“ดูสิ บุรุษเช่นพวกท่านช่างน่าเบื่อนัก เวลาพักผ่อนแท้ๆกลับเอาแต่เคร่งเครียด ในนี้ล้วนมิใช่คนอื่นคนไกล เหตุใดทุกท่านไม่ทำตัวสบายๆกันสักหน่อย
ข้าจะบรรเลงเพลงให้พวกท่านสักเพลง ทุกท่านฟังไปพลาง สนทนาไปพลาง บรรยากาศจะได้ผ่อนคลายลงบ้าง”
หลิ่วจิ้งหันไปมองสตรีที่กำลังพูด นางนั่งอยู่ข้างโต๊ะฉินแต่งหน้าบางๆ สวมชุดกระโปรงสีม่วงแดง รอยยิ้มของนางมีแววเ้าเล่ห์ทว่ามีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงเกินต้านทาน
ช่างเป็หญิงงามชดช้อยหมดจด หลิ่วจิ้งเกิดความใคร่รู้ในตัวนางขึ้นมาทันใด
หั่วอี้กลับมิได้แนะนำหลิ่วจิ้งกับสตรีผู้นี้ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้อยู่ในสายตาของหั่วอี้แต่นางกลับกล้าเอ่ยขัดบทสนทนาของพวกเขาโดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากเสนาบดีจ้าวก่อน แล้วสตรีผู้นี้มีฐานะหรือมีเื้ัเช่นใดกัน?
ในขณะที่หลิ่วจิ้งกำลังใคร่ครวญอยู่ เสนาบดีจ้าวก็หัวเราะฮ่าๆขึ้นมา “มาๆๆ ข้าจะแนะนำกับพวกเ้าสักหน่อย ท่านนี้คือเฉินตานถิงพวกเ้าเป็ผู้เยาว์ก็เรียกขานนางว่าน้าถิงก็แล้วกัน”
“คารวะท่านน้าถิง” เมื่อหั่วอี้และหลิ่วจิ้งเห็นว่าเสนาบดีจ้าวแนะนำนางอย่างเป็ทางการเช่นนี้จึงรีบลุกขึ้นแล้วหันไปคำนับเฉินตานถิง
“เอาเถิดๆ ก็เพิ่งจะบอกไปว่าอย่าทำให้เด็กๆ ตกอกใแต่กลับวางท่าเป็ผู้าุโกันทั้งคู่ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ชอบการคบค้าสมาคมกันอย่างมีแบบแผนเกินไป ก็ยังหาเื่ให้ข้าเสียได้”
เฉินตานถิงเอ็ดยิ้มๆ แต่ก็รับการคารวะจากหั่วอี้และหลิ่วจิ้ง
เมื่อมีเฉินตานถิงเข้ามาแทรก บรรยากาศในห้องก็ผ่อนคลายลงจ้าวฉวนเห็นแก่เฉินตานถิงจึงไม่ไปไถ่ถามหลิ่วจิ้งให้มากความอีกแต่หันเหความสนใจมาที่ตัวหั่วอี้และพาเขาไปนั่งสนทนาเื่บ้านเมืองที่มุมหนึ่งภายในห้อง
จ้าวเหยียนเฉิงก็ไปนั่งอยู่ข้างๆ หั่วอี้คอยฟังเื่ที่เสนาบดีจ้าวสนทนากับหั่วอี้ด้วย
จ้าวอี้หรงรู้สึกเบื่อหน่ายจึงไปเล่นฉินกับเฉินตานถิงเฉินตานถิงเข้าอกเข้าใจจิตใจคนจึงไม่ได้ละเลยหลิ่วจิ้ง นางกวักมือให้หลิ่วจิ้งพลางเอ่ยว่า“ฮูหยินหั่วรู้เื่ฉินบ้างหรือไม่ เป็ผู้เชี่ยวชาญเื่ฉินหรือไม่เ้าคะ”
หลิ่วจิ้งไม่คิดจะอวดอ้างตน เดิมทีนางก็คิดจะปิดบังเื่นี้เอาไว้แต่ในขณะที่นางกำลังจะเอ่ยปาก กลับเกิดความคิดดีๆ ขึ้นมาจึงเอ่ยไปว่า “ครั้งข้าอยู่ในวังหลวงยามว่างไม่มีเื่ใดทำก็เคยไปร่ำเรียนกับกองสังคีตในวังมา่เวลาหนึ่งไม่นับว่าเก่งกาจ พอรู้จักเพียงผิวเผินเท่านั้นเ้าค่ะ”
เมื่อเห็นว่าอาหารที่จัดวางอยู่เต็มโต๊ะแทบไม่มีผู้ใดแตะต้องทันใดนั้นหลิ่วจิ้งจึงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ยามนี้เป็เวลาสำหรับรับอาหารเย็นเดิมทีจึงควรทานอาหารเย็นกันก่อน แต่เมื่อมองภาพภายในห้องในตอนนี้จึงคิดว่าคงเป็เพราะท่านเสนาบดีจ้าวและเฉินตานถิงคนหนึ่งชอบบรรเลงฉินอีกคนชอบฟังฉินจึงทำให้เอาแต่รับฟังและกำซาบกับเสียงฉินจนทำให้อาหารชั้นเลิศมากมายนี้ต้องสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ
