แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่ต่างเห็นว่าการมีโทรศัพท์ที่บ้านเป็สัญลักษณ์แสดงถึงฐานะและหน้าตาของพวกเขา ใครที่มีโทรศัพท์ที่บ้านถือเป็เื่น่าภูมิใจยิ่ง พวกเขาอยากจะป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ด้วยซ้ำว่า ‘บ้านของฉันมีโทรศัพท์แล้ว!’ ดังนั้นการที่ชื่อของพวกเขาถูกตีพิมพ์ในสมุดหน้าเหลืองนั้น จึงถือเป็เหรียญกล้าหาญสำหรับครอบครัวที่มีโทรศัพท์
ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครไปฟ้องบริษัทที่พิมพ์สมุดหน้าเหลืองเท่านั้น เพราะขนาดคนที่เกี่ยวข้องเห็นชื่อกับเบอร์โทรศัพท์ของตนถูกพิมพ์ลงไปในสมุดหน้าเหลือง ยังรู้สึกปลื้มปีติยินดีมากกว่าเสียอีก พวกเขาอาจคิดว่าบริษัทนี้โง่มากถึงได้พิมพ์เบอร์โทรศัพท์ของพวกเขาลงไปฟรี ๆ และยังช่วยให้ชื่อเสียงของครอบครัวเขาโด่งดังมากขึ้น
คังอิงพบว่าสมุดหน้าเหลืองที่เธอซื้อมาในราคาสิบห้าหยวนนั้นคุ้มค่ามาก สมุดหน้าเหลืองเป็เครื่องมือที่ทำให้เธอได้รู้จักโครงสร้างทั้งหมดของหน่วยงานรัฐบาลและบริษัทต่างๆ ในยุคสมัยนี้อย่างละเอียด
หลังจากค้นหาข้อมูลอย่างถี่ถ้วนก็พบว่าตอนนี้มีสำนักงานใหญ่ธุรกิจด้วย ดูเหมือนโครงสร้างบริษัทแบบนี้จะคงอยู่ไปจนถึงยุคสมัยหลังๆ ดังนั้นห้างสรรพสินค้ามิตรภาพคงจะเป็รัฐวิสาหกิจที่อยู่ภายใต้สำนักงานใหญ่ธุรกิจอย่างแน่นอน
คังอิงจดจำเบอร์โทรศัพท์ของสำนักงานใหญ่ธุรกิจไว้ และเดินไปยังร้านโทรศัพท์สาธารณะของเอกชนแห่งหนึ่งในเมือง แล้ววางเงินมัดจำห้าหยวน ก่อนจะโทรไปที่สำนักงานใหญ่ธุรกิจทันที
หลังจากต่อสายได้แล้ว เสียงรอสายก็ดังขึ้นอยู่หลายครั้งจึงจะมีคนรับสาย เสียงผู้หญิงที่ฟังสุขุมเอ่ยขึ้น “สวัสดีค่ะ ใครคะ?”
“ขอโทษนะคะ ผู้อำนวยการหลี่อยู่ไหมคะ?” คังอิงถามด้วยน้ำเสียงไพเราะที่ดูไม่ออดอ้อนจนเกินไป
เสียงของคังอิงนั้นไพเราะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่เธอพูดช้าๆ เนื่องจากตอนนี้โทรศัพท์ไม่ได้เห็นหน้ากัน ดังนั้นเสียงจึงเป็นามบัตรที่ใช้แนะนำตัวเองได้ดีที่สุด
ถึงแม้ว่าจะเป็ผู้หญิงเช่นกัน แต่ด้วยน้ำเสียงไพเราะทางโทรศัพท์ แถมยังใช้คำพูดที่สุภาพอ่อนโยน อีกฝ่ายจึงไม่รู้สึกต่อต้าน เธอตอบว่า “คุณหลี่อยู่ค่ะ คุณเป็ใครคะ? ให้ฉันเรียกให้เขารับสายไหม?”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอกค่ะ ขอบคุณนะคะ เดี๋ยวฉันจะไปพบเขาเอง”
หลังจากที่คังอิงยืนยันว่ามีหน่วยงานนี้ และมีผู้รับผิดชอบคนนี้แล้ว เธอก็กล่าวขอบคุณอีกฝ่าย ก่อนจะวางสายไป
การโทรศัพท์ในยุคสมัยนี้นับว่าเป็เื่ที่ทั้งเปลืองเงินและเอาไว้แต่โอ้อวด คนส่วนใหญ่ที่โทรศัพท์กันมักจะพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น เพราะรู้ว่าการพูดคุยกันในทุกๆ วินาทีล้วนต้องเสียเงินทั้งสิ้น ดังนั้นการที่สามารถควบคุมอารมณ์แล้วพูดคุยกับอีกฝ่ายทางโทรศัพท์อย่างสุภาพและอ่อนโยนเช่นนี้ ถือเป็ความเพลิดเพลินอย่างหนึ่งสำหรับฝ่ายที่รับโทรศัพท์
พอคังอิงวางสาย เ้าของร้านก็มองดูนาฬิกาจับเวลา แล้วกล่าวว่า “ยังไม่ถึงหนึ่งนาทีเลย คิดเงินคุณสองหยวนพอ”
คังอิงคิดในใจ ‘หนึ่งนาที บริษัทโทรคมนาคมคิดเงินแค่เจ็ดเหมา แต่เธอกลับคิดเงินฉันตั้งหนึ่งหยวน ธุรกิจแบบนี้ช่างเป็ธุรกิจที่ทำกำไรงามจริงๆ เลยนะ’
เ้าของร้านคืนเงินมัดจำสามหยวนให้เธอ
แน่นอนว่าถ้าจะพูดกันตามตรง แม้จะเป็ธุรกิจที่ทำกำไรงาม แต่คนที่มาโทรศัพท์ทั้งวันทั้งคืนก็มีไม่มากนัก นอกจากคู่รักทางไกล ใครที่ไหนจะยินดีเสียเงินเพื่อคุยกัน?
