ในห้องโถง ผิงอันกับหลัวจิ่งนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเงียบสงบ
เป็เพราะผิงอันที่อยากรู้อยากเห็น หาได้ยากนักที่ในบ้านจะมีแขก แล้วยังให้ของฝากเสียมากมายเช่นนี้ เขาไม่ประหลาดใจสิถึงจะแปลก
แต่หลัวจิ่งกลับถูกกักอยู่ในบ้าน คงไม่ค่อยดีนักหากว่ายามนี้จะออกไปอยู่ข้างนอกคนเดียว จึงทำได้เพียงถือโอกาสนั่งลงด้านข้าง
หลี่ซื่อเข้าไปในครัวอ้างว่าจะไปต้มน้ำชงชาแล้วก็ไม่ออกมา นานแล้วที่นางไม่ได้ัักับคนแปลกหน้า แม้ตอนนี้นางสามารถพูดจาได้ แต่ต่อหน้าคนแปลกหน้ายังคงกังวลอยู่บ้าง
“นี่เป็น้องชายข้า นามว่าผิงอัน นั่นเป็ลูกพี่ลูกน้องบ้านข้า นามว่ายู่เซิง เมื่อครู่ผู้นั้นเป็มารดาข้าเ้าค่ะ” เจินจูแนะนำทีละคน
ปัญหาฐานะของยู่เซิงได้เคยพูดคุยกับเขามาก่อนหน้านี้แล้ว ความสามารถในการเดินของเขาไม่แข็งแรงพอ อย่างน้อยที่สุดยังต้องพักอยู่บ้านของนางระยะหนึ่ง ดังนั้นเป็เอกฉันท์ว่าจะใช้ข้ออ้างว่าเป็ญาติห่างๆ จากแดนไกลของหลี่ซื่อแสดงต่อภายนอก ที่ขณะนี้ได้มาพักฟื้นอยู่บ้านครอบครัวหูเป็การชั่วคราว
“ทักทายทุกท่าน ขอบคุณที่ให้การต้อนรับ ข้าคือหลิวผิงเ้าของร้านฝูอันถัง” หลิวผิงยิ้มตอบกลับอย่างมีมารยาท
เด็กชายที่อายุน้อยหน้าตาคล้ายคลึงกับแม่นางหูหลายส่วน มองเด็กที่ล้วนแล้วแต่รูปงามเรียบๆ และดูฉลาดว่องไว เด็กครอบครัวชนบทไม่ง่ายเลยที่จะดูคล่องแคล่วและสุขุม
ในทันทีที่เห็นเด็กชายนามว่ายู่เซิง หลิวผิงก็ตกตะลึงอยู่ในใจ ในหมู่บ้านูเาเล็กๆ แห่งนี้ไม่นึกเลยว่าจะมีเด็กชายที่ดูฉลาดสง่างามเช่นนี้ ชำเลืองมองไปยังสายตาที่เคร่งขรึมเ็า ท่าทางในการนั่งสูงตรงเรียบร้อย บุคลิกท่าทางที่น่านับถือเช่นนั้นเทียบได้กับลูกหลานครอบครัวขุนนางร่ำรวยผู้สูงศักดิ์นัก
“ข้าน้อยเฉินเผิงเฟย แม่นางหู วันนี้พวกเรามาซื้อกระต่ายกับหัวไชเท้าบ้านเ้าโดยเฉพาะ” เฉินเผิงเฟยในใจกระสับกระส่าย ไม่อดทนทำพิธีรีตองเพื่อเอาหน้าเหล่านี้ แล้วแสดงจุดประสงค์ชัดแจ้งตรงไปตรงมา
