การที่ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นให้เย่เฟิงโจมตีสามกระบวนท่า นั่นก็เพื่อเป็การพิสูจน์ แต่ในความเป็จริงกลับไม่เป็เช่นนั้น
หนึ่งหอกสุดท้ายของเย่เฟิงทรงอานุภาพมาก เกรงว่าแม้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นจะสู้กับเย่เฟิงในศึกธรรมดาก็คงถูกเย่เฟิงฆ่าตายอยู่ดี
นอกจากนี้หวังิก็ยิ่งไม่ใช่คนระดับเดียวกับเย่เฟิง นี่ทำให้ซุนจิ้งรู้สึกสับสน ก่อนหน้านี้นางชอบดูถูกเย่เฟิงว่าเป็เศษสวะ แต่ตอนนี้นางซุนจิ้งนับเป็สิ่งใดเมื่ออยู่ต่อหน้าเย่เฟิง?
จนตอนนี้ซุนจิ้งเพิ่งตระหนักได้ว่าการที่นางดูถูกเหยียดหยามเย่เฟิง แต่เย่เฟิงกลับไม่สนใจแม้แต่นิดเดียว นั่นไม่ใช่เพราะเย่เฟิงอ่อนแอ หรืออยากทำร้ายนาง แต่เป็เพราะดูแคลนที่นางมองการณ์ตื้นเขินเกินไป ซึ่งมีประโยคหนึ่งที่เย่เฟิงพูดไว้ก่อนหน้านี้ มันเหมาะสมกับนางมาก ‘สามัญชนย่อมไม่รู้ว่าท้องฟ้าที่อัจฉริยะเผชิญหน้าด้วยกว้างขวางเพียงใด’ นี่สิคือความภูมิใจที่อัจฉริยะแท้จริงพึงมี
เมื่อลูกมือคนสุดท้ายถูกเย่เฟิงฆ่าตาย เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ก็มองเย่เฟิงด้วยแววตาเ็า
“เ้า... ฆ่าพวกเขา?” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวเสียงเ็า แต่ยังคงมีท่าทีหยิ่งผยองเช่นเคย
“ทำไมหรือ? เ้าก็อยากตายด้วยหรือ?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม
“อย่าคิดว่าฆ่าลูกมือทั้งสามคนของข้าได้แล้วจะมีสิทธิ์เทียบเคียงข้า อย่างน้อยตอนนี้เ้าก็ไม่คู่ควร!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่กล่าวด้วยความมั่นใจอันแรงกล้า หากเขา้าฆ่าเย่เฟิง เย่เฟิงจะต้านทานได้อย่างไรเล่า?
ขณะนั้นมีเสียงฝีเท้าดังแว่วมา จากนั้นเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมาแล้วก็เดินผ่านพวกเย่เฟิงไป ทว่าไม่ปรายตามองพวกเย่เฟิงแม้แต่นิดเดียว ดูเหมือนว่าทิศทางที่มุ่งหน้าไปมีบางอย่างเกิดขึ้น
“พวกเราต้องเร่งฝีเท้าให้เร็ว ไม่เช่นนั้นผลเทียนเสวียนจะตกไปอยู่ในมือคนอื่น!” ขณะที่คนเ่าั้จะจากไปก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
“ผลเทียนเสวียน!” เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ได้ยินเช่นนั้นก็ตาทอประกาย ก่อนจะเหลือบมองเย่เฟิงพร้อมกล่าวขึ้น
“เ้า่ดวงแข็งยิ่งนัก ข้าจะไว้ชีวิตเ้าเป็การชั่วคราว แต่ข้ารับประกันได้เลยว่าเ้าไม่มีทางออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ได้!” เมื่อกล่าวจบเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ก็หมุนตัวและไล่ตามคนเ่าั้ไป กระทั่งไม่ปรายตามองซุนจิ้งที่เขาอยากเล่นสนุกด้วยก่อนหน้านี้ บางทีในสายตาเขา ผู้หญิงประเภทนี้อาจมีไว้เพื่อความบันเทิง
เซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่จากไป จู่ ๆ ไป๋หลิงก็ถอนใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินไปที่ด้านหน้าเย่เฟิงพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องเย่ ไม่คิดว่าเ้าจะร้ายกาจได้เพียงนี้”
“แค่ทาสนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่สามคนก็เท่านั้น นับเป็สิ่งใดกัน” เย่เฟิงกล่าว
“ฟังจากบทสนทนาของกลุ่มคนที่ผ่านไปเมื่อครู่ ดูเหมือนผลเทียนเสวียนจะปรากฏแล้ว อีกอย่างคนกลุ่มนั้นก็ดูรีบร้อนมาก น่าจะอยู่ไม่ไกล พวกเราจะไปดูกันไหม?” ไป๋หลิงเอ่ยถาม
“ยังก่อน” เย่เฟิงมองไป๋หลิงพลางกล่าวว่า “ข้าขอเวลาครึ่งชั่วยาม”
ไป๋หลิงกะพริบตาปริบ ๆ นางไม่เข้าใจว่าเย่เฟิงจะทำอะไร แต่ก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นนางเห็นเย่เฟิงไขว้ขานั่งลงขัดสมาธิและหลับตา ไม่นานก็เข้าฌาน พลันมีพลังประหลาดเริ่มรายล้อมร่าง มีพลังหยวนมารวมตัวที่กลางอากาศและไหลไปตามร่างกายของเย่เฟิง
“แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ” ไป๋หลิงกะพริบตาปริบ ๆ ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว การที่เย่เฟิง้าเวลาครึ่งชั่วยาม นั่นก็เพื่อบ่มเพาะพลัง ทั้งยังบ่มเพาะพลังในสภาพแวดล้อมเช่นนี้อีก เป็นางไป๋หลิงคงทำไม่ได้แน่นอน นี่อาจเป็ความแตกต่างระหว่างนางกับเย่เฟิงก็ได้
ส่วนซุนจิ้งมองเย่เฟิงที่นั่งฌานด้วยสีหน้าซับซ้อน นางเพียงมองเย่เฟิงเงียบ ๆ โดยที่ไม่ไปไหน
อักขระห้อมล้อมร่างเย่เฟิง พร้อมพลังหยวนมหาศาลหลั่งไหลสู่ร่างเขาอย่างบ้าคลั่ง ขัดเกลากระดูกเส้นเอ็นและบำรุงเส้นเื
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ร่างกายของเย่เฟิงส่องแสงจ้าพร้อมมีพลังประหลาดโคจร ซึ่งพลังเช่นนั้นอดทำให้ไป๋หลิงและซุนจิ้งที่อยู่ข้าง ๆ ใไม่ได้ แต่จากนั้นลมหายใจของเย่เฟิงก็กลับสู่สภาวะปกติ แสงจ้าหายไป ก่อนเขาจะลุกขึ้นยืน แววตาของเขาดูลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมและเปล่งประกายดุจดวงดาว ลมปราณที่แผ่ออกจากร่างก็ทรงพลังขึ้น
“เ้าทะลวงแล้วหรือ?” ไป๋หลิงถามขณะมองเย่เฟิงที่เปลี่ยนไป
“อืม” เย่เฟิงพยักหน้า ตอนที่เขาสู้กับผู้ฝึกยุทธ์จุดสูงสุดของขั้นบ่มเพาะกายาจากนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ก็รู้สึกได้ว่ากำลังจะทะลวง ดังนั้นหลังจากเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ไป เย่เฟิงก็เข้าฌานทันทีเพื่อไม่ให้เป็การเสียเวลา
“ฮู่ว!” ไป๋หลิงถอนหายใจพลางตากะพริบปริบ ๆ แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “แบบนี้ก็ได้ด้วย!”
“เขาทะลวงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 พลังต้องน่ากลัวขึ้นกว่าเดิมแน่เลย!” ไป๋หลิงแอบคิดในใจ
ซุนจิ้งก็มองเย่เฟิงจากทางด้านนี้ นับวันเย่เฟิงยิ่งโดดเด่น และยิ่งทำให้นางรู้สึกเสียใจกับการกระทำก่อนหน้านี้
“เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” เย่เฟิงกล่าว หญ้าเทียนเสวียนปรากฏ เขาย่อมต้องไปดู อีกอย่างกลุ่มคนที่เดินผ่านไปก่อนหน้านี้ก็กำลังมุ่งหน้าไปยังอีกฟากของหุบเขา ซึ่งไม่ส่งผลกระทบต่อการทดสอบ
“อืม” ไป๋หลิงพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองซุนจิ้งที่อยู่ใกล้ ๆ และอดถอนใจไม่ได้ จากนั้นหันไปพูดกับเย่เฟิงว่า “ศิษย์น้องเย่ ข้ามีเื่หนึ่งอยากขอร้อง ไม่รู้ว่าเ้าจะตอบตกลงไหม”
“ว่ามาสิ” เย่เฟิงกล่าว
“พาศิษย์น้องข้าไปด้วย ครั้งนี้นางทำเกินไปจริง ๆ แต่ข้าก็ไม่อยากทิ้งไว้คนเดียว” ไป๋หลิงกล่าว แต่เย่เฟิงเพียงมองนางกลับไร้ซึ่งคำตอบ
“ศิษย์น้องเย่วางใจได้ นางจะไม่รบกวนและขัดขวางการทดสอบของเ้า หากพบเจออันตรายข้างหน้า ข้าจะให้ศิษย์น้องใช้ยันต์เคลื่อนย้าย” ไป๋หลิงกล่าว
“อืม” เย่เฟิงเพียงพยักหน้า เขาไม่สนใจซุนจิ้งั้แ่ต้นจนตอนนี้ จากนั้นไป๋หลิงเดินไปหาซุนจิ้งและพูดบางอย่าง ก่อนพวกเขาจะออกเดินทางต่อ
ในระหว่างทางที่ตามร่องรอยของคนกลุ่มนั้นไปก็พบผู้ฝึกยุทธ์มุ่งหน้าไปทิศทางเดียวกันจำนวนไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะไปเพราะผลเทียนเสวียนเหมือนกัน ผลิญญาที่มีประสิทธิภาพสูง พลังดึงดูดย่อมมากโข
ผ่านไปประมาณสองชั่วยาม พวกเย่เฟิงก็มาถึงพื้นที่เปิดกว้าง ที่แห่งนี้ห้อมล้อมไปด้วยพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ และมีหน้าผาสองด้านสูงตระหง่านระฟ้า
“ศิษย์น้องเย่ เ้าดูสิ” นิ้วยาวเรียวของไป๋หลิงชี้ไปยังตรงกลาง เย่เฟิงจึงมองไปตรงนั้น ก่อนจะเห็นต้นไม้โบราณขนาดใหญ่ต้นหนึ่งที่ถอนรากขึ้นจากพื้นดิน มันลอยตระหง่านกลางอากาศดูงดงามอย่างมาก
นอกจากนี้ยังมีหมอกสีขาวลอยอยู่ระหว่างกิ่งก้านใบ ราวกับไอเซียนก็ไม่ปาน ทำให้ต้นไม้ต้นนี้ดูลึกลับคล้ายกับว่ามาจากสวน์
“ต้นไม้ต้นนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา” เย่เฟิงคิดในใจเหมือนััได้ถึงกลิ่นอายลึกลับที่แผ่ออกจากต้นไม้ต้นนั้น ซึ่งกลิ่นอายเช่นนั้นราวกับมาจากยุคโบราณ
“อืม ดูเหมือนจะเป็ต้นเทียนเสวียนในตำนาน!” ไป๋หลิงมองต้นไม้ต้นนั้นไม่วางตา ส่วนเย่เฟิงตาเผยประกายคมกริบ ผลเทียนเสวียนก็คือผลของต้นเทียนเสวียนต้นนี้น่ะหรือ?
