ระหว่างทางหวาชิงเสวี่ยทั้งตื่นเต้นและกังวล
นางไปที่หอเฟิงเล่อก่อน เพื่อขอให้เถ้าแก่เสิ่นช่วยแลกเศษเงินตำลึงก้อนนี้เป็เหรียญทองแดง
โดยปกติแล้วเื่แบบนี้ควรไปทำที่ร้านแลกเงิน เพียงแต่ว่าคนที่เข้าออกร้านแลกเงินล้วนถือหีบหรือกล่องใส่เงิน ส่วนนางมีแค่เศษเงินตำลึงก้อนเดียว…ช่างเถอะ ไปขอให้เถ้าแก่ช่วยดีกว่า
เถ้าแก่เสิ่นประกอบกิจการอย่างยุติธรรม ชั่งน้ำหนักให้อย่างตรงไปตรงมา จริงๆ แล้วเศษเงินก้อนนี้ไม่ถึงหนึ่งตำลึง แต่ก็ใกล้เคียง สุดท้ายเขาก็ให้เหรียญทองแดงกับหวาชิงเสวี่ยเก้าร้อยสามสิบหกเหรียญ
หวาชิงเสวี่ยลองยกดู
โอ้โห!...หนักตั้งสิบห้าสิบหกจินแน่ะ!
หวาชิงเสวี่ยดีใจจนเนื้อเต้น
ชายเคราเฟิ้มรออยู่หน้าหอเฟิงเล่อสักพัก ก็เห็นหวาชิงเสวี่ยแบกตะกร้าไว้ที่หลัง เดินออกมาด้วยสีหน้าร่าเริง
เขาเข้าใจในทันที คาดเดาว่าหวาชิงเสวี่ยคงจะไปขอให้เถ้าแก่ช่วยแลกเหรียญทองแดง
นางเองก็ฉลาดไม่น้อย ยังรู้จักเอาหมั่นโถวสองสามลูกใส่ไว้บนตะกร้า แล้วใช้ผ้าคลุมไว้บางส่วน ใครเล่าจะไปคิดว่าข้างใต้มีเหรียญทองแดงหนักกว่าสิบจิน?
ชายเคราเฟิ้มเดินตามหลังไปพลางสำรวจท่าทางของนาง
หวาชิงเสวี่ยที่เดินอยู่ด้านหน้าสวมเสื้อผ้าสีเทาหม่นๆ ห่อหุ้มร่างกายไว้อย่างมิดชิด มองไม่เห็นสัดส่วนที่แน่ชัด เพราะแบกของหนักไว้ด้านหลังจึงทำให้ร่างกายโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย ราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ชายเคราเฟิ้มรู้สึกว่านางเป็เพียงสตรีที่อ่อนแอ ดูไม่เหมือนหญิงชาวบ้านที่ทำงานหนักเป็ประจำ
เขาเม้มริมฝีปาก คิดในใจว่าสตรีนางนี้ไม่กลัวถูกเงินทับตายหรืออย่างไร?