หลิวผิงยิ้มเก้อเขินหนึ่งที เฉินเผิงเฟยอุปนิสัยหุนหันพลันแล่นเกินไปแล้ว คำพูดนี้ยังเอ่ยไม่ได้สองประโยคเลยก็กล่าวจุดประสงค์ออกมาโต้งๆ
“โอ้... บ้านท่านย่าข้ายังมีหัวไชเท้าอยู่อีกไม่กี่หัว ส่วนกระต่ายก่อนหน้านี้ขายไปหมดแล้วเ้าค่ะ วันนั้นพวกท่านไม่ใช่ว่าเห็นบ้านข้าไปขายกระต่ายหรอกหรือ ตัวใหญ่ล้วนขายไปหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงลูกกระต่าย ยังขายไม่ได้นะเ้าคะ” เจินจูยิ้มและกล่าวช้าๆ ร่ายบรรยายฉับพลันทันที
“อ่า... ขายหมดแล้ว? ขายไปที่ใดกัน?” เฉินเผิงเฟยรีบซักไซ้
“ขายให้เ้าของร้านจางที่สือหลี่เซียงเ้าค่ะ” เจินจูยิ้มแล้วกล่าว
“สือหลี่เซียง? เหนียนเสียงหลินที่นั่น? จัดการง่ายนัก อีกเดี๋ยวกลับไปก็ให้เขาเปลี่ยนโยกย้ายมาให้พวกเราได้” ฝูอันถังกับสือหลี่เซียงห่างกันไม่ไกล ตัวเ้าของร้านทั้งสองร้านติดต่อกันอย่างคุ้นเคย โยกย้ายกระต่ายไม่กี่ตัวมาแน่นอนว่าไม่ใช่เื่ยาก
“อื้ม เมื่อวานซืนพวกเราขายไปหกตัว ไม่รู้ว่าสือหลี่เซียงใช้ไปหรือยังนะเ้าคะ” เจินจูยังคงกล่าวแล้วยิ้มตาหยี
สีหน้าหลิวผิงเปลี่ยนทันที จริงด้วย เทศกาลที่หนาวเย็นอาหารจำพวกเนื้อสิ้นเปลืองที่สุด นี่ผ่านไปหนึ่งวันแล้วไม่รู้ว่ายังจะเหลืออยู่กี่ตัว
พอคิดได้เช่นนี้ เขาก็นั่งไม่ติด
“ไม่ได้ ต้องรีบกลับไป อีกเดี๋ยวจะเที่ยงแล้ว หากช้าไปพวกเขาจัดการไม่ดีจะฆ่ากระต่ายหมดได้” เฉินเผิงเฟยะโลุกขึ้น นี่ไม่ได้การแล้ว นั่นล้วนเป็อาหารที่ช่วยชีวิตคุณชายจะให้พวกเขาขายหมดไม่ได้เด็ดขาด
“ใช่ๆ ต้องรีบกลับไปดู แม่นางหู หัวไชเท้าของบ้านเ้ามีเท่าไร? ขายให้พวกเราทั้งหมดเถิด” หลิวผิงก็ลุกขึ้นอย่างร้อนใจเช่นกัน ไม่ง่ายเลยที่คุณชายจะทานของได้ลง อย่างไรก็ให้ขาดตอนไม่ได้
“หัวไชเท้าอยู่ที่บ้านท่านย่าเ้าค่ะ หากพวกท่าน้าล่ะก็ ข้าจะพาพวกท่านไปเอา” เจินจูไม่อืดอาด นำทางพวกเขาเดินไปข้างหน้า
ที่บ้านเก่าใกล้มาก แวบเดียวรถม้าก็มาถึง รถม้าสูงใหญ่หยุดอยู่ที่หน้าประตูบ้านเก่า ก่อให้เกิดการล้อมชมอีกรอบหนึ่ง
