บทที่ 33 าแเก่ากำเริบ
ลู่เหว่ยจุนโบกมือเพื่อห้ามปราม จากนั้นจึงพูดว่า “ไม่! ห้ามใครตามไปคุ้มครองเขา อวี่เอ๋อร์สามารถรับมือกับมันได้ เื่สำคัญในตอนนี้ของพวกเรา คือต้องพยายามยื้อเวลาและทำลายพันธมิตรของกองกำลังศัตรูให้มากที่สุด”
“ตระกูลเมิ่งคิดว่าตระกูลลู่ของเราเป็ศัตรูมานานแล้ว ปมความขัดแย้งนั้นไม่อาจแก้ไขได้ เขาหนิงชุยเฟิงก็เลือกยืนตรงข้ามกับตระกูลลู่ของเราอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเกี่ยวข้องกับการปรุงยาของอวี่เอ๋อร์ เช่นนั้นขอแค่เฝ้าติดตามดูทั้งสองฝ่ายอย่างใกล้ชิดเป็พอ” หลังจากหยุดไปพักหนึ่งก็พูดต่อว่า “วันนี้ที่มีหลายตระกูลมาเยี่ยมเยียน ยังพอยื้อเวลาออกไปได้สักระยะหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าสูงสุดลู่ไท่ชัง ได้ส่งกระบี่บินมาส่งข่าวแล้วว่าจะกลับมาที่นี่ภายในครึ่งปีนี้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลานั้น ต่อให้ต้องประกาศา พวกเราก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป ส่วนเื่ทางอวี่เอ๋อร์ เขาเองก็ส่งข่าวมาแล้วว่า ยามนี้มีแผนการอื่นอยู่ บอกให้พวกเราไม่ต้องเป็กังวล!”
แม้ว่าผู้เฒ่าหลายคนจะสงสัยเกี่ยวกับแผนการของลู่อวี่ แค่เขาคนเดียวจะรับมือกับวิธีการอันดำมืดเ่าั้ได้อย่างไร ต่อให้มีผู้เฒ่าห้าคอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ แต่ก็แทบจะเป็ไปไม่ได้เลย เพราะนิสัยของผู้เฒ่าห้าลู่หงินั้น คล้ายกับลู่อวี่ในชาติก่อนหน้านี้ไม่น้อย
ในด้านทักษะการต่อสู้ก็ยังไม่เก่งกาจเท่าลู่อวี่ อีกทั้งยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้มากนัก มีเพียงพลังยุทธ์ที่พอจะนับได้ว่าเป็ยอดฝีมือผู้หนึ่ง ถึงพลังยุทธ์จะสูง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า เขาจะแข็งแกร่งในการต่อสู้ มิเช่นนั้น หากทุกคนเทียบกันเพียงพลังยุทธ์ คงรู้ผลแพ้ชนะแล้ว ไม่จำเป็ต้องต่อสู้กันจนตัวตาย
แต่ในฐานะของบิดา การที่ลู่เหว่ยจุนพูดเช่นนี้ โดยไม่มีสีหน้าเป็กังวล ย่อมเห็นได้ชัดว่าเขาเชื่อมั่นในตัวบุตรชาย เชื่อว่าลู่อวี่มีความสามารถในการปกป้องตนเอง ดังนั้น เขาจึงไม่ถามอะไรให้มากความ
สามเดือนต่อมา ในสวนหลังด้านหลังจวนที่พักของตระกูลลู่ในเมืองเทียนตูเซียน
ลู่อวี่กำลังนั่งเงียบๆ ในศาลา พลางดื่มชาิญญาสรรพคุณดีที่ ลู่เหว่ยผิง ผู้นำเชื้อสายทั้งเก้าของตระกูลลู่ส่งมาให้ ขณะจ้องมองไปยังห้องที่เงียบสงบ ซึ่งอยู่ไม่ไกลด้วยความคาดหวัง
ใน่สามเดือนที่ผ่านมา ลู่อวี่ไม่ได้ลงมือปรุงยาแม้แต่น้อย เขาเพียงสอนวิธีการปรุงยาบางอย่างให้ผู้เฒ่าห้าลู่หงิเท่านั้นขณะฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ลู่หนานก็คอยฟังเหมือนเป็หนอนที่ติดตามตัว
