ซูฉางอันเสียอาจารย์สอนดาบไป
ทว่านับแต่วันนั้นเป็ต้นมา เขากลับได้อาจารย์กระบี่มาแทนนางเป็หญิงสาวที่คล้ายจะมีอายุใกล้เคียงกับเขา เป็ผู้สืบทอดของอาจารย์ไคหยางถือเป็อาจารย์อาของซูฉางอัน มีนามว่าชิงหลุน
ชิงหลุนเป็คนที่ประหลาดมาก
แม้จะเรียกว่าเป็อาจารย์กระบี่ของซูฉางอันก็ตาม แต่ในความเป็จริงหากซูฉางอันไม่เป็ฝ่ายเข้าไปถามเอง นางก็จะเอาแต่ยืนนิ่งๆ อยู่ภายในลานฝึกไม่แม้แต่จะขยับเขยื้อนเลยด้วยซ้ำ ทั้งยังไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยสักคำในบางครั้งซูฉางอันก็รู้สึกราวชิงหลุนไม่ใช่คน แต่เป็หุ่นที่ถูกเชิดอยู่ต่างหาก
แต่นางมีทักษะแห่งกระบี่ที่ล้ำเลิศมากจริงๆ
มากจนซูฉางอันไม่รู้แล้ว ว่านางมีระดับพลังสูงส่งมากเพียงไหนกันแน่
เพราะไม่ว่าซูฉางอันจะเจอกับปัญหาหรืออุปสรรคด้านการฝึกที่ยากเข็ญหรือสลับซับซ้อนมากเท่าไรนางก็สามารถให้คำตอบที่ง่ายต่อการเข้าใจกับเขาได้หลังใช้เวลาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่เท่านั้นซึ่งนั่นทำให้ซูฉางอันรู้สึกยกย่องหญิงสาวที่ดูจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนคนนี้เหลือเกิน
ทว่าความประหลาดของนางยังไม่หมดลงเพียงเท่านี้เพราะชิงหลุนยังมีกฎที่ยากจะเข้าใจอยู่อีกอย่าง
ประมาณสี่ถึงห้าวันให้หลัง ในที่สุดอาการของกู่เซี่ยนจวินก็แทบจะหายดีอย่างสิ้นเชิงแล้ว
กู่เซี่ยนจวินเป็ยอดอัจฉริยะด้านกระบี่ที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินต้าเว่ยที่ผ่านมา เพราะความระแวดระวังที่มีทำให้ซูฉางอันเอาแต่หลบหน้ากู่เซี่ยนจวินทุกครั้งที่ฝึกวิชากระบี่และไม่้าพบเจอกู่เซี่ยนจวินเอาเสียเลย แต่เมื่อไม่นานที่ผ่านมาหลังทั้งสองปรับความเข้าใจกันแล้ว ซูฉางอันมักเชิญกู่เซี่ยนจวินมาฝึกกระบี่ด้วยกันอยู่เป็ประจำเพราะในความคิดของซูฉางอัน ไม่ว่าจะเป็วิชาดาบหรือกระบี่ต่างก็จำเป็ต้องประลองกับผู้อื่นอยู่เสมอ จึงจะพบปัญหาและจุดอ่อนที่ซ่อนอยู่ในตัวเองได้ส่วนการพิจารณาวิชาอยู่เพียงคนเดียวอย่างไร้จุดหมาย ช่างเป็อะไรที่เสียเวลาและประโยชน์น้อยเหลือเกิน
ทางด้านกู่เซี่ยนจวิน นางยินดีจะร่วมประลองกับซูฉางอันเป็อย่างมากเพราะแม้ซูฉางอันมีระดับพลังเพียงระดับหลอมจิตเท่านั้น แต่ความจริงแล้วเขามีพลังที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่านักรบระดับอรุณรุ่งด้วยซ้ำไป เช่นนั้นการประลองกับซูฉางอันจึงทำให้นางค้นพบปัญหาและจุดอ่อนของตัวเองได้ด้วยเช่นกัน
ทว่าเมื่อนางหอบคำถามและปัญหาที่พบไปปรึกษาชิงหลุนนางกลับเอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบคำถามของนาง
กู่เซี่ยนจวินมีนิสัยหยิ่งในศักดิ์ศรีมาั้แ่ไหนแต่ไรแล้วในเมื่อชิงหลุนไม่ให้ความสนใจ นางก็ไม่ยอมบากหน้าไปถามอีกเช่นกัน ทางด้านซูฉางอันเขาไม่อยากให้ทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันเช่นนี้เลยเพราะหลังได้รู้จักกัน เวลาหลายวันมานี้ ทำให้ซูฉางอันพบว่าแม้ชิงหลุนจะไม่ชอบการสนทนามากนักแต่นางก็หาใช่คนปากร้าย หรือมีความคิดไม่ดีกับใคร
ดังนั้น เขาจึงไปพบชิงหลุนเพราะเื่นี้
“อาจารย์อา”ซูฉางอันยังรู้สึกต่อต้านการเรียกขานเช่นนี้อยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรเสียนางก็เป็ผู้หญิงที่ดูเหมือนจะมีอายุเพียงสิบแปดหรือสิบเก้าปีเท่านั้นแถมยังเป็หญิงที่สวยมากอีกด้วย ให้เรียกว่าอาจารย์อา ไม่ว่าจะคิดอย่างไรซูฉางอันก็ยังรู้สึกแปลกๆ อยู่ดี
“เหตุใดท่านถึงไม่ยอมชี้แนะเซี่ยนจวินเล่า?” หลังพูดจบ เขาก็หยุดคิดอีกสักพัก จากนั้นจึงเสริมขึ้นอีกครั้ง“นางเป็ยอดอัจฉริยะด้านศาสตร์แห่งกระบี่เชียวนะนางมีพร์มากกว่าข้าหลายเท่าเลย”
ชิงหลุนส่ายหน้า “ข้าสอนนางไม่ได้”
คำตอบของนางทั้งตรงไปตรงมาและชัดเจนเป็อย่างมาก มันไม่มีเหตุผลอื่นใดประกอบแต่กลับทำให้ผู้ฟังรู้สึกเชื่อได้อย่างประหลาด
แต่ซูฉางอันไม่พอใจกับคำตอบนั้นเอาเสียเลยเขาถามขึ้นอีกครั้งหลังชะงักไปได้สักพัก “ท่านสอนข้าได้ แล้วเหตุใดถึงสอนนางไม่ได้ละ”
“เ้าแตกต่างไปจากนาง”
“แตกต่างตรงไหนกัน? พวกเราเป็ศิษย์ของสำนักเทียนหลานเหมือนๆ กันส่วนท่านก็เป็อาจารย์ของสำนักนี้ ท่านควรจะสอนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันสิ”
คำพูดของซูฉางอันทำให้ชิงหลุนอึ้งไป นางกล่าวถามขึ้นในเวลาต่อมา“มีกฎเช่นนั้นด้วยรึ?”
“แน่นอน” ซูฉางอันพยักหน้าตอบ
เพราะหาส่วนที่ไม่ถูกต้องจากคำพูดของซูฉางอันไม่ได้ นางจึงคิดว่าบางทีอาจมีกฎและเหตุผลเช่นนี้อยู่จริงๆก็ได้
นั่นทำให้นางรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ชิงหลุนขมวดคิ้วมุ่นพลางคิดอยู่ครู่หนึ่งนางมาที่นี่เพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณ เพราะ้าจบบ่วงแห่งเหตุและผลที่มีต่อซูฉางอันลงนางจึงยอมชี้แนะวิชากระบี่ให้ เพราะคิดว่านี่เป็วิธีตอบแทนบุญคุณเขา
แต่หากสอนกู่เซี่ยนจวินด้วย เช่นนั้นนางกับกู่เซี่ยนจวินก็จะมีพันธะทางเหตุและผลต่อกันอีกซึ่งนั่นไม่ดีเอาเสียเลย
แต่จะไม่ใช้เหตุผล หากไม่ทำตามกฎ ย่อมไม่ได้ ดังนั้นหลังไตร่ตรองอยู่นานในที่สุดนางก็ได้วิธีแก้ไขปัญหา
“เ้าก็เป็คนถามสิ” ชิงหลุนพูดแบบนั้น
คำตอบที่ได้รับทำให้ซูฉางอันอึ้งไปแต่เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของชิงหลุน จึงพยักหน้าอย่างดีอกดีใจ แล้วกล่าวขอบคุณชิงหลุน
ั้แ่บัดนั้นเป็ต้นมาทุกครั้งที่กู่เซี่ยนจวินมีปัญหาด้านการฝึกกระบี่ นางก็จะนำมันมาบอกกับซูฉางอันและซูฉางอันก็จะนำไปปรึกษากับชิงหลุนแล้วนำคำตอบกลับมาบอกกับกู่เซี่ยนจวินในภายหลังเสมอ
