เล่มที่ 8 บทที่ 230 สายฟ้า
“รีบปล่อยข้าเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่อย่างนั้นละก็ หากข้าหลุดออกไปได้เมื่อไร ข้าจะดื่มเืกินเนื้อเ้าให้สาแก่ใจ จากนั้นก็จะจองจำดวงิญญาเ้าเอาไว้ ไม่ให้ได้ผุดได้เกิด ทุกข์ทรมานไปนับหมื่นปีเลย คอยดู!”
เ้าอสุรกายร้ายกายเอาแต่สาปแช่งหลินเฟยไม่หยุด…
ทว่าไม่นานนัก เสียงของมันก็เบาลง จากเดิมที่เป็เสียงด่ากราดก็ค่อยๆแปรเปลี่ยนเป็เสียงร้องโหยหวนแทน กระทั่งสุดท้ายก็กลายเป็เสียงอ้อนวอนแสนอ่อนแรง…
“ขอร้องล่ะนะ ข้าไม่กล้าแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ…”
แต่หลินเฟยยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน เขาเอาแต่ยืนมองเ้าอสุรกายดิ้นทุรนทุรายด้วยความเืเย็น กระทั่งเปลวไฟลุกท่วมขึ้นรุนแรง หลินเฟยจึงโคจรเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูอีกครั้ง เพื่อบงการให้เปลวไฟสีทองสลายกลับคืนเป็อักขระเก้าตัว และค่อยๆเลือนหายเข้าไปในตัวของเ้าอสุรกาย…
“ข้าไม่กล้าแล้วจริงๆ…”
เป็นานกว่าเ้าอสุรกายจะฟื้นสติขึ้นมาได้ บัดนี้มันกำลังนอนคร่ำครวญอย่างอ่อนแรงอยู่บนพื้น…
“หึหึ…” ที่จริงแล้ว หลินเฟยไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยเลยว่าเ้าอสุรกายจะกล้าขัดขืนอีกหรือไม่ เพราะสัจจะเก้าอักขระที่เกิดจากเคล็ดวิชาจูเทียนฝูถูไม่ใช่หยวนหลิงทั่วๆไปที่จะเอาชนะได้ง่ายๆ ขอแค่หลินเฟยลงมือทำก็พอ ย่อมมีวิธีอีกมากที่สามารถจัดการกับเ้าอสุรกายได้
หลังจากผ่านอะไรมามากมาย บัดนี้เ้าอสุรกายดูเชื่องลงไม่น้อยเลย เพียงกวาดตามองเท่านั้น เ้าอสุรกายก็รีบสลายตัวกลับเข้าคัมภีร์แต่โดยดี ก่อนจะลอยกลับสู่ฝ่ามือของหลินเฟยอย่างว่าง่าย
หลินเฟยเองก็ไม่คิดจะเอาเื่อะไร หลังจากเก็บคัมภีร์กลับไปแล้ว จึงหันมาถามเว่ยฟงกับหวังหลง
“ศิษย์น้อง…”
“หื้อ?”
หลังออกมาจากเขตแดนนรก เว่ยฟงกับหวังหลงก็อยู่ในอาการตกตะลึงไม่หาย
และที่เป็เช่นนี้ก็เพราะพวกเขาใอย่างหนัก…
เดิมทีทั้งคู่ก็เป็ถึงอัจฉริยะ ดังนั้นพวกเขาจึงเติบโตมาโดยมีผู้าุโในสำนักฟูมฟักราวกับไข่ในหิน คอยปกป้องดูแลตลอดเวลา หลายสิบปีถึงจะได้ออกมาสักครั้งหนึ่ง แล้วมีหรือที่พวกเขาจะเคยพบเคยเห็นคนประหลาดเช่นหลินเฟย?
