองมากนัก
เฟิ่งสือจิ่นไม่อยากเห็นใบหน้าของขันทีหวังอีกแม้แต่วินาทีเดียว นางหยิบขวดยาออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยื่นไปให้ขันทีหวัง “นี่เป็ยาที่ปรุงขึ้นเพื่อฝ่าา ให้ฝ่าาเสวยมันลงไปสามสิบนาทีก่อนจะเริ่มโปรดปรานพระสนม” เมื่อขันทีหวังรับยาไปแล้ว เฟิ่งสือจิ่นจึงพูดขึ้นอีก “ตอนนี้ ข้าจะไปที่ตำหนักจาวหยวนเสียหน่อย มียาบางอย่างที่ต้องให้พระสนมเพิ่มเติม ขันทีหวัง เชิญตามสบายเถิด”