ในตอนแรกทั้งสามมักจะถามและให้คำตอบกันลับหลังอีกฝ่ายเสมอ แต่ต่อมา กู่เซี่ยนจวินมักจะถามคำถามกับซูฉางอันต่อหน้าชิงหลุนชิงหลุนบอกคำตอบแก่ซูฉางอันต่อหน้ากู่เซี่ยนจวิน และซูฉางอันนำคำตอบที่ได้ไปบอกกับกู่เซี่ยนจวินต่อหน้าชิงหลุนเช่นกันช่างเป็อะไรที่น่าอึดอัดเสียจริง แต่เพราะชิงหลุนยืนยันให้ทำเช่นนี้ นานวันเข้าซูฉางอันกับกู่เซี่ยนจวินจึงค่อยๆ ชินกับวิธีนี้ไปโดยปริยาย
เพียงพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปนานกว่าสิบวันแล้ว
เดือนสิบของเมืองฉางอัน อากาศเริ่มหนาวเย็น ปรากฏเอกลักษณ์แห่งเหมันต์ฤดูบ้างแล้ว
ในที่สุด ต้นไม้ทุกต้นในสำนักเทียนหลานก็ผลัดใบสุดท้ายบนกิ่งลงมาเสียที
ซูฉางอันเพิ่งจบการซ้อมดาบใน่เช้าลงเขาเก็บดาบกลับเข้าไปในฝัก พลางหายใจหอบเบาๆ แต่ในขณะที่เขากำลังจะกลับไปพักในห้องจู่ๆ ก็มีเสียงเคาะดังขึ้นที่หน้าประตูเสียก่อน
ซูฉางอันรีบมุ่งหน้าไปยังที่มาของเสียง ่ที่ผ่านมา สำนักเทียนหลานมักมีแขกมาเยี่ยมเยือนอยู่เป็ประจำก่อนหน้านี้ ฉู่ซีฟงมักเป็ผู้ดูแลแขกเหล่านี้เสมอ แต่บัดนี้ฉู่ซีฟงไม่อยู่เสียแล้วอาจารย์ปู่ก็ไม่เคยสนใจเื่พวกนี้ ส่วนชิงหลุนก็ขึ้นชื่อเื่การไม่ชอบพูดจาดังนั้นเื่เหล่านี้จึงตกเป็หน้าที่ของซูฉางอันไปโดยปริยาย
แต่ซูฉางอันไม่ถนัดกับการต้อนรับและเชื่อมสัมพันธ์แบบนี้สักเท่าไหร่ทั้งที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบหน้าค่าตากันมาก่อน แต่กลับต้องทำเหมือนสนิทสนมกันเสียเหลือเกินราวเป็สหายสนิทกันมานานแสนนานอย่างไรอย่างนั้นนี่นับเป็เื่ที่ยากมากเหลือเกินสำหรับเด็กหนุ่มที่ยังมีอายุไม่ครบสิบเจ็ดปีบริบูรณ์อย่างเขา
เขารู้สึกคิดถึงเซี่ยโหวฟ่งอวี้ขึ้นมาอย่างอดไม่ได้คาดว่าด้วยความสามารถของเซี่ยโหวฟ่งอวี้ นางต้องรับมือกับเื่พวกนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเป็แน่
แต่เขาเคยได้ยินอาจารย์ปู่บอกว่า ตอนนี้ศิษย์พี่กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นักรบระดับอรุณรุ่งแล้ว่นี้จึงเป็่ที่สำคัญมากสำหรับนางดังนั้น่นี้ศิษย์พี่จึงต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงไปก่อนเพราะที่นั่นมียอดฝีมืออยู่มากมาย ทั้งยังมีนักรบแห่งดาราจักรอย่างองค์จักรพรรดิคอยดูแลอยู่อีกน่าจะเป็ผลดีต่อศิษย์พี่เป็ไม่น้อยเลย
ขณะคิดขึ้นในใจ ซูฉางอันก็เดินมาถึงที่ประตูสำนักเสียแล้ว
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อให้รอยยิ้มบนใบหน้าที่เคร่งเครียดแลดูจริงใจมากที่สุดแล้วจึงเปิดประตูออกอย่างฝืนใจ
ใบหน้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า เป็ใบหน้าที่คุ้นเคยเหลือเกิน
“ศิษย์พี่! ” เขาพูดด้วยท่าทางคาดไม่ถึง
หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้ายิ้มตาหยีราวกับพระจันทร์เสี้ยว นางมองมายังซูฉางอันพลางกล่าวขึ้น“เป็อะไรไป? คิดถึงข้ารึเปล่า?”