พร์ในการปรุงยาของลู่หงินั้นถือว่าดีที่สุดในตระกูลลู่แล้ว หลังจากสั่งสมประสบการณ์มานานกว่าร้อยปี และถูกชี้แนะจากปรมาจารย์ปรุงโอสถท่านหนึ่ง โดยไม่หวงวิชาความรู้แม้แต่น้อย ความรวดเร็วในความก้าวหน้าจึงไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะนึกภาพออก
ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามเดือน ลู่หงิก็เชี่ยวชาญวิธีการปรุงยาอายุวัฒนะขั้นหกอีกสองชนิดแล้ว แม้ว่าอาจจะยังไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ก็กลายเป็ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด และสิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือระดับขั้นพลังยุทธ์ของลู่หงิสูงกว่าของลู่อวี่ไม่น้อย เช่นนั้นแล้ว เพียงลู่อวี่ชี้แนะให้ไม่นาน ตระกูลลู่ก็จะมีคนปรุงโอสถขั้นห้าเพิ่มมาอีกคน ถึงเวลานั้น หากอำนาจของตระกูลลู่จะผงาดขึ้นมาก็คงไม่มีใครหยุดยั้งได้
วันนี้เป็วันที่ตู้เสวียนเฉิงจะออกจากฌานบำเพ็ญเพียร ลู่อวี่จึงมารออยู่ที่นี่ั้แ่เช้าตรู่ หลังจากตู้เสวียนเฉิงกินยาชะล้างอวี้จิง ก็ใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการสลายพิษดูดิญญาในร่างกาย และใช้เวลาอีกสองเดือนครึ่งที่เหลือไปกับการฟื้นฟูพลังยุทธ์ทั้งหมด
เป็อย่างที่เขาว่า ระยะเวลาเพียงสองเดือนครึ่งก็เพียงพอสำหรับเขา ตู้เสวียนเฉิงฟื้นฟูระดับขั้นพลังยุทธ์ได้มากถึงเจ็ดในสิบส่วนแล้ว เช่นนี้ความปลอดภัยของลู่อวี่เองก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย และไม่ต้องกังวลกับอะไรอีก
ยิ่งไปกว่านั้น ใน่นี้แม้ว่าระดับขั้นพลังยุทธ์ของลู่อวี่จะไม่ก้าวหน้าขึ้น แต่เขาก็ได้ฝึกฝนพลังวิเศษทั้งสองและเคล็ดวิชากระบี่บินจนเชี่ยวชาญ
พลังวิเศษอย่างแรกคือ ‘นิ้วทะลวงฟ้า’ เป็หนึ่งใน ‘เคล็ดวิชาไท่ซั่งฮุ่นหวันเจินฝ่า’ ซึ่งแบ่งออกเป็สามประเภท ลู่อวี่สามารถใช้ได้เพียงประเภทแรกเท่านั้น และยิ่งพลังวิเศษบริสุทธิ์และลึกล้ำมากเพียงใด พลังก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่จะไม่เกี่ยวข้องกับพลังยุทธ์มากนัก
ไม่เช่นนั้นต่อให้ลู่อวี่กินยาวิเศษของเซียนก็ไม่อาจใช้ได้ และหากพลังยุทธ์ยิ่งสูงขึ้น ก็จะมีพลังวิเศษระดับสูงปรากฏมากขึ้น แต่จะมีพลังวิเศษใดปรากฏขึ้นมา สิ่งนั้นไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของเขา เพราะก่อนหน้านี้ลู่อวี่เองก็ไม่เคยฝึกฝนมาก่อน ดังนั้นจึงตั้งตารอคอยไม่น้อย ทว่ายังไม่มีแผนการอื่นรองรับ