หวาชิงเสวี่ยแลกเงินเสร็จแล้วยังไม่รีบร้อนที่จะกลับ แต่กลับเดินเล่นบนถนน
นางไปที่ร้านขายยาสั่งซื้อกำมะถันหนึ่งห่อ จากนั้นก็เริ่มถามหาซื้อปูนขาวกับหมางเซียวไปทั่วตลาด สุดท้ายก็มีคนแนะนำให้นางไปหาพรานป่าชราผู้หนึ่ง พรานป่าชราผู้นั้นไม่ได้ล่าสัตว์มานานแล้ว แต่เขามีฝีมือในการฟอกหนังสัตว์ ที่บ้านของเขาจึงมักจะมีปูนขาวกับหมางเซียวเก็บไว้
หวาชิงเสวี่ยเดินไปหาอย่างมีความสุข เมื่อซื้อปูนขาวกับหมางเซียวมาได้ ก็รีบไปที่ร้านขายของชำเพื่อซื้อน้ำตาล เกลือ และเครื่องปรุงรสอื่นๆ จากนั้นก็ไปร้านขายข้าว แล้วซื้อข้าวสาร แป้ง น้ำมัน ธัญพืชต่างๆ หลังจากซื้อของอย่างบ้าคลั่ง เหรียญทองแดงก็หายไปกว่าครึ่งแล้ว
หวาชิงเสวี่ยะโโลดเต้นกลับบ้านด้วยความดีอกดีใจ ตะกร้าที่หลังอัดแน่นไปด้วยของมากมาย นางอุ้มไหใส่น้ำมันไว้ในอ้อมแขน แขนอีกข้างหนึ่งหิ้วหัวไชเท้า ส่วนข้าวสารขาวๆ อีกถุงหนึ่งให้บ่าวร้านขายข้าวช่วยแบกให้
ชายเคราเฟิ้มเดินตามนางมาตลอดทาง เมื่อไม่เห็นนางติดต่อกับทหารเหลียวอีก ความสงสัยในใจก็จางหายไปไม่น้อย เพียงแต่เมื่อนึกถึงฐานะพิเศษขององค์รัชทายาท ประกอบกับที่มาที่ไปของสตรีผู้นี้ตรวจสอบไม่ได้ แม้จะไม่ใช่สายลับของชาวเหลียว แต่ก็อาจจะเป็ชาวซีเซี่ย [1] ก็ได้…
แต่ถึงอย่างไร องค์รัชทายาทก็ชอบนาง ตราบใดที่นางไม่ทำร้ายองค์รัชทายาท เก็บนางเอาไว้ก็คงไม่เสียหายอะไร
ชายเคราเฟิ้มคิดเช่นนั้น ในใจก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา ครู่เดียวก้อนหินเล็กๆ ที่ไม่ทันเห็นก็พุ่งไปทางหวาชิงเสวี่ย!
“อ๊า!” หวาชิงเสวี่ยร้องออกมาด้วยความใ!
นางรู้สึกว่าหัวเข่าชาไปชั่วขณะ ร่างกายก็เสียสมดุล ร่างทั้งร่างเซไปข้างหน้า!
น้ำมันของข้า!!!
ในวินาทีสุดท้ายก่อนที่ร่างจะล้มลง หวาชิงเสวี่ยมองไหใส่น้ำมันที่ลอยออกจากอ้อมแขนของตนไปแบบตาไม่กะพริบ! เมื่อคิดว่าน้ำมันเหล่านี้กำลังจะหกเลอะเทอะบนพื้น ในใจของนางก็รู้สึกเ็ปราวกับโดนเฉือนเนื้อออกไป!
แต่ไหใส่น้ำมันนั้นกลับหยุดกลางอากาศ!
ไม่ใช่แค่ไหใส่น้ำมันที่หยุด หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าร่างกายของตนก็หยุดเช่นกัน ราวกับร่างกายถูกแรงบางอย่างยกเอาไว้ เมื่อเงยหน้าขึ้น หวาชิงเสวี่ยก็พบว่ามีบุรุษมายืนอยู่ตรงหน้า!
นางมองไม่เห็นใบหน้าของบุรุษผู้นั้น เพราะอยู่ใกล้กันมากเกินไป หวาชิงเสวี่ยเห็นเพียงหนวดเคราที่หนาและดกดำ กับหน้าอกที่ขยับขึ้นลงเล็กน้อย
บุรุษผู้นี้ ช่างสูงใหญ่ยิ่งนัก…
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกมึนงงเล็กน้อย พอชายผู้นั้นคลายมือที่จับนางไว้ นางก็ถอยหลังไปสองก้าว จึงพบว่ามืออีกข้างของชายผู้นั้นกำลังถือไหใส่น้ำมันของนางอยู่
หวาชิงเสวี่ยเห็นไหใส่น้ำมันก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ดวงตาโค้งเป็เสี้ยวพระจันทร์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสดใส “…ดีจังเลยที่ไหไม่ตกแตก...”
นี่เป็คำพูดตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก
หลังจากเวลาผ่านไปหลายปี ชายเคราเฟิ้มก็ยังไม่ลืมภาพของหวาชิงเสวี่ยในตอนนั้น นางสวมเสื้อผ้าที่ดูไม่เข้ากัน มัดผมเปียธรรมดาๆ ดูอ่อนแอบอบบางจนเหมือนจะล้มลงได้ทุกเมื่อที่มีลมพัด แต่กลับแบก หิ้ว และอุ้มของหนักกว่าสามสิบจินไว้บนหลัง เวลาเอ่ยปากพูดกับเขา เสียงของนางแ่เบาและอ่อนหวาน ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่สดใสและอ่อนโยน น่าเสียดายที่ดวงตาของนางไม่ได้มองมาที่เขา เพียงแต่จ้องมองไหใส่น้ำมันในมือของเขาอย่างร้อนแรง
นางพูดว่า “ดีจังเลยที่ไหไม่ตกแตก...”