วันนี้เซี่ยโหวฟ่งอวี้อยู่ในชุดยาวสีขาวและสวมเสื้อแขนยาวสีชมพูทับข้างนอก ใบหน้าอันแสนงดงามตรงหน้าแลดูลึกลับดูไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอะไรอยู่ นางแต่งแต้มเครื่องสำอางบางๆ เอาไว้บนใบหน้าแลดูงดงามมากเสียจริง
ซูฉางอันรีบพยักหน้า แล้วตอบโดยแทบไม่ต้องคิดเลย“คิดถึงสิ!”
ดูเหมือนจะคาดไม่ถึงว่าซูฉางอันจะตอบออกมาตรงๆ เช่นนี้เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่เดิมคิดจะพูดแหย่ซูฉางอันจึงรู้สึกพูดไม่ออกไปชั่วขณะก่อนสีแดงจะปรากฏออกมาจากพวงแก้มทั้งสองข้างในวินาทีต่อมา
“ไม่เจอกันแค่ไม่นาน ปากหวานขึ้นเยอะเลยนะ”เซี่ยโหวฟ่งอวี้ก้มหน้าลง แล้วกล่าวพึมพำ
เสียงของนางแฝงไปด้วยความขุ่นเคืองเล็กน้อยทำให้ซูฉางอันไม่รู้ว่าแท้จริงแล้ว นางกำลังด่าหรือพูดชมกันแน่ดังนั้นจึงได้แต่เกาหัวอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วจ้องไปยังเซี่ยโหวฟ่งอวี้ท่าเดียว
“อย่ามัวแต่รื้อฟื้นความหลังกับศิษย์น้องสิอย่างน้อยก็ควรจะแนะนำข้าเสียหน่อย”เสียงที่เต็มไปด้วยความเย้าแหย่ของใครบางคนดังมาจากทางด้านหลัง ตามด้วยร่างของชายหนุ่มในชุดสีขาวเดินออกมาจากเื้ัของอวี้โหวฟ่งอวี้อย่างเชื่องช้า
ชายผู้นี้น่าจะมีอายุราวยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปี คิ้วเข้มตาคม ฟันขาวสะอาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดูคล้ายพวกนักกาพย์กลอนที่มักขับขานบทกลอนใต้ต้นหลิวเหลือเกินทว่าสิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ หนอนหนังสือพวกนั้นมักแลดูอ่อนแอเหลือทนผิดกับชายตรงหน้า เพราะทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนแฝงไปด้วยความขี้เล่น และเสน่ห์แพรวพราวแต่กลับยังมีความสะอาดหมดจด และเป็อิสระแฝงอยู่ด้วย บุคลิกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกลับผสานกันได้อย่างลงตัวในร่างของชายผู้นี้ไม่ได้ทำให้ผู้มองรู้สึกไม่ดีเลยแม้แต่น้อย
“ท่านนี้คือ...?” ซูฉางอันถาม
ยังไม่ทันที่เซี่ยโหวฟ่งอวี้จะได้พูดอะไร ชายผู้นั้นก็ยิ้มบางๆแล้วพูดขึ้นเสียก่อน “ข้ามีนามว่าเซี่ยโหวเซวียน เป็พี่ห้าของฟ่งอวี้”
“พี่ห้า? อ้อสวัสดีท่านพี่ห้า” ซูฉางอันไม่ทันได้คิดจึงประสานมือเป็เชิงทำความเคารพแล้วกล่าวขึ้นเช่นนั้น
ทว่าเมื่อได้ยินดังนั้น คนหนุ่มกลับะเิเสียงหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ทว่าเสียงหัวเราะนั้นไม่ได้ทำให้ซูฉางอันรู้สึกไม่ดีหรือแฝงไปด้วยรังสีแห่งการหยามิ่เลยแม้แต่น้อย ทว่าเป็เสียงหัวเราะที่มีเพียงความขบขันเท่านั้นเมื่อนำไปเทียบกับชนชั้นสูงและขุนนางที่ซูฉางอันเคยเจอมาก่อนหน้านี้แล้วชายคนนี้ดูจะมีความจริงใจและตรงไปตรงมาสูงกว่าไม่น้อยนั่นทำให้ซูฉางอันรู้สึกเป็มิตรกับเขาอย่างไม่มีข้อกังขาเลยก็ว่าได้
ทว่าซูฉางอันก็ยังรู้สึกทำตัวไม่ถูกอยู่ดีเขาไม่เข้าใจว่าทำไมชายผู้นี้ถึงหัวเราะออกมา
เซี่ยโหวฟ่งอวี้ที่อยู่ข้างกันหน้าแดงขึ้นมาทันที นางเตะซูฉางอันหนึ่งครั้งอย่างขุ่นเคืองจากนั้นจึงพูดเน้นเสียงทีละคำๆ อย่างชัดเจน “เขาเป็พี่ห้าของข้า!”