เจินจูไม่ได้สนใจพวกเขา เพียงชี้แจงกับคนบนรถม้าสองคน ให้พวกเขารอสักเดี๋ยวหนึ่งแล้วนางก็ไปหยิบหัวไชเท้าในอุโมงค์ห้องใต้ดิน
การมาถึงของรถม้าทำให้คนสกุลหูหนึ่งกลุ่มทยอยกันออกมานอกประตูบ้าน แล้วมองไปรอบๆ ด้วยความกังวลและประหลาดใจ
“เจินจู นี่เกิดอะไรขึ้น?” หวังซื่อเห็นเจินจูะโลงจากรถม้าจึงสอบถามทันที
“ท่านย่า นั่นเป็เ้าของร้านหลิวของฝูอันถังกับองครักษ์เฉินของกู้อู่เ้าค่ะ พวกเขา้าซื้อหัวไชเท้าของบ้านเรา และค่อนข้างรีบร้อน ในอุโมงค์ห้องใต้ดินบ้านเรายังเหลือหัวไชเท้าอยู่กี่หัวหรือเ้าคะ?” เจินจูถามแล้วเดินมุ่งไปยังอุโมงค์ห้องใต้ดิน
“ไม่กี่หัวแล้ว บ้านเราใช้ตุ๋นน้ำแกงกระดูกอยู่บ่อยๆ ล้วนเอาไปเคี่ยวน้ำแกง แต่น่าจะเหลืออยู่สิบกว่าหัวได้” หวังซื่อไม่เคยนับจริงจังมาก่อน หัวไชเท้าปีนี้หวานสดชื่นกว่าปีที่แล้วมากจริงๆ ไม่แปลกใจที่แม้แต่คนในเมืองจะมาซื้อโดยเฉพาะ
ดึงแผ่นไม้ที่ใช้ปิดอุโมงค์ใต้ดินขึ้นมา เจินจูปีนลงไปอย่างระมัดระวัง
“เจินจู ให้ย่าลงไปหรือไม่ ข้างล่างมืด เ้าไม่ค่อยรู้พื้นที่จัดวางนัก” หวังซื่อคิดไม่ได้ชั่วขณะว่าเจินจูไม่เคยลงไปอุโมงค์ใต้ดินมาก่อน จึงส่งเสียงะโทันที
“ไม่เป็ไร ข้ามองเห็นได้ ท่านย่า ช่วยหยิบตะกร้ามาให้ข้าก็พอเ้าค่ะ” อุโมงค์ใต้ดินมืดสลัวนิดหน่อยจริงๆ แต่ตอนนี้ความสามารถในการมองเห็นของนางเกือบจะเหมือนเสี่ยวเฮยแล้ว ในยามกลางคืนก็สามารถเห็นทิวทัศน์ที่ใกล้ๆ ได้ชัดเจน
“อื้ม เช่นนั้นเ้าระวังหน่อยนะ” หวังซื่อมองปากอุโมงค์ด้วยความกังวลใจ แล้วหันไปะโบอกชุ่ยจู “ชุ่ยจู หยิบตะกร้ามาหน่อย”
“ได้เลยเ้าค่ะ” ชุ่ยจูตอบรับทันที
ข้างล่างอุโมงค์ห้องใต้ดิน เจินจูกำลังยุ่งอยู่กับการแอบสับเปลี่ยนหัวไชเท้า หัวไชเท้าขาวที่เหลืออยู่สิบหัวในนี้เอาออกมาครึ่งหนึ่ง และสับเปลี่ยนกับหัวไชเท้าอวบน้ำจากมิติช่องว่าง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยังคงเป็หัวไชเท้าที่บ้านเก่าปลูก หัวไชเท้าของที่นี่นางเคยใช้น้ำแร่จิติญญาจากมิติช่องว่างรดน้ำอยู่หลายครั้ง แม้ผลที่ได้จะเทียบไม่ได้กับผลผลิตจากมิติช่องว่าง แต่รสชาติกลับไม่ต่างกันเท่าไร
