ทาสที่อยู่ภายใต้การดูแลของหลานเยว่…นางมิได้มองพวกเขาเป็เพียง คนคุ้มกัน แต่กลับหล่อหลอมพวกเขาให้กลายเป็ มือสังหารในเงามืด…อาวุธมีชีวิตที่ซ่อนอยู่ภายใต้เปลือกมนุษย์ นางเป็ผู้ฝึกฝนพวกเขาด้วยมือตัวเองทุกกระบวนท่า ทุกการหายใจ ล้วนถูกปรับแต่งให้ไร้ซึ่งอารมณ์ ความลังเล หรือความกลัว
ภายในรั้วจวนอันเงียบสงบ...มีเสียงเหล็กกระทบพื้นเบา ๆ ยามพวกเขาเคลื่อนไหวราวเงาสีหน้าของพวกเขาเรียบเย็นไร้อารมณ์ ไม่แสดงแม้กระทั่งความเ็ปมีเพียงแววตา...ที่แน่นิ่งดั่งสายน้ำใต้ผิวธารไม่ไหวเอน...ไม่กระเพื่อมราวกับว่าทั้งชีวิต มีเพียงหน้าที่
“สีหน้าเรียบเฉย… แววตาไร้แสง ความเคลื่อนไหวราวกับหุ่นไร้ชีวิต”
หลานเยว่ยืนพินิจเหล่าทหารยามของตนเอง ทาสที่นางเลือกมา ฝึกเองกับมือ และหล่อหลอมให้กลายเป็มือสังหารชั้นยอด ทุกคนล้วนเชื่อฟังโดยไม่มีคำถาม แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า… แต่ก็แข็งกระด้างจนเกินไป
“ใบหน้าแบบนี้…หากลูกข้าได้เห็นเข้า คงหวาดกลัวจนร้องไห้แน่”
น้ำเสียงของนางเรียบเรื่อย แต่ทว่าเจือความผิดหวังจาง ๆนี่ไม่ใช่สิ่งที่นาง้า
“เห็นที…ข้าคงต้องฝึกพวกเ้าใหม่เสียแล้ว” นางกล่าวพลางถอนหายใจเบา ๆ ครานี้ นางมิได้สอนให้พวกมันซ่อนตัวอย่างเงามิได้สอนวิธีปลิดชีพในพริบตาหากแต่…
นางให้บ่าวรับใช้ชายหญิงผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนมาสอนสิ่งที่ยากยิ่งกว่าการสังหาร การยิ้ม… การหัวเราะ… การเป็มนุษย์
เหล่าทหารผู้เคยลิ้มรสเพียงความโหดร้ายของโลก ยืนตัวแข็งทื่อกับคำสั่งนี้สีหน้าเปื้อนรอยแผลในใจ ทำได้เพียงสั่นเทา…เมื่อบ่าวรับใช้กล่าวว่า “ลองยิ้มดูสิเ้าค่ะ”
มันไม่ง่ายเลยกับคนที่เคยถูกเหยียบย่ำซ้ำจนสูญเสียความเป็คนแต่หลานเยว่รู้ดี… เพราะนางเองก็เคยเป็เช่นนั้น
“ข้าสอนพวกเ้าฆ่า… ตอนนี้ข้าจะสอนพวกเ้าใช้ชีวิต”
ดวงตาของนางสะท้อนเพียงเงาสีเทา เยือกเย็น… แต่ไม่ว่างเปล่าเพราะแม้จะมีเพียงเปลือกนอกที่แสดงความอบอุ่นได้แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว…สำหรับคนที่อยากปกป้องบางสิ่งด้วยชีวิตที่เคยเปื้อนเื
“ข้ารับใช้ของเ้ามันอะไรกัน...”
เสียงห้วนดังขึ้นจากเงาศาลา ซูจิ่งหลงในชุดคลุมไหมหรู ยืนเท้าสะเอวมองเหล่าทหารที่ยืนเรียงแถวราวรูปสลัก ดวงตาของพวกเขาไร้ซึ่งอารมณ์ เ็า จนไม่แม้แต่จะปรายตามองเขา ชายผู้ที่โลกมืดขนานนามว่า พ่อค้าแห่งความตาย
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเหลือบสายตามองไปยังหลานเยว่ ซึ่งนั่งจิบชาอย่างสงบอยู่ริมระเบียงไม้
“สีหน้า...แววตา...ไม่มีแม้แต่ความเกรงใจ” เขากล่าวเรียบ แฝงแววตำหนิแ่เบาหลานเยว่วางถ้วยชาลงช้า ๆ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าฝึกพวกเขาได้เพียงเท่านี้” น้ำเสียงนางราบเรียบ ไม่แฝงข้อแก้ตัว ไม่มีความรู้สึกผิดใด ๆ เจืออยู่ในถ้อยคำนั้นเพียงแค่ความจริงใจ ซูจิ่งหลงหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ “พวกมันไม่กลัวข้า...แต่กลับยิ้มให้เด็กนั่นเสียอย่างนั้น”
หลานเยว่ไม่ตอบ นางเพียงทอดสายตาไปยังร่างเล็กของหลานจิ่วอวิ๋นซึ่งกำลังวิ่งเล่นอยู่บนลานหญ้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาบริสุทธิ์เกินจะเปื้อนเงาหม่นของโลกภายนอก