‘ไฟแท้หนิงคง’ พลังวิเศษประเภทที่สอง มันคือพลังเปลวไฟวิเศษที่ง่ายที่สุดประเภทหนึ่ง ซึ่งลู่อวี่เชี่ยวชาญมันเมื่อชาติก่อน แต่ด้วยคุณสมบัติและพลังวิเศษในการโจมตี นอกจากนั้น พลังวิเศษนี้ยังสามารถกำหนดวิธีการโจมตีได้ด้วยตัวของมันเอง ยกตัวอย่าง หากมีคนเปลี่ยนเปลวไฟให้กลายเป็นกไฟเพื่อโจมตีศัตรู หรือมีคนเปลี่ยนเปลวไฟให้กลายเป็ลูกธนูไว้ต่อสู้ แน่นอนหาก้าไปถึงจุดนั้น ย่อมต้องมีความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของเปลวไฟวิเศษนี้ และต้องมีพลังในการควบคุมมันอย่างแรงกล้า
หลังจากฝึกฝนมาได้สามเดือน ลู่อวี่ก็สามารถไปถึงจุดที่ทำได้อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องกินยาอายุวัฒนะใดๆ อีกทั้งพลังยังไม่ลดลง เหตุผลหลักคือ หลังจากฝึกฝนพร้อมกับยาปรับร่างสามหยาง เส้นลมปราณภายในร่างกายก็กว้างขึ้นและแข็งแกร่งขึ้น เช่นนั้นพลังปราณจึงบริสุทธิ์มากขึ้นเช่นกัน
แต่เคล็ดวิชากระบี่บินกลับไม่ก้าวหน้าขึ้น ด้วยระยะเวลาฝึกฝนสั้นเกินไป
ในขณะที่ลู่อวี่จมอยู่กับความคิด ทันใดนั้นแรงดูดซับขนาดมหึมาสายหนึ่ง ก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากห้องที่ปิดตายอยู่ไม่ไกล พลังิญญาฟ้าดินซึ่งไร้ตัวตนและไร้สี จากในรัศมีหนึ่งร้อยจั้งแผ่กระจายออกมาอย่างรวดเร็วถึงรัศมีร้อยลี้ และมากระจุกรวมตัวกันเป็ระลอกคลื่นขนาดมหึมาอย่างรวดเร็วบนท้องฟ้า
ดูเหมือนเมฆบนท้องฟ้าจะได้รับผลกระทบไปด้วย ถึงได้ม้วนรวมตัวกันเป็เกลียว พลันแยกตัวออกจากกันอย่างรุนแรง และหายไปในที่สุด โชคดีที่เหตุการณ์นี้ใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจก็จบลง แม้ว่าจะดึงดูดความสนใจของผู้คน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากเกิดความหวาดระแวง เป็เพราะนับั้แ่ระดับพลังขั้นพลังจิตขึ้นไป ทุกครั้งที่มีใครบรรลุขั้นพลังขึ้น ก็มักจะเกิดทัณฑ์์ที่แตกต่างกันออกไป
นี่ถือเป็่เวลาความสำเร็จของตู้เสวียนเฉิงใน่เวลาสุดท้ายแล้ว และเป็ผลมาจากยาอายุวัฒนะที่ลู่อวี่จัดหามาให้ใช้ฟื้นฟูพลัง มิเช่นนั้นคงต้องเจอกับทัณฑ์์ตอบกลับเพิ่มอีกสองเท่าตัว
ในห้องโถงใหญ่ของตำหนักเทพ พ่อบ้านอู๋หยงจื้อของตำหนักเทพในเมืองเทียนตูเซียน ผู้มีสมญานามในลัทธิเต๋าว่า หวั่นฉง มีพลังยุทธ์่ปลายขั้นฟันฝ่า เวลานี้กำลังหารือเื่ต่างๆ กับผู้ใต้บังคับบัญชาจากหลายฝ่าย ทันใดนั้นก็พลันััได้ถึงพลังปราณฟ้าดินในที่แห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังปั่นป่วนอย่างรุนแรง เขาทำหน้านิ่งและลุกขึ้นยืนทันที แล้วหันหน้ามองไปทางพลังปราณที่กำลังปั่นป่วนเป็ระลอกคลื่น
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนอื่นก็ััได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้เช่นกัน ต่างพากันทำหน้าถอดสีและยืนขึ้นโดยพร้อมเพรียง
“นายท่าน ที่นั่นคือที่ตั้งของตระกูลลู่! หรือว่าตระกูลลู่ จะซ่อนยอดฝีมือเอาไว้ในเมืองเทียนตูเซียนของเราอีก?”
“พลังชีวิตนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก! เฮ้ย? แล้วเหตุใดข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยกับพลังชีวิตนี้กัน”
“อย่างน้อยต้องเป็ยอดฝีมือขั้นตงซวน หรืออาจมีความเป็ไปได้ว่าจะเป็ขั้นเกิดเทพเ้า! อ่า ข้านึกออกแล้ว ไม่ใช่ว่านี่เป็พลังของ ‘เทพไท่เสวียน’ ตู้เสวียนเฉิงหรือ? ทว่าเขาถูกพิษดูดิญญากลืนกินไม่ใช่หรือ อีกทั้งพลังยุทธ์ยังเสียหาย? นึกว่าไปตายอยู่ที่ใดแล้ว ที่แท้ เขาหลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองเทียนตูเซียนของเรามาตลอด?”
“เหอะ เช่นนี้ก็ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือ? ครานี้ยังมาปรากฏตัวอยู่ในถิ่นของตระกูลลู่ด้วย หากเดาไม่ผิด คนปรุงโอสถขั้นห้าผู้ลึกลับของตระกูลลู่ ไม่เพียงแต่ฝีมือสูงส่งกว่าคนผู้นั้นของเขาหนิงชุยเฟิง แต่ยังมีความรู้ในเส้นทางการปรุงยามากกว่า มิเช่นนั้นคงเป็ไปไม่ได้เลย ที่จะแก้พิษดูดิญญา ซึ่งเป็หนึ่งในพิษร้ายแรงที่สุดเมื่อครั้งโบราณกาลได้ ดูเหมือนว่าเมืองเทียนตูเซียนของเรา จะมีบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว” เมื่อพูดเช่นนี้ ชายชราหน้าแดงก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกอีกครั้ง เขาหัวเราะเบาๆ แล้วพูดว่า “คราวนี้เขาหนิงชุยเฟิงได้ยุ่งยากขึ้นแน่ มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งเช่นนี้เพิ่มมาอีกคน หากไม่รีบจัดการโดยเร็ว ก็รอตกจากตำแหน่งได้เลย!”