ชายเคราเฟิ้มยื่นไหใส่น้ำมันคืนให้หวาชิงเสวี่ย บ่าวร้านขายข้าวที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยชมเขาว่า “พี่ชายผู้นี้ฝีมือไม่ธรรมดาเลย!”
หวาชิงเสวี่ยจึงเงยหน้าขึ้นมองชายเคราเฟิ้ม เห็นว่าบุรุษผู้นี้มีหนวดเครารกครึ้ม ใต้คิ้วกระบี่พาดเฉียง มีดวงตาเรียวยาว ดวงตาสีดำสนิทราวกับดวงดาวที่เย็นเยียบ ลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง เขาสวมเสื้อคลุมยาวสีเทาอมน้ำตาลขนาดใหญ่ ยิ่งขับให้เขาดูสูงใหญ่และองอาจ ทั้งยังแผ่รัศมีอันน่าเกรงขามออกมาโดยไม่รู้ตัว
หวาชิงเสวี่ยชะงักไปครู่หนึ่ง อดรู้สึกไม่ได้ว่าบุรุษตรงหน้ามีบุคลิกที่โดดเด่น นี่เป็ครั้งแรกที่นางเพิ่งเคยเห็นความมีสง่าราศีอันน่าเกรงขามจากคนผู้นี้...
นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ถึงนึกขึ้นได้ว่าตนลืมกล่าวขอบคุณ จึงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ใบหน้าขาวเนียนค่อยๆ ขึ้นสีระเรื่อ ยิ่งทำให้ตัวของนางดูสดใสมากขึ้น
“ขอบ…ขอบคุณพี่ชายท่านนี้มากเ้าค่ะ” ไม่รู้ว่าในยุคนี้ควรกล่าวขอบคุณอย่างไร หวาชิงเสวี่ยจึงพูดติดๆ ขัดๆ ที่คำว่าขอบคุณ
นางรู้สึกว่าการขอบคุณแบบนี้ของตัวเองดูไม่จริงใจเอาเสียเลย ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ช่วยชีวิตไหใส่น้ำมันของนางเอาไว้
หวาชิงเสวี่ยพยายามนึกถึงคำพูดที่เหมาะสม จึงกล่าวต่อไปว่า “เมื่อครู่ถ้าไม่ได้พี่ชาย น้ำมันของข้าคงหกไปหมดแล้ว อืม…ข้ามีหัวไชเท้าอยู่บ้าง ท่านเอากลับไปกิน…”
ยังไม่ทันพูดจบ หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาอีกครั้ง!
จะให้หัวไชเท้าเขาทำไม?!…อากาศหนาวเช่นนี้ ใครบ้างจะไม่มีผักกาดขาวกับหัวไชเท้าเก็บไว้สักสิบยี่สิบจิน? คำพูดแบบนี้ไม่พูดออกมาเสียยังดีกว่า!
หวาชิงเสวี่ยเหลือบมองถุงข้าวสารบนบ่าของบ่าวร้านขายข้าว นางรู้สึกว่าตนเองช่างไร้ความสามารถเหลือเกิน จะมีอะไรจริงใจไปกว่าการให้ข้าวสารขาวๆ ถุงนี้กันเล่า?