คังอิงขึ้นจักรยาน และมุ่งหน้าไปหาผู้อำนวยการหลี่ ผู้รับผิดชอบสำนักงานใหญ่ธุรกิจ แต่นอกจากที่อยู่ที่เขียนอยู่ในสมุดหน้าเหลืองแล้ว ตอนนี้เธอไม่รู้เื่อะไรเลย ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ทั้งยังไม่รู้จักผู้อำนวยการหลี่อีกด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้คังอิงจึงทำได้เพียงรวบรวมความกล้าจากพนักงานขายที่เธอเคยเป็ในชาติที่แล้ว ‘การเยี่ยมลูกค้าที่ไม่รู้จัก!’
คังอิงเดินทางไปหาเขาตัวเปล่า เธอคิดว่าการซื้อของฝากไปให้ผู้อำนวยการหลี่คงไม่เหมาะสมนัก เพราะเธอเพิ่งเคยเจอหน้าผู้อำนวยการหลี่เป็ครั้งแรก อย่างไรเสียเขาคงไม่กล้ารับของฝากจากเธอแน่ๆ
สำนักงานของบริษัทตั้งอยู่ที่เลขที่ 182 ถนนเฉิงหนาน อยู่ห่างจากห้างสรรพสินค้ามิตรภาพเพียงแค่ถนนสายเดียว แม้จะไม่ใช่ย่านทำเลทองใจกลางเมือง แต่ก็ตั้งอยู่ในที่ที่ดี
หน่วยงานรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจในยุคสมัยนี้ต่างก็เลือกสร้างอาคารสำนักงานในทำเลที่ดี ดังนั้นหน่วยงานที่มั่นคงอย่างสำนักงานอุตสาหกรรมและพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ธุรกิจจึงเลือกสร้างสำนักงานอยู่ในย่านที่เจริญรุ่งเรืองของเมือง ซึ่งถือเป็เื่ปกติธรรมดา
นี่เป็ครั้งแรกที่คังอิงเข้าร่วมการเจรจาทางธุรกิจนับั้แ่กลับมาเกิดใหม่ เธอรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย เธอไม่รู้ว่าทักษะการเจรจาต่อรองที่สั่งสมมาในชาติที่แล้ว จะยังคงใช้ได้ดีในโลกยุคนี้หรือเปล่า
คังอิงมีกำลังใจเต็มเปี่ยม เธอปั่นจักรยานราวกับล้อไฟ จนในที่สุดก็มาถึงเลขที่ 182 ถนนเฉิงหนาน
สองข้างทางของถนนเฉิงหนานปลูกต้นมะม่วงเอาไว้เป็ไม้ประดับ ทำให้ถนนสายนี้มีกลิ่นอายของเขตร้อน
ตอนนี้เป็่ฤดูร้อน ผลมะม่วงขนาดเท่าฝ่ามือห้อยระย้าอยู่เต็มต้น ริมถนนมีเด็กอายุสิบสามสิบสี่ปีกำลังใช้ไม้ไผ่สอยมะม่วงที่อยู่บนต้น ส่วนเด็กที่ตัวเล็กกว่าก็เอาชายเสื้อยืดของตนเองรวบขึ้นมาทำเป็ถุงเพื่อรับมะม่วงที่ร่วงลงมาจากต้น
พอเด็กๆ รับมะม่วงได้ ก็ส่งเสียงร้องอย่างตื่นเต้น หากรับมะม่วงพลาดจนร่วงหล่นลงพื้น พวกเขาก็จะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเสียดาย
แต่ว่าเด็กๆ ก็ไม่ได้รังเกียจอะไร ขอแค่เพียงมะม่วงไม่เละ พวกเขาก็ยังคงหยิบมะม่วงที่ร่วงบนพื้นใส่ตะกร้าใบเล็กด้านข้าง
ภาพที่เด็กๆ เล่นไปทำงานไปแบบนี้ ไม่มีให้เห็นในยุคสมัยก่อนที่คังอิงจะกลับมาเกิดใหม่เลยสักนิด พอถึง่ปิดเทอมฤดูร้อน เด็กๆ ในเมืองส่วนใหญ่จะถูกส่งไปเรียนพิเศษ เรียนทักษะพิเศษต่างๆ พอปิดเทอมก็ไม่ได้พักผ่อน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างก็รีบเร่ง พวกเขาต้องไปๆ มาๆ ระหว่างสถาบันกวดวิชา จะมีเวลาว่างให้เล่นได้อย่างไรกัน