เมื่อวานซืนตอนนางเอากระต่ายกับหัวไชเท้ามอบให้กู้อู่ ก็พอจะรู้ว่าแค่กู้อู่ทานลงไปพวกเขาดูออกได้แน่นอน หัวไชเท้าที่ปลูกในมิติช่องว่างผลที่ได้คุณภาพต้องดีอย่างมาก
เจินจูแอบแลบลิ้นอยู่ลับๆ ตอนนี้นางกลัวว่าจะใช้มากเกินไป ดังนั้นจึงสับเปลี่ยนหัวไชเท้าสักครึ่งหนึ่งเพื่อให้ประสิทธิผลลดลงหน่อย
ไม่นานหัวไชเท้าขาวใหญ่หนึ่งตะกร้าก็ยื่นส่งถึงมือเฉินเผิงเฟย เฉินเผิงเฟยหยิบขึ้นมาหนึ่งหัว พลิกหมุนขึ้นลงแล้วมอง ทันทีหลังจากนั้นก็ฉีกปากหัวเราะ “ไม่เลว เป็หัวไชเท้านี้จริงๆ ที่มีน้ำมีนวล”
หลิวผิงดีใจอย่างมาก หัวไชเท้าขาวของสกุลหูพิเศษหรือไม่พวกเขาไม่มีทางรู้ได้ ขอแค่คุณชายทานได้ลง ต่อให้นั่นเป็มูลค่าทองคำก็ต้องซื้อมันกลับไปให้ได้ หลังวางหัวไชเท้าไว้บนรถม้าด้วยความระมัดระวังแล้ว จึงขอบคุณสกุลหูไม่หยุด พร้อมกับควักถุงเงินหนึ่งใบออกมาจากในอ้อมอกยื่นส่งให้เจินจูโดยตรง เจินจูกำลังคิดจะบ่ายเบี่ยง หลิวผิงกลับยัดให้นางอย่างไม่ยอมแพ้ กล่าวออกมาตามตรงว่าหากนางไม่รับไว้กลับไปจะถูกคุณชายดุเอาได้
ต่อจากนั้นจึงทำการจองกระต่ายของบ้านสกุลหูทั้งหมดกับเจินจู ให้พวกนางเอากระต่ายที่โตหลังรุ่นนี้ส่งให้ฝูอันถังโดยตรง ฝูอันถังจะให้ราคารับซื้อทั้งหมดเป็สองเท่า
หลังจากสองฝ่ายนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว เฉิงเผิงเฟยจึงเร่งรถม้าวิ่งอย่างรวดเร็วไปตามทาง รีบไปสกัดกระต่ายไม่กี่ตัวนั้นที่สือหลี่เซียงไว้ กลัวมากว่าหากไปช้าจะไม่เหลือกระต่ายสักตัวเดียว
“โอ๊ะ เห็นหรือยัง สกุลหูยื่นหัวไชเท้าให้หนึ่งกอง แถมเ้าของร้านฝูอันถังผู้นั้นกลับส่งหนึ่งถุงเงินให้หูเจินจู ชิๆ หากหัวไชเท้ามีราคาเช่นนี้ บ้านพวกเขาก็ร่ำรวยขึ้นแล้ว!”
“มิใช่ว่าเป็แค่หัวไชเท้าหนึ่งตะกร้าหรอกหรือ? เหตุใดราคาสูงเช่นนี้? บ้านข้ายังมีหัวไชเท้าขาวหนึ่งตะกร้าไผ่สานแน่ะ รูปร่างไม่แย่ไปกว่าของครอบครัวเขา ไม่รู้ว่าฝูอันถังจะรับหรือไม่?”