ความคิดเล็กน้อยหนึ่งจึงผุดขึ้นมาในใจของหลิ่วจิ้งอย่างรวดเร็วจนแม้แต่นางเองก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูกนางเพียงััได้ว่านางอาจคิดแผนการบางอย่างจากตัวเสนาบดีจ้าวหรือเฉินตานถิงได้แต่ก่อนแผนการที่เป็รูปธรรมจะเป็รูปเป็ร่างขึ้นมา สิ่งสำคัญในเบื้องต้นนี้ก็คือต้องเข้าใกล้พวกเขาให้ได้เสียก่อนจึงทำให้หลิ่วจิ้งเปลี่ยนความคิด
เฉินตานถิงดีใจนักที่ได้ยินว่าหลิ่วจิ้งมีความรู้เื่ฉิน“ดีจริงๆ ปกติแล้วล้วนเป็ผู้อื่นฟังข้าดีดฉินข้าเองก็อยากเป็ผู้สดับฉินเช่นผู้อื่นบ้าง แต่กลับไม่พบผู้ที่ยอมบรรเลงฉินให้ข้าฟังด้วยใจจริงไม่ทราบว่าฮูหยินหั่วจะบรรเลงฉินให้ข้าฟังสักเพลงได้หรือไม่ให้เกียรติข้าได้เป็ผู้สดับฉินบ้าง”
หลิ่วจิ้งย่อตัวคำนับเฉินตานถิง กล่าวว่า “ฝีมือฉินของข้าเพียงบรรเลงฟังเองเท่านั้นเมื่อท่านน้าถิงเมตตา ข้าก็จะแสดงฝีมือน่าขันให้ท่านฟังเ้าค่ะ”
นางไม่เกรงใจอีก ม้วนแขนเสื้อยาวขึ้นพลางเดินไปข้างหน้าเฉินตานถิงขยับออกจากที่นั่งให้นางนานแล้ว และเดินไปที่เก้าอี้ยาวที่อยู่ใกล้ๆ ส่วนจ้าวอี้หรงกลับมีสีหน้าเย้ยหยันหลิ่วจิ้งอีกครานางเดินไปนั่งข้างๆ รอดูเื่น่าขำของหลิ่วจิ้ง
หลิ่วจิ้งนั่งลงข้างฉินลองดีดสายฉินทั้งหมดดูก่อนรอบหนึ่งพลางเอียงหูตั้งใจฟังนางดีดออกมาคล้ายไม่เป็ทำนอง แต่กลับเป็เสียงสดใสบางเบาดั่งเม็ดหยกกระทบถาด
หึ ไม่รู้กลับแกล้งทำเป็รู้จ้าวอี้หรงเห็นว่าหลิ่วจิ้งดีดฉินส่งเดชรอบหนึ่ง ก็เย้ยหยันอยู่ในใจ “หวงฝู่จิ้งเ้าหารู้ไม่ว่าท่านน้าถิงเป็ผู้ใด ต่อให้เ้าดีดได้ดีอีกเพียงใดต่อหน้าท่านน้าถิงก็ทำได้แค่ควงขวานต่อหน้าปันเหมิน [1] ให้คนเยาะเอาเท่านั้น”
ว่ากันว่าผู้ไม่ชำนาญชอบดูเอาสนุก ผู้ชำนาญดูวิธีการเมื่อเฉินตานถิงเห็นสิ่งที่หลิ่วจิ้งทำก่อนบรรเลงฉินนางก็เก็บความคิดว่าจะฟังเพียงผ่านๆ ไปเสีย
ผู้ที่เข้าใจการดีดฉินอย่างถ่องแท้ล้วนต้องลองเสียงฉินตัวใหม่ที่เพิ่งเคยเล่นเป็ครั้งแรกเพราะแม้จะเป็บทเพลงเดียวกัน แต่ความสูงต่ำของสายฉินแต่ละตัวกลับทำให้เพลงที่ดีดออกมาต่างกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้บรรเลงฉินที่แท้จริงจึงต้องลองเสียงฉินก่อน ถึงจะสามารถรู้ได้ว่าฉินในมือจะดีดเสียงแบบใดออกมา
หลิ่วจิ้งทดลองดีดรอบหนึ่งจนเข้าใจแล้วเพื่อให้นางสามารถเป็ที่ต้องตาของเสนาบดีจ้าวและเฉินตานถิง นางจึงเลือกเพลง ‘หงส์ชมดอกเหมย’ ซึ่งเป็เพลงที่ค่อนข้างยาก
เริ่มต้น นางหลับตาทั้งคู่ลง สูดหายใจลึก ก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับนิ้วทั้งสิบที่วางลงบนสายฉินเสียงฉินอ่อนละมุนประหนึ่งสองมือมารดาลูบหัวบุตรอย่างบางเบาพริบตานั้นทำให้ผู้ฟังนึกถึง่เวลายามที่ตนสุขสบายใจเป็ที่สุดและเคลิบเคลิ้มอยู่ในโลกของตน