“ข้ามาวันนี้…เพื่อแจ้งข่าว” เขาเอ่ยต่อขณะนั่งลงตรงข้าม นำตรารับรองที่ห่อผ้าอย่างดีวางลงบนโต๊ะไม้เคลือบเงา
“หอจูิจะเปิดอีกสามวัน จิ่วอวิ๋นจะเข้าเรียนในฐานะหลานชายของข้า ทุกอย่างข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว” หลานเยว่พยักหน้าเบา ๆ ไม่มีคำขอบคุณ ไม่มีความยินดี นางเพียงเงียบ...แล้วหันไปมองท้องฟ้าเบื้องไกลเพราะนางรู้ดีโลกที่ลูกของนางกำลังจะก้าวเข้าสู่...ไม่ใช่โลกเดียวกับที่เขาเคยวิ่งเล่นอยู่ตอนนี้
โลกของเด็กน้อย คือโลกที่เต็มไปด้วยแสงตะวัน อบอุ่น อ่อนโยน และเปี่ยมด้วยเสียงหัวเราะแต่โลกของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะของนาง กลับเป็โลกที่ไร้แสงสว่าง มีเพียงสีเทาหม่นมัวของความสูญเสีย ความเ็า ความไว้ใจคือของฟุ่มเฟือย และความอบอุ่นก็เปรียบได้กับของล้ำค่าในดินแดนรกร้าง ทว่าเมื่อมองดวงตาบริสุทธิ์ของหลานจิ่วอวิ๋นในความเงียบ...นางกลับภาวนา
“ขอให้โลกของเขา...อยู่ใต้แสงตะวันตลอดไป” ไม่ใช่เพราะนางเชื่อว่าโลกใบนี้งดงามแต่เพราะนาง หวัง ว่าอย่างน้อย…จะมีใครคนหนึ่งไม่ต้องเติบโตมากลายเป็เช่นนาง
“ซูจิ่งหลง ข้า้าให้ลูกน้องของข้า...มีโอกาสหารายได้เสริมบ้างเล็กน้อย” ถ้อยคำของหลานเยว่กล่าวเรียบง่าย ทว่าสำหรับคนที่คลุกคลีในโลกมืดย่อมเข้าใจทันทีสิ่งที่นางหมายถึง คือ งานลอบสังหารการรับภารกิจในเงามืด นอกจากจะเป็การสะสมทรัพย์ ยังเป็โอกาสขัดเกลาฝีมือ สั่งสมประสบการณ์ให้คนของนางกลายเป็อาวุธที่เฉียบคมยิ่งขึ้น
ซูจิ่งหลงหลุดหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความพึงใจปนขบขัน
“เหอะ เหอะ...สมกับเป็เ้าดี” เขาไม่ใช่คนใกล้ชิดนางนัก แต่ในฐานะพันธมิตรการค้า เขาย่อมรู้ดีว่า หลานเยว่โปรดปรานงานแบบใด “ข้ารู้ดีว่าเ้าชอบ งานสะสาง มากกว่า งานฆ่าคนดี” ซูจิ่งหลงเอ่ยพลางยิ้มบาง ๆ พลางยกจอกชาขึ้นดื่ม
“หากเป็พวกตะกละโลภมาก หรือหักหลังเ้านายเก่า…คนพวกนี้เ้าลงมีดด้วยความเมินเฉย”เขาวางจอกชาลงเบา ๆ พลางเอียงศีรษะ“แต่ถ้าให้เ้าฆ่าบัณฑิตหนุ่มผู้ตั้งใจสอบจอหงวน…หรือหญิงสาวที่ต่อสู้เลี้ยงดูบุตรของตน…เ้ากลับส่ายหน้า” หลานเยว่ไม่ตอบโต้ นางเพียงมองเขาอย่างเรียบนิ่งก่อนกล่าวเพียงสั้น ๆ
“บางสิ่ง…แม้จะอยู่ในเงามืด ก็ยังมีเส้นที่ข้ามไม่ได้”
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้คนเริ่มกล่าวขวัญถึงกลุ่มนักฆ่าลึกลับที่ปรากฏตัวท่ามกลางเงามืดกลุ่มมือสังหารไร้นามที่ไม่มีตราสัญลักษณ์ ไม่มีเงื่อนงำของที่มา แต่ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา...หมายถึงความตายอันไร้เสียง และจุดจบที่ไม่อาจสาวกลับถึงผู้สั่งการทุกครั้งที่พวกเขาปรากฏตัว... ความตายย่อมตามมาโดยไร้คำอธิบายนี่คือคำเล่าลือที่แพร่สะพัดไปทั่วใต้หล้า
ไม่ว่าจะเป็ขุนนางสูงศักดิ์ เ้าสำนักใหญ่ หรือจอมยุทธ์ผู้เกรียงไกร หากถูกหมายหัว ไม่มีใครรอดพ้น ไม่มีพยาน ไม่มีเสียงฝีเท้ามีเพียงซากศพที่เย็นชืดและความเงียบงันที่ชวนสั่นสะท้านชื่อเสียงของพวกเขาแพร่กระจายรวดเร็วยิ่งกว่าเพลิงพายุ แต่ไม่มีใครล่วงรู้ว่าผู้อยู่เื้ักลุ่มนักฆ่าผู้นี้...คือหญิงสาวผู้หนึ่งกลางวันนางเป็มารดาผู้แสนสงบกลางคืน...นางคือเงามัจจุราช
เพื่อปกป้องลูกน้อยให้เติบโตท่ามกลางแสงตะวันนางยินดีให้ทั้งโลกมืด...จมอยู่ใต้ฝ่าเท้า