แต่่ก่อนหน้านี้ตนกินแต่ข้าวกล้องกับธัญพืชหยาบๆ ตอนนี้อุตส่าห์ซื้อข้าวชั้นดีมาได้ถุงหนึ่ง นางก็ตัดใจให้ผู้อื่นไม่ได้จริงๆ …
นางลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง ใบหน้าก็ยิ่งแดงขึ้น
ชายเคราเฟิ้มมองหัวไชเท้าที่หวาชิงเสวี่ยยื่นให้ด้วยอารมณ์ซับซ้อน บ่าวร้านขายข้าวที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะขบขันไม่หยุด เขาจึงรู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
แต่เขาเพียงแค่ชะงักไปครู่เดียว จากนั้นก็ตั้งสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว รับหัวไชเท้ามาไว้ในมือพลางพูดว่า “อากาศหนาว พื้นลื่น แม่นางระวังด้วย” พูดจบก็หมุนตัวหันหลังเดินจากไป
เขายืนยันความเห็นภายในใจได้แล้วว่า สตรีนางนี้ไม่มีวรยุทธ์ ปลอดภัยแน่นอน
หวาชิงเสวี่ยมองแผ่นหลังของชายเคราเฟิ้มที่เดินจากไป ร่างสูงสง่าราวกับต้นสน ก้าวย่างคล่องแคล่วราวกับลูกธนูที่พุ่งออกไป
นางรู้สึกมึนงงเล็กน้อย คิดในใจว่า ถึงแม้ว่าบุรุษผู้นี้จะดูเ็าไร้เมตตา แต่ก็มีจิตใจที่ดี
และในขณะนี้ ฉินเหลาอู่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าหลี่จิ่งหนานด้วยท่าทีนอบน้อม
ตอนที่ฉินเหลาอู่กับชายเคราเฟิ้มเข้ามาในเมืองเหรินชิว ได้ปลอมตัวเป็ผู้คุ้มกันของคาราวานพ่อค้า พวกเขาเตรียมการทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอให้คาราวานขายสินค้าจัดการเื่ใบอนุญาตเดินทางเสร็จสิ้น จึงจะสามารถออกจากเมืองได้
โดยปกติแล้วคาราวานขายสินค้าจะอยู่ในเมืองหนึ่งๆ เป็เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน ตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดหรือแปดวันก่อนจะถึงวันออกจากเมือง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ก็น่าจะสามารถส่งองค์รัชทายาทกลับเมืองหลวงได้อย่างราบรื่น
ความตั้งใจของฉินเหลาอู่คือ ให้หลี่จิ่งหนานเตรียมตัวภายในสองวันนี้ เพื่อที่จะออกจากเมืองไปกับพวกเขาได้ทุกเมื่อ ส่วนหวาชิงเสวี่ย สตรีผู้นี้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน ไม่ควรพาไปด้วยจะเป็การดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หลี่จิ่งหนานเป็เพียงแค่เด็กเล็ก ซ่อนตัวได้ง่ายกว่า ส่วนหวาชิงเสวี่ยเป็สตรี การที่คาราวานขายสินค้ามีสตรีมาด้วย จะยิ่งเป็จุดสนใจ หากทำให้การส่งองค์รัชทายาทออกจากเมืองได้ไม่ราบรื่นก็คงไม่ดี
หลี่จิ่งหนานฟังคำพูดโน้มน้าวของฉินเหลาอู่จบแล้วก็รู้สึกคอแห้ง ความรู้สึกยินดีที่ได้พบฉินเหลาอู่ก็จางหายไปทีละน้อย...
“นางไม่ใช่ไส้ศึก…” หลี่จิ่งหนานถอนหายใจ “ตอนที่ข้าพบนาง นางเหลือเพียงลมหายใจรวยริน เ้าสิบหกบอกว่าหากข้าไปช้ากว่านั้นอีกหน่อย บางทีนางคงแข็งตายอยู่บนูเานั่นแล้ว…เ้าว่า บนโลกนี้จะมีไส้ศึกที่โง่เขลาเช่นนี้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้น หากจงใจแฝงตัวอยู่ข้างกายข้า นายของนางคงจะจัดเตรียมที่มาที่ไปที่สมเหตุสมผลให้นางอย่างแน่นอน ไยจะมีที่มาที่ไปที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้”
ฉินเหลาอู่เกาหัวด้วยความจนใจทำอะไรไม่ได้ “องค์รัชทายาท หากเราต้องพานางออกจากเมืองไปด้วย ความเสี่ยงมันมากเกินไปพ่ะย่ะค่ะ หากว่า…”
หลี่จิ่งหนานโบกมือ ใบหน้าเรียบเฉย เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารู้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ เ้าไปตามแม่ทัพฟู่มาพบข้า ข้าไม่ได้้าจะทำให้พวกเ้าลำบาก ข้าแค่อยากถามแม่ทัพฟู่ด้วยตัวเองว่า พานางไปด้วยไม่ได้จริงๆ หรือ”
ฉินเหลาอู่ก็เริ่มลังเลใจเช่นกัน เมื่อได้ยินองค์รัชทายาทตรัสเช่นนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าการทิ้งสตรีที่อ่อนแอเอาไว้เช่นนี้โดยไม่ทำอะไร เป็เื่ที่ไม่เหมาะสมเสียเลย ช่างเถอะ อย่างไรเขาก็เป็แค่คนส่งสาร ทุกอย่างขึ้นอยู่กับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ว่าอย่างไร เขาก็จะทำตามนั้น
พอฉินเหลาอู่กลับไปยังโรงเตี๊ยมที่คาราวานพ่อค้าพักอยู่ ชายเคราเฟิ้มก็กลับมาแล้ว
ฉินเหลาอู่เห็นหัวไชเท้ากองอยู่ข้างประตูก็รู้สึกแปลกใจ “พี่ใหญ่ หัวไชเท้าพวกนี้มาจากไหนกันขอรับ?”