พอเห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของเด็กๆ ที่อยู่ใต้ต้นไม้ คังอิงพลันรู้สึกมีความสุขตามไปด้วย
เธอจอดจักรยานไว้ที่หน้าประตูสำนักงานใหญ่ธุรกิจ บริษัทแห่งนี้ชื่อเสียงโด่งดัง แต่กลับมีอาคารสำนักงานที่ดูเรียบง่าย มันตั้งอยู่ท่ามกลางร้านค้าต่างๆ บนถนนเฉิงหนาน อาคารอิฐสีเทาไม่ได้ดูโดดเด่นแต่อย่างใด
ชั้นหนึ่งมีห้องรับรองแขก คุณลุงคนหนึ่งที่สวมแว่นสายตายาวกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมองคังอิงแวบหนึ่ง คังอิงกังวลใจว่าเขาจะสอบถามเธอ ทว่าลุงคนนั้นเหลือบมองเธอแวบเดียวก่อนจะก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ
เขาคงเห็นว่าเธอสวมชุดกระโปรงยาวถึงเข่าสีฟ้าอ่อนดูเหมือนข้าราชการหญิง จึงไม่ได้ถามอะไร ปล่อยให้เธอเข้าไปข้างในอย่างง่ายดาย
คังอิงตั้งใจจะไปติดต่อราชการ จึงแต่งตัวให้ดูดี เธอเลียนแบบการแต่งกายของข้าราชการหญิงในยุคนี้ แต่งหน้าแต่งตัวอย่างพิถีพิถัน ทำให้ดูสง่างาม และดูเหมือนจะได้ผลจริงๆ
คังอิงเดินขึ้นไปชั้นสองได้อย่างราบรื่น เธอเห็นประตูห้องที่ติดป้าย ‘สำนักงาน’ เปิดอยู่ แต่ยังไม่เดินเข้าไป เธอแค่เคาะประตู ‘ก๊อกๆ’ เสียก่อน
มีคนสี่ห้าคนกำลังทำงานอยู่ในห้องทำงาน คนที่อยู่ใกล้ประตูมากที่สุดก็คือหญิงสาวอายุสามสิบกว่าๆ คนหนึ่ง เธอเงยหน้าขึ้นมองคังอิงแวบหนึ่งแล้วถามว่า “คุณมาหาใคร?”
คังอิงตอบอย่างสุภาพ “ฉันมาหาผู้อำนวยการหลี่ค่ะ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ไหมคะ?”
พอได้ยินเสียงของคังอิง อีกฝ่ายก็รู้สึกคุ้นหู จึงกล่าวว่า “เมื่อกี้คุณเป็คนโทรมาถามหาผู้อำนวยการหลี่ไม่ใช่เหรอ?”
คังอิงได้ยินเสียงของหญิงสาวคนนั้น เธอคือคนที่รับโทรศัพท์เมื่อครู่นี่เอง คังอิงจึงแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ใช่แล้วค่ะ ฉันเอง เมื่อกี้คุณเป็คนรับโทรศัพท์ใช่ไหมคะ?”
“อืม ฉันเอง ผู้อำนวยการหลี่อยู่ค่ะ แต่ตอนนี้เขามีแขก คุณรอสักครู่ก็แล้วกันนะ”
หญิงสาวคนนั้นเห็นว่าคังอิงมีท่าทางที่สง่างามใจกว้าง และไม่ดูหวาดกลัว จึงไม่กล้าดูถูกเธอ แล้วพูดจาตอบกลับด้วยท่าทางสุภาพ
คังอิงกล่าวขอบคุณอีกฝ่าย กำลังคิดว่าเธอจะยืนรอผู้อำนวยการหลี่ตรงไหนดี แต่หญิงสาวคนนั้นเห็นเธอมองไปรอบๆ จึงเอ่ยขึ้น
“เข้ามานั่งรอข้างในก่อนสิ แขกของผู้อำนวยการหลี่คงไม่ออกไปง่ายๆ หรอก คุณคงต้องรอนานแน่ๆ”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้