“ฮ่าๆ… เ้ายังคิดจะหารายได้กับฝูอันถัง ไม่เห็นหรือว่าเ้าของร้านหลิวผู้นั้นรับหัวไชเท้าเสร็จก็รีบกลับทันที ไม่รับของเ้าแล้วอย่างแน่นอน”
ชาวไร่ชาวนาที่ยืนอยู่หน้าประตูบ้านเก่าสกุลหูตัดใจจากไปไม่ได้ รวมตัวกันแสดงความคิดเห็นกันเซ็งแซ่ มีชาวไร่ชาวนาที่รู้จักมักคุ้นและใจกล้าบางคนสอบถามสกุลหูออกมาตามตรง
“ท่านอาสะใภ้หู เหตุใดหัวไชเท้าบ้านท่านมีราคาเช่นนี้? ทานแล้วสามารถกำจัดได้ทุกร้อยโรคหรือว่าทานแล้วไม่ชราภาพกัน?” เป็จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อจอมี้เีและอันธพาลที่รู้จักกันดีในหมู่บ้านเป็ผู้กล่าวขึ้น ท่าทางอายุยี่สิบกว่า ดวงตาที่เบี้ยวบวมน้ำมองที่ถุงเงินในมือเจินจู แววตาทอความโลภหลายสาย
เจินจูขมวดคิ้วพร้อมกับดึงหวังซื่อเข้ามาแล้วกำชับข้างหูหนึ่งครั้ง
“เอ้อร์หม่าจื้อ นั่นเป็เงินมัดจำของเ้าของร้านหลิวจากฝูอันถัง ให้บ้านข้าไว้เพื่อเป็การจองกระต่ายของบ้านข้า รอให้กระต่ายโตสักหน่อยก็เอาไปส่งให้พวกเขา ส่วนหัวไชเท้านั่นพวกข้าเพียงมอบให้พวกเขาเท่านั้น” หวังซื่อกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“กระต่าย? ท่านอาสะใภ้หู บ้านท่านเปลี่ยนมาเป็นายพรานเมื่อใดกัน? หน้าหนาวหนักเช่นนี้ยังสามารถจับกระต่ายได้หรือ? ฝีมือไม่เบาเลย” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อยังคงฉีกปากแสดงฟันเหลืองแล้วกล่าวถามอีก
“กระต่ายบ้านพวกเราเป็การเลี้ยงน่ะ อีกอย่างบ้านข้าเลี้ยงกระต่ายยังต้องบอกกล่าวกับเ้าด้วยหรือ เอาล่ะ อย่ารุมล้อมบ้านข้านักเลย ควรไปทำอะไรก็ไปทำเสีย ที่บ้านข้ายังมีงานเย็บปักถักร้อยหนึ่งกอง พวกเ้ากล่าวไร้สาระกันให้น้อยๆ หน่อย” หวังซื่อชินกับการแสร้งทำใบหน้าอึมครึม จ้องมองจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อหนึ่งที ทันทีหลังจากนั้นก็ปิดประตูลานบ้านลง
“เพ้ย มีช่องทางหาเงินแล้วเก็บปิดไว้กับตัวเอง ไม่ช่วยดึงพวกเราในหมู่บ้านขึ้นอีก สกุลหูนี่แล้งน้ำใจเกินไปนัก” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อมองประตูลานบ้านที่ปิดแน่น แอบเกลียดชังอยู่ในใจ
“ฮ่าๆ จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อ เ้าอันธพาลนี่ บ้านผู้ใดมีวิธีหาเงินแล้วจะไม่เก็บเงียบไว้เล่า หากเป็บ้านเ้าเกรงว่าจะเก็บเงียบไว้มิดชิดเสียยิ่งกว่า ยังไม่กระดากใจเที่ยวว่ากล่าวผู้อื่นอีก เ้าอิจฉาตาร้อนก็เลยกล่าวคำพูดคน [1] น่ะสิ” ชาวไร่ชาวนาที่อยู่ด้านข้างพากันหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
“อ้าว... เพ้ย ข้าอิจฉาตาร้อนอันใด เพื่อคนในหมู่บ้าน ข้าแค่พยายามถามให้ได้วิธีหาเงิน ในหมู่บ้านพวกเราไม่สามารถอาศัยบารมีคนอื่นหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ได้หรืออย่างไร ข้าแค่คิดเผื่อทุกคน” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อกล่าวอย่างน้ำลายลอยกระจายไปทั่วในอากาศ [2] ยิ่งเอ่ยยิ่งรู้สึกว่าความเห็นของตัวเองถูกต้องนัก