“พ่อบ้าน แล้วเราควรทำอย่างไรกันดี? ด้วยพลังยุทธ์และพลังวิเศษของคนผู้นั้น รวมทั้งอาวุธเวทพลังทำลายล้างสูงทั้งสองชิ้นในมือของเขา ต่อให้เราบุกเข้าไปพร้อมกันทั้งสองคน ก็คงถูกฆ่าทิ้งทันที เว้นแต่จะรายงานต่อผู้เฒ่าสูงสุด…” ชายชราวัยห้าสิบผู้หนึ่ง ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ปานกลางและมีผมขาวรุงรัง กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ผู้รอบรู้อู๋หยงจื้อหรือหวั่นฉง ทำเสียงประชดประชัน เดิมทีเขาวางแผนที่จะรอให้เขาหนิงชุยเฟิงกับตระกูลเมิ่งเปิดศึกกับตระกูลลู่ และรอให้ตระกูลใหญ่ รวมถึงสำนักต่างๆ กดดันตระกูลลู่ก่อน เมื่อถึงเวลานั้นเขาจะใช้กลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ลงมือจัดการ และแน่นอนว่าต้องกำราบตระกูลลู่ได้อยู่หมัด ทุกอย่างของตระกูลลู่ ทรัพย์สินมากมาย วัตถุดิบล้ำค่า หรือแม้แต่คนปรุงโอสถ ตำหนักเทพของพวกเขาก็พร้อมหยิบคว้ามาครองได้ตามอำเภอใจ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
‘เทพไท่เสวียน’ นั้นมีอายุมากกว่าครึ่งของผู้เฒ่าสูงสุดคนปัจจุบันของตำหนักมหาเทพ ทั้งยังเป็บุคคลในตำนานที่ไม่ว่าใครต่างรู้จักเป็อย่างดี ทั้งพลังยุทธ์และพลังวิเศษไม่ใช่สิ่งที่คนทางนี้จะเทียบเคียงได้ แต่โชคดีที่ ‘เทพไท่เสวียน’ ผู้นี้เพิ่งฟื้นฟูพลังยุทธ์กลับมา คงยังฟื้นตัวกลับมาได้ไม่เต็มที่ ผนวกกับมีคนจากตำหนักมหาเทพคอยสนับสนุนอยู่ เขาจึงไม่จำเป็ต้องใส่ใจนัก
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่า เป็ความคิดที่โง่เง่าไม่น้อย ที่คิดจะวางแผนต่อต้านตระกูลลู่ในยามนี้ ดังนั้นผู้รอบรู้หวั่นฉง อู๋หยงจื้อ จึงกล่าวต่ออย่างเ็า “เรียกคนที่ถูกส่งออกไปกลับมา ในเมื่อคนตระกูลลู่สามารถกำจัดพิษให้เทพไท่เสวียนได้ หากมีคนทำอันตรายตระกูลลู่ ครานี้ เทพไท่เสวียนคงจะไม่อยู่เฉยแน่ แต่น้อยคนนักที่จะรู้จักเขา อีกอย่างการปลดปล่อยพลังปราณเมื่อครู่นี้นับว่าสั้นเกินไป หลายคนคงคิดว่าที่พลังปราณแปรปรวนในครั้งนี้ คงมีคนในตระกูลลู่บรรลุขั้นพลังยุทธ์ เช่นนั้นก็ให้พวกเราเฝ้าจับตาดูสถานการณ์เงียบๆ จะดีกว่า!”
“ฮ่าๆ ถูกต้อง แม้ว่าเราจะไม่อาจทำอะไรตระกูลลู่ได้ในครั้งนี้ แต่หากโจมตีความแข็งแกร่งของกองกำลังอื่นได้ คงเป็ประโยชน์ต่อตำหนักมหาเทพไม่น้อย ที่จะกำราบโลกบำเพ็ญเพียรในเทียนตูลงได้” มีคนที่มีความสุขอยู่บนความทุกข์ของผู้อื่นเอ่ยขึ้น
เทพไท่เสวียนตู้เสวียนเฉิง มีชื่อเสียงในโลกบำเพ็ญเพียรมาเป็เวลาหลายพันปี ในสายตาของผู้นำระดับสูงของตระกูลใหญ่และสำนักหลัก จึงจัดให้เขาเป็บุคคลที่จะไปทำให้ขุ่นเคืองใจไม่ได้