เสนาบดีจ้าวและหั่วอี้กำลังหารือกันเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวในจวนผู้สำเร็จราชการแต่เสียงฉินแสนเสนาะนี้กลับโชยมาตามลมและพัดเข้าไปในจิตใจของพวกเขาทำให้ความคิดของคนทั้งสองต่างหยุดชะงัก ต่อให้ไม่อยากฟังก็ไม่ได้
ภายในห้องเงียบงันลงทันใด ทุกคนกลับรู้สึกว่าแม้แต่ลมหายใจก็ยังมิอาจควบคุมได้หัวใจของพวกเขาดำดิ่งลงไปตามเสียงต่ำของฉิน และเชิดสูงตามเสียงฉินที่สูงขึ้นเสียงฉินของหลิ่วจิ้งยึดกุมความรู้สึกของทุกคนเอาไว้อย่างเหนี่ยวแน่นเบ็ดเสร็จจนไร้เรี่ยวแรงถอดถอนตัว
เดิมทีเฉินตานถิงนั่งเอียงตัวมองอย่างผ่อนคลายแต่เมื่อได้ยินเสียงฉินของหลิ่วจิ้ง นางกลับเดินมาข้างกายหลิ่วจิ้งโดยไม่รู้ตัวนิ่งฟังอย่างลุ่มหลงจดจ่อ
เมื่อเสียงฉินสุดท้ายสิ้นสุดลง หลิ่วจิ้งก็เก็บนิ้วทั้งสิบที่ดีดฉินกลับไปบทเพลงหงส์ชมดอกเหมยแสนจับใจจึงจบลง
บทเพลงนี้แทบจะใช้กำลังทั้งหมดในตัวของหลิ่วจิ้ง พอดีดจบนางก็หลับตาทั้งคู่พลางค่อยๆ ปรับลมหายใจและอารมณ์ของตนให้สงบลง
จวบจนหลิ่วจิ้งรู้สึกว่าสามารถควบคุมอารมณ์ของตนได้แล้วนางจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น
นางรู้ฐานะของนางดีว่านางไม่มีทั้งฐานะและโอกาสมากมายจะเข้าใกล้เสนาบดีจ้าวกับเฉินตานถิงนางจึงจำเป็ต้องทำสิ่งที่น่าตื่นตะลึงเพื่อสร้างความประทับให้พวกเขา พวกเขาถึงจะจดจำนางได้ นางจึงยอมเสี่ยงเลือกเพลงหงส์ชมดอกเหมยนี้
บทเพลงนี้เป็หยวนเซิ่งชิงและนางบังเอิญหลงเข้าไปในหุบเขาแห่งหนึ่งและได้รำเรียนมาจากผู้มีฝีมือล้ำเลิศที่เร้นกายจากโลกภายนอก
นางเชื่อว่าหงส์ชมดอกเหมยเพลงนี้ยังไม่เคยเผยแพร่ออกมายังโลกภายนอกนอกจากผู้าุโที่ถ่ายทอดบทเพลงนี้ให้นางกับหยวนเซิ่งชิงแล้ว คงยังไม่มีผู้ใดเคยฟังมาก่อน
หลังจากจบเพลงไปพักใหญ่ หลิ่วจิ้งก็ค่อยๆ ปรับจิตใจของนางให้เป็ปกติแต่ภายในห้องก็ยังคงเงียบงันไร้ซุ่มเสียง ผ่านไปอีกชั่วครู่หนึ่งจึงค่อยมีเสียงปรบมือดังขึ้น
หลิ่วจิ้งมองไปตามเสียงปรบมือ ฝีมือฉินของนางถึงกับทำให้ได้รับเสียงปรบมือจากเสนาบดีจ้าวนางลุกขึ้นคำนับและขอบคุณที่ได้รับการชมเชยของเขา
“ดี ดีๆ ดีจริงๆ จนยามนี้ข้าก็ยังคงดำดิ่งอยู่ในความทรงจำแสนงดงามครั้งข้ายังร่ำเรียนการศิลป์และได้รับคำชมจากท่านอาจารย์อยู่เลยต้องขอบใจฮูหยินหั่วที่ให้ความทรงจำที่แสนแจ่มชัดเหมือนจริงแก่ข้าในครานี้”
เฉินตานถิงเอ่ยพลางหันไปคำนับหลิ่วจิ้งทำเอาหลิ่วจิ้งตื่นใจนต้องขยับตัวไปข้างๆนางจะรับการคำนับอย่างเต็มพิธีจากเฉินตานถิงได้อย่างไร เพราะนางพอจะเดาฐานะของเฉินตานถิงออกแล้วเพียงแต่นางประหลาดใจเกินไปจึงยังไม่กล้าแน่ใจเท่านั้น
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ควงขวานต่อหน้าปันเหมิน มีความหมายเหมือน สอนหนังสือสังฆราช สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำ(หลูปันเหมินเป็ยอดช่างไม้)