ชายเคราเฟิ้มไม่ได้ตอบเขา เพียงแต่ถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า “องค์รัชทายาทตรัสว่าอย่างไร?”
ฉินเหลาอู่ขยับมือไปปิดประตู หันไปมองสีหน้าของชายเคราเฟิ้มอย่างระมัดระวัง แล้วกล่าวว่า “องค์รัชทายาทอยากพบท่าน และยังถามว่าสามารถพาสตรีนางผู้นั้นออกจากเมืองไปด้วยกันได้หรือไม่”
ใช่แล้ว ชายเคราเฟิ้มผู้นี้ ก็คือแม่ทัพฟู่ที่องค์รัชทายาทน้อยเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง
แม่ทัพฟู่มีชื่อจริงว่าฟู่ถิงเย่ เป็บุตรชายคนโตของเว่ยหย่วนโหวแห่งต้าฉีนามว่าฟู่เซิ่ง บิดาและลุงของเขาล้วนเป็ผู้บัญชาการทหาร ดังนั้นเขาจึงเริ่มติดตามบิดาไปสนามรบั้แ่ยังเด็ก ก่อนที่แคว้นต้าเหลียวจะรุกราน เขาประจำการอยู่ทางตะวันตกของแคว้นต้าฉีเพื่อต่อต้านการรุกรานของชาวหมานอี๋ เมื่อหนึ่งปีก่อนสามมณฑลถูกยึดครอง ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ส่งเขามาที่นี่ ซึ่งเป็สถานที่ที่อยู่ใกล้กับชาวเหลียวมากที่สุด
ดูเหมือนฟู่ถิงเย่จะคาดเดาแผนการขององค์รัชทายาทเอาไว้แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจ “ยิ่งมากเื่จะยิ่งเสี่ยง ทำตามแผนเดิมเถอะ”
ฉินเหลาอู่เห็นเขาพูดเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็จริงจัง “หรือว่านางเป็ไส้ศึกจริง?” ไม่อย่างนั้นเหตุใดพี่ใหญ่ถึงไม่ยอมพานางออกจากเมืองไปด้วย?
ชายเคราเฟิ้ม หรือก็คือฟู่ถิงเย่ ส่ายหน้าไปมาเบาๆ “ข้าทดสอบนางดูแล้ว นางไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์”
ไม่เพียงแต่ไม่เคยฝึกฝนวรยุทธ์ แม้แต่ร่างกายก็ยังอ่อนแอมาก หญิงชาวบ้านทั่วไปยังแข็งแรงกว่าเสียอีก
ฉินเหลาอู่โล่งใจ เอ่ยถามว่า “ในเมื่อไม่ใช่ไส้ศึก เราก็หาวิธีพานางไปด้วยกันเถอะ ข้าเห็นว่าองค์รัชทายาทให้ความสำคัญกับนางมาก”
ฟู่ถิงเย่กลับส่ายหน้า
—————————————————————————————————
[1]ซีเซี่ย(西夏)อาณาจักรซีเซี่ย เป็อาณาจักรที่ก่อตั้งโดยชาวถังเซี่ยง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีนใน่ศตวรรษที่ 11 ถึง 13