ในตอนนั้นเอง ในที่สุดซูฉางอันก็กระจ่างแจ้งขึ้นเสียทีศิษย์พี่เป็องค์หญิงแห่งแผ่นดินต้าเว่ยพี่ห้าของเขาย่อมต้องเป็องค์ชายห้าอยู่แล้ว เพราะก่อนหน้านี้ระหว่างที่อยู่ด้วยกันศิษย์พี่ไม่เคยวางมาด หรือใช้อำนาจแห่งการเป็องค์หญิงกับพวกเขาเลยดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปเขาก็แทบจะลืมไปแล้วว่าศิษย์พี่มีตำแหน่งที่สูงส่งอย่างเช่นองค์หญิงอยู่
หลังได้รู้ถึงฐานะที่แท้จริงของชายผู้นี้ซูฉางอันก็รีบยกมือมาประสานกันเพื่อทำความเคารพทันที “ถวายบังคมองค์ชายห้า”
ทว่าเซี่ยโหวเซวียนกลับทำท่าราวไม่ใส่ใจกลับยังพูดระคนหัวเราะขึ้น “เห็นร่ำลือกันมานานว่าสำนักเทียนหลายมีชายผู้แสนพิเศษที่ไม่สนใจเื่กฎระเบียบอยู่ผู้หนึ่งพอได้มาเห็นด้วยตาของตัวเอง ถึงได้รู้ว่าเป็ดังคำร่ำลือจริงๆ ด้วยแม้เราจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ข้าได้ฟังเื่ของเ้าจากฟ่งอวี้อยู่เป็ประจำ เช่นนั้นย่อมนับว่าเราก็รู้จักกันมานานแล้วคุณชายซู อย่ามากพิธีไปเลย”
เดิมทีซูฉางอันก็ไม่ชอบกฎระเบียบที่ซับซ้อนและยุ่งยากพวกนั้นอยู่แล้วเมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงลดมือลงด้วยความยินดี แล้วเดินนำคนทั้งสองเข้าไปในสำนักทันที
“ศิษย์พี่ ได้ข่าวว่าท่านกำลังจะก้าวไประดับอรุณรุ่งไม่ทราบว่าตอนนี้สำเร็จแล้วหรือยัง?” ซูฉางอันกับเซี่ยโหวฟ่งอวี้เดินขนาบกันอย่างเคยชิน
“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่รู้เสียแล้วว่าศิษย์พี่ของเ้าเป็ใคร”เซี่ยโหวฟ่งอวี้เชิดหน้าขึ้นอย่างไม่เกรงใจ ดูคล้ายกับหงส์จอมทะนงไม่มีผิด
“จริงสิ ได้ข่าวว่าผู้าุโฉู่ก้าวขึ้นไปได้อีกขั้นกลายเป็นักรบแห่งดาราจักรไปแล้วรึ?”
“อืม น่าเสียดายที่ตอนนี้เขากลับเจียงตงไปแล้ว เลยไม่มีใครสอนดาบข้าเลย”
“แต่เมื่อไม่นานมานี้ สำนักเรามีหญิงสาวคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมานางบอกว่าตัวเองเป็ผู้สืบทอดของอาจารย์ไคหยาง และที่สำคัญ นางมีทักษะแห่งกระบี่ยอดเยี่ยมมากตอนนี้นางรับหน้าที่เป็อาจารย์วิชากระบี่ของข้าอยู่”
“อย่างนั้นหรือ? ตอนอยู่ในวัง เสด็จพ่อก็หา...”
คู่ชายหญิงพูดคุยราวตรงนี้มีกันอยู่แค่สองคนเช่นนั้นพวกเขาถามสารทุกข์สุกดิบกันไปตลอดทาง
ที่เื้ัพวกเขา ขณะมองดูแผ่นหลังของคนทั้งสองที่เดินนำอยู่เบื้องหน้าจู่ๆ ชายชุดขาวก็ยักยิ้มที่มุมปาก ประกายรอยยิ้มดีใจระคนขมขื่นขึ้นกะทันหัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้