“เอ้อร์หม่าจื้อ เ้าจะก่อความวุ่นวายอันใดอีก” เสียงตำหนิหนึ่งเสียงดังสะท้อนมาจากไกลๆ
ได้ยินคนในหมู่บ้านกล่าวกันว่ามีคนใหญ่คนโตมาในหมู่บ้าน เป็เ้าของร้านหลิวจากร้านสมุนไพรที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ไม่นึกเลยว่าจะเร่งรถม้าตรงไปบ้านสกุลหู มอบสิ่งของให้ไม่น้อย ไม่ใช่ว่าเป็เช่นนี้หรอกหรือ จ้าวเหวินเฉียงหัวหน้าหมู่บ้านจึงนั่งไม่ติดและเร่งเข้ามาทันที เพื่อมาดูว่าจะมีโอกาสรู้จักสักหน่อยหรือไม่ น่าเสียดายที่ตอนเขามาถึงเห็นเพียงรถม้ารีบควบเร็วกลับไปแล้ว ขณะกำลังกลุ้มใจ ในกลุ่มคนเ่าั้ก็ได้ยินจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อวิพากษ์วิจารณ์ออกมาเต็มที่อย่างไร้ขอบเขตไม่เลิก ยั่วยุจนเขาโกรธเป็ฟืนเป็ไฟ
ทั้งเดินเข้ามาใกล้ทั้งถลึงตาใส่ จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อนับขึ้นมาก็เป็ลูกพี่ลูกน้องฝ่ายมารดาของจ้าวเหวินเฉียง นับั้แ่ภรรยาของเขาสิ้นลง ทั้งวันก็ว่างไปลอยมาขโมยไก่คลำสุนัข [3] ในหมู่บ้าน เป็แบบอย่างที่ไม่ดีไม่ซื่อสัตย์มาตลอด จ้าวเหวินเฉียงปวดหัวกับเขามากนัก
“อ้าว เป็หัวหน้าหมู่บ้านหรือ ฮิๆ ข้าไม่ได้สร้างความวุ่นวายเลยนะ แค่มาดูความสนุกครื้นเครงเท่านั้นเอง” จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเปลี่ยนใบหน้าทันที ใบหน้าที่มองจ้าวเหวินเฉียงเต็มไปด้วยรอยยิ้มประจบ
จ้าวเหวินเฉียงจัดการสีหน้านิดหน่อย กล่าวเสียงเคร่งครึม “ไม่มีอันใดทำก็กลับบ้านไปช่วยบิดาเ้าทำงาน เป็คนโตเช่นนี้แล้ว วันๆ ยังี้เีนัก แผ่นหลังบิดาเ้าโค้งงอหมดแล้ว ยังต้องแบกฟืนอีกหนึ่งมัดใหญ่ เ้าเป็บุตรชายอย่างไรกัน?”
“…ไม่ใช่ ฟืนไฟบ้านข้าเผาพอแล้ว เป็ท่านพ่อข้าที่ว่างไม่ได้เอง เื่ไม่เกี่ยวกับข้า” ชื่อเสียงและบารมีของจ้าวเหวินเฉียงในหมู่บ้านมีไม่น้อย จ้าวเอ้อร์หม่าจื้อไม่กล้ากระตุกหนวดเสือ จึงปฏิเสธความรับผิดชอบทันที
คิ้วสองข้างของจ้าวเหวินเฉียงขมวดแน่น สายตาที่มองจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อไม่พอใจอย่างมาก อ้าปากกำลังจะกล่าววาจา
เมื่อจ้าวเอ้อร์หม่าจื้อเห็นว่าทั่วทั้งใบหน้าของหัวหน้าหมู่บ้านเป็เช่นนั้น จึงยิ้มเข้าสู้โดยไม่รอช้า “ข้าจะไปช่วยเดี๋ยวนี้เลย จะไปเลย” กล่าวจบก็วิ่งหายวับไปกับตา
ชาวไร่ชาวนาดูความรื่นเริงพอแล้วจึงทยอยกันแยกย้าย จ้าวเหวินเฉียงชำเลืองมองสกุลหูเก่าแก่หนึ่งที ั์ตาถามเจาะลึก เ้าของร้านหลิวจากฝูอันถังมาด้วยตัวเอง สกุลหูไม่เหมือนแต่ก่อนเลยจริงๆ
เชิงอรรถ
[1] กล่าวคำพูดคน หมายถึง พูดจาเข้าใจยาก
[2] น้ำลายลอยกระจายไปทั่วในอากาศ เป็การบรรยายว่า คนปากแข็งและพูดจาหยาบคาย
[3] ขโมยไก่คลำสุนัข หมายถึง พฤติกรรมลักขโมย