ทั้งที่เป็เพียงผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สอง แต่กลับอาจหาญต่อสู้กับศาสตราวุธได้…
เมื่อย้อนคิดดู ทั้งคู่ก็ยังรู้สึกราวกับฝันไป แม้ตอนแรกจะเป็ทั้งคู่ที่เอ่ยปากห้ามไม่ให้เกาชิวไล่หลินเฟย แต่ในใจก็แอบคิดเหมือนกันว่าผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองจะอ่อนแอเกินไปเสียหน่อย ที่จริงพวกเขาก็ไม่ได้มีเจตนาดูแคลนแต่อย่างใด แต่เป็เพราะเกาะปริศนานั่นอันตรายมาก ผู้บำเพ็ญขั้นมิ่งหุนเคราะห์สองจึงกระจอกไปหน่อยสำหรับสถานที่เช่นนี้…
กลับคิดไม่ถึงเลยว่าตอนที่ทั้งคู่ตกอยู่ในเขตแดนนรก ที่รอบด้านเต็มไปด้วยิญญาร้ายและมารปีศาจ แถมยังมีอสุรกายกุ่ยเจี้ยงขั้นสี่และขั้นห้า ตอนนั้นกลับเป็ศิษย์พี่หลินที่มีขั้นบำเพ็ญเพียงมิ่งหุนเคราะห์สองคนนี้ย่างกรายเข้ามาช่วย ทุกที่ที่ลำแสงกระบี่พาดผ่าน ไม่ว่าจะเป็ิญญาร้ายหรือมารปีศาจ ก็ล้วนเอาชนะได้ทั้งหมด ถึงกับสะบั้นเขตแดนจนแตกสลายและพาพวกเขาออกมาได้…
และเื่ราวหลังจากนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าเหลือเชื่อ เพราะหลังจากที่หลินเฟยช่วยพวกเขาออกมาแล้ว ก็ยังสามารถเอาชนะเ้าอสุรกายร้ายได้อย่างขาดลอย ถึงกับบีบให้คู่ต่อสู้คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตเลยทีเดียว…
‘ศิษย์พี่หลินแข็งแกร่งเพียงใด?’
ทั้งคู่ไม่อาจคาดคิดได้เลย…
เพราะเื่ราวที่เกิดขึ้นนับว่าเหลือเชื่อมาก หลินเฟยถึงกับต้องเรียกพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงสามครั้ง ทั้งคู่จึงหลุดออกมาจากภวังค์ได้ ก่อนจะตอบรับหลินเฟยด้วยใบหน้าแสนจะสับสน
“หื้อ เมื่อกี้ศิษย์พี่หลิน ว่าอย่างไรนะ?”
“ไม่มีอะไร แค่มีเื่อยากจะถามหน่อย…” หลินเฟยครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ก่อนหน้านี้ตอนที่เกาชิวเอาคัมภีร์ออกมา ได้ยินศิษย์น้องหวังถามว่าได้คัมภีร์นี้มาจากในถ้ำใช่หรือไม่ ขอพูดตรงๆเลยละกัน ว่าข้ารู้สึกสนใจถ้ำนั่นไม่น้อย ไม่รู้ว่าพอจะเล่าให้ฟังได้หรือไม่?”
“อ๋อ คือเื่มันเป็แบบนี้ ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกข้ามาที่เกาะครั้งก่อน บังเอิญพลัดหลงเข้าไปในถ้ำแห่งหนึ่ง…” หวังหลงที่เพิ่งเล่าได้เพียงครู่เดียว จู่ๆก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบเอ่ยเสริมออกมา
“จริงสิ เมื่อครู่นี้ข้าลืมพูดไป ก่อนหน้านี้พวกข้ามีกันสี่คน นอกจากข้า เว่ยฟงและเกาชิวแล้ว ยังมีศิษย์พี่เย่ชิงจากสำนักหลิงเจี้ยนอีกคน ศิษย์พี่เย่ชิงาุโแล้วก็ซื่อสัตย์หนักแน่นที่สุดในพวกเราทั้งหมด…”
หลังจากนั้นหวังหลงก็ใช้เวลาอีกประมาณหนึ่งถ้วยน้ำชา* เล่าเื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้หลินเฟยฟัง…
(*หนึ่งถ้วยน้ำชา หมายถึง ่เวลาประมาณ 15 นาที )