แต่น้อยคนนักจะได้พบเห็นเขาผู้นี้จริงๆ เช่นนั้นแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์พลังปราณผันผวนอย่างรุนแรง ตรงที่ตั้งของตระกูลลู่ จนทำให้เกิดความสนใจ นำไปสู่การคาดเดาต่างๆ นานาของผู้คนจำนวนมาก แต่กลับไม่มีใครจดจำพลังปราณของยอดฝีมือผู้นี้ได้ กลับพากันคิดว่า มียอดฝีมือคนใดจากตระกูลลู่ บรรลุขั้นพลังยุทธ์ขึ้นได้ในเวลาเช่นนี้ เหตุนี้จึงทำให้คนที่มีเจตนาไม่ดีต่อตระกูลลู่ยิ่งต้องระมัดระวังตัวมากขึ้นและไม่กล้าลงมือบุ่มบ่าม
“ข้าขอแสดงความยินดีกับท่านผู้เฒ่าตู้ ที่ฟื้นฟูพลังยุทธ์ได้อย่างสมบูรณ์!” ลู่อวี่แสดงความยินดีอย่างจริงใจ จากที่เขาคอยสังเกต ก็ดูออกในทันทีว่า ตอนนี้ตู้เสวียนเฉิงฟื้นตัวกลับมามีพลังยุทธ์่ปลายขั้นตงซวนแล้ว ขอเพียงให้เวลาเขาอีกสักสองสามปี ต้องบรรลุขั้นพลังยุทธ์ ก้าวขึ้นสู่ขั้นเกิดเทพเ้าได้สำเร็จอีกครั้งแน่
ตู้เสวียนเฉิงหัวเราะเสียงดัง ในเวลาเดียวกันก็ตอบกลับไปอย่างมีมารยาท แล้วพูดว่า “หากไม่มียาวิเศษของสหายน้อย ข้าคิดว่าอีกไม่นานคงได้กลายเป็ผีเร่ร่อนแน่ หรืออาจตายจากไปแล้ว คงไม่มีความสุขทุกวันเช่นนี้! ยามนี้ฟื้นฟูระดับขั้นพลังยุทธ์กลับมาได้เก้าในสิบส่วนแล้ว ภายภาคหน้า ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ย่อมต้องปกป้องคุ้มครองสหายน้อยให้พ้นภัยได้อย่างแน่นอน”
ลู่อวี่เองก็ไม่เกรงใจเช่นเดียวกัน เขายิ้มพลางส่ายหน้าพูดตอบกลับว่า “ท่านผู้เฒ่าไม่จำเป็ต้องเกรงใจ ข้าเพียงอยากขอให้ท่านมาเป็ผู้ปกป้องให้ก็เท่านั้น อันตรายที่ต้องเผชิญอย่างไรย่อมไม่อาจหลีกหนีได้ วิชาการฝึกฝนพลังก็เช่นกัน เพียงแต่หากต้องเผชิญหน้ากับบรรดาโจรย่องเบาที่ไม่อาจต้านทานได้ คงต้องรบกวนท่านผู้เฒ่าตู้ช่วยขับไล่หรือสังหารให้!”
ตู้เสวียนเฉิงพึงพอใจกับท่าทีของลู่อวี่ไม่น้อย เขาไม่ถ่อมตัวหรือหยิ่งผยอง แต่ซื่อสัตย์และจริงใจ นี่คือสิ่งที่เขาชื่นชมอีกฝ่ายมากที่สุด และเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดสุดท้ายของลู่อวี่ดี
เพราะเวลานี้ เขาเองก็สังเกตเห็นว่ามียอดฝีมือหลายคนมาที่ตระกูลลู่ นึกไปถึงตรงนั้นก็พลันยิ้มเยาะ และกำลังจะสอนบทเรียนให้กับคนเ่าั้ ลู่อวี่เองก็รีบพูดตอบอย่างรวดเร็ว “คนพวกนี้มาที่นี่เพื่อสอดแนมนั้น คงไม่กล้าลงมือบุ่มบ่ามที่เมืองเทียนตูเซียน ท่านผู้เฒ่าตู้ไม่จำเป็ต้องเปิดเผยตัวตน ปล่อยให้คนของตระกูลลู่จัดการเื่นี้ จะได้ไม่ต้องเสียอารมณ์”