ตอนนี้นอกจากพวกเย่เฟิงแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธ์มารวมตัวที่นี่กันจำนวนมาก รวมทั้งคนกลุ่มนั้นที่เดินผ่านพวกเย่เฟิง และเซิ่งจื่อแห่งนิกายศักดิ์สิทธิ์เทียนยวี่ก็มาถึงแล้ว พวกเขาต่างแหงนหน้ามองต้นไม้สูงระฟ้าที่แฝงด้วยกลิ่นอายโบราณต้นนี้ด้วยดวงตาเป็ประกาย
“ต้นเทียนเสวียนงดงามมาก สมกับเป็ต้นไม้โบราณที่ให้กำเนิดผลเทียนเสวียน” คนหนึ่งกล่าวและมีคนไม่น้อยพยักหน้าเห็นด้วย พวกเขาทุกคนเพิ่งเห็นต้นเทียนเสวียนเป็ครั้งแรก จึงอดใจเต้นโครมครามไม่ได้
“ตำนานกล่าวว่า มีเพียงต้นเทียนเสวียนที่ให้กำเนิดผลเทียนเสวียนจึงจะปรากฏบนโลก แต่เมื่อเก็บผลก็จะถูกฝังดินอีกครั้ง ตอนนี้พวกเราได้เห็นต้นเทียนเสวียนแล้ว ผลเทียนเสวียนล่ะอยู่ที่ไหน?” คนผู้หนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัย ััทั้งห้าของผู้ฝึกยุทธ์เป็สิ่งที่เฉียบแหลมและว่องไว พวกเขาแหงนหน้ามองต้นไม้ที่สูงขึ้นไปร้อยจั้ง ต้นไม้ต้นนั้นมีกิ่งก้านจำนวนมาก นอกจากมีใบมหาศาลแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยของผลเทียนเสวียน
เย่เฟิงกวาดสายตามองเช่นกัน ซึ่งผลลัพธ์ก็เหมือนกับทุกคนราวกับว่าผลเทียนเสวียนยังไม่ปรากฏ
อย่างไรก็ตามผู้ฝึกยุทธ์ทยอยกันมาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนมีผู้ฝึกยุทธ์ยืนอยู่ใต้ต้นไม้กันอย่างเนืองแน่น เฟิงเฉียน โจวมู่ไป๋ และเฉินอ้าวเทียนก็มาด้วย แน่นอนว่ามาเพราะผลเทียนเสวียน
มีสายตาหลายคู่มองมาที่เย่เฟิง ซึ่งล้วนแต่เป็ศัตรูที่้าฆ่าเย่เฟิง แต่ที่นี่มีต้นเทียนเสวียน พวกเขาจึงละทิ้งความแค้นไว้เป็การชั่วคราว
ผู้คนต่างมองต้นเทียนเสวียนโดยไม่ละสายตา พร้อมกับเกิดคำถามขึ้นในใจ ต้นไม้โบราณปรากฏ แล้วผลของมันล่ะอยู่ที่ไหน?
“ต้นเทียนเสวียนต้นนี้มีความแปลกพิลึก พวกเราไปดูใกล้ ๆ กันเถอะ” ผ่านไปสักพักใหญ่ ๆ เย่เฟิงก็พูดโพล่งขึ้น จากนั้นเดินไปทางด้านต้นเทียนเสวียน ไป๋หลิงกับซุนจิ้งก็เดินตามหลังเขามา
ในขณะเดียวกันมีคนจำนวนมากรู้เื่นี้เช่นกันจึงทยอยเดินมาทางนี้ เพียงเวลาสั้น ๆ ที่ใต้ต้นเทียนเสวียนก็เต็มไปด้วยเงาคนจำนวนมหาศาล พวกเขาต่างััถึงพลังลึกลับที่มาจากต้นไม้ต้นนั้นได้
ผ่านไปหลายชั่วยาม เริ่มมีพลังลึกลับเข้าปกคลุมฝูงชน พลังนี้แผ่ขยายเป็วงกว้างโดยมีต้นเทียนเสวียนเป็ศูนย์กลาง ในขณะเดียวกันมีคนจำนวนหนึ่งเข้าสู่ห้วงภวังค์ พวกเขาหลับตาราวกับสื่อสารกับพลังลึกลับนั่น แน่นอนว่าเย่เฟิงก็เป็หนึ่งในนั้น
“ชายผู้นี้อยู่แค่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ไม่เพียงเดินมาถึงจุดนี้ แต่ยังเรียนรู้ที่ใต้ต้นเทียนเสวียนอีกต่างหาก” มีคนผู้หนึ่งกล่าวขณะมองมาที่เย่เฟิง ซึ่งผู้คนในที่แห่งนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ขั้นบ่มเพาะกายาที่ 9 ขึ้นไป และยังมีขั้นบ่มเพาะกายาที่ 8 ส่วนน้อยปะปนอยู่ด้วย
ส่วนเย่เฟิงอยู่เพียงขั้นบ่มเพาะกายาที่ 7 ถือว่าระดับการบ่มเพาะต่ำมาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้