ที่แท้หลังจากที่คนทั้งหมดได้เข้าไปในถ้ำ ก็เจอเข้ากับแท่นบูชาขนาดใหญ่ และที่บนแท่นนั้นก็มีรูปปั้นเทพปีศาจซึ่งมีใบหน้าอัปลักษณ์ อีกทั้งมีสามเศียรแปดกรและไอปีศาจเข้มข้นปกคลุมอยู่ เย่ชิงผู้มากประสบการณ์ที่สุดเห็นดังนั้นก็รีบเอ่ยเตือนคนทั้งสามทันทีว่าห้ามแตะต้องแท่นบูชาเป็อันขาด ทว่าเกาชิวกลับยืนกรานว่าจะไม่ยอมกลับไปมือเปล่า เขาจะต้องหาของติดไม้ติดมือจากแท่นบูชานี้ให้ได้ ดังนั้นเกาชิวกับเย่ชิงจึงเกิดปากเสียงกัน ส่วนหวังหลงกับเว่ยฟงเห็นด้วยกับเย่ชิง จึงทำให้เกาชิวไม่อาจโต้แย้งอะไรได้อีก แม้จะไม่ยอม แต่ก็ทำได้เพียงเดินตามคนทั้งสามต่อไปเท่านั้น…
ทว่าหลังจากเดินต่อไปได้ไม่ไกลนัก ทั้งสี่ก็พบกับบึงน้ำแห่งหนึ่ง บึงนั้นมีลำแสงเรืองรองและไอิญญาเข้มข้น เมื่อคนทั้งหมดเห็นเข้า ก็รู้ได้ทันทีว่าในบึงจะต้องมีสิ่งวิเศษซ่อนอยู่เป็แน่ จึงพากันเข้าไปสำรวจ แต่ไม่ทันได้เข้าใกล้ บึงน้ำก็เกิดแยกออก ก่อนจะมีลำแสงสายฟ้าสายใหญ่พวยพุ่งขึ้นมา จากนั้นก็ะเิออกทันที พลังของสายฟ้านั่นไม่ด้อยไปกว่าสายฟ้าของเคราะห์อัสนีขั้นมิ่งหุนเลยทีเดียว ภายใต้ความตื่นตระหนกนี้เอง คนทั้งสี่ก็เห็นว่าภายในลำแสงสายฟ้าอันรุนแรงนั้น กำลังมีบางอย่างลอยออกมา เกาชิวกับเย่ชิงที่มีขั้นบำเพ็ญสูงสุด จึงรีบพุ่งตามไปทันที…
ส่วนเว่ยฟงกับหวังหลงไม่อาจตามทั้งสองทัน จึงได้แต่ค้นหาคนทั้งคู่อยู่ในถ้ำ กระทั่งผ่านไปเกือบชั่วยาม ก็พบคนทั้งคู่ใกล้ๆกับแท่นบูชา ตอนนั้นเกาชิวมีใบหน้าซีดขาว แถมยังมีแผลเต็มตัว ราวกับเพิ่งผ่านการต่อสู้ที่ดุเดือดมา ส่วนเย่ชิงกลับกลายเป็ศพไปนานแล้ว ส่วนบนศพก็พบรอยแผลมากมาย หลังจากถามเกาชิวจึงรู้ว่าตอนที่ทั้งคู่ตามสิ่งนั้นไป ก็ได้เจอกับอสุรกายกุ่ยเจี้ยงขั้นหก หลังจากผ่านการต่อสู้อันดุเดือด ในที่สุดก็สามารถขับไล่เ้าอสุรกายไปได้ ทว่าเย่ชิงกลับเจ็บหนักจนสิ้นใจไปเสียก่อน…
หลังจากที่ฝังศพเย่ชิงแล้ว ทั้งสามคนก็ไม่กล้าเดินทางต่อ หลังจากพักผ่อนชั่วครู่ ทั้งสามก็ถอยออกมาจากถ้ำ แต่ก็เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เพราะหลังจากออกมาแล้ว ก็พบกับอสุรกายกุ่ยเจี้ยงขั้นหกอีกครั้ง ตอนนั้นทั้งสามคนโดนไล่ล่าจนแทบเอาชีวิตไม่รอด ถือว่าไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีรอดออกจากเกาะมาได้…
“รอยแผลบนร่างศิษย์พี่เย่ชิงเป็สีดำใช่หรือไม่?” หลังจากหลินเฟยได้ยินหวังหลงเล่าจบ ก็เอ่ยถามออกมา
“ว่าไงนะ?” เว่ยฟงที่ยืนฟังอยู่ด้านข้าง ก็พลันชะงักไปชั่วครู่
“ศิษย์พี่หลินรู้ได้อย่างไรกัน?”
“หึหึ…” หลินเฟยได้ยินดังนั้นก็แค่นหัวเราะน้อยๆออกมา โดยไม่เอ่ยอะไรต่ออีก ทว่าใบหน้าของหวังหลงกลับเปลี่ยนสีลง เพราะนึกขึ้นได้ว่ากระบี่ดำของเกาชิวก็มีหมอกควันดำรายล้อมอยู่เช่นกัน…
‘เป็ไปได้ว่าเกาชิวอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของศิษย์พี่เย่…’
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------