“จะเป็ไปได้อย่างไรกัน เ้าเป็แค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่ เ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้อย่างไร หรือว่าเ้าจะปิดบังวรยุทธ์ที่แท้จริงเอาไว้อย่างนั้นรึ”
เฉินจื้อจ้องมองมู่เฟิงขณะแผดเสียงออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะพ่ายแพ้ให้กับบัณฑิตใหม่ที่มีวรยุทธ์อยู่แค่ระดับจื่อฝู่เท่านั้น
มู่เฟิงยังคงสาวเท้าเดินไปข้างหน้าอย่างใจเย็นพลางเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “เื่ที่เ้าเห็นว่าไม่มีทางเป็ไปได้นั้น ก็เป็เพราะใจเ้าไม่อยากจะเชื่อเท่านั้นเอง ระดับวรยุทธ์ไม่ใช่สิ่งเดียวที่จะสามารถวัดความแข็งแกร่งได้เสียหน่อย”
“ทุกคนต่างมาที่นี่เพื่อศึกษาและฝึกฝนวรยุทธ์ แต่พวกเ้ากลับไม่ยอมปล่อยพวกเราไป เช่นนั้นพวกเราก็ไม่อาจปล่อยผ่านพวกเ้าไปได้เช่นกัน ยิ่งเ้าปฏิบัติต่อข้าอย่างโหดร้ายมากเท่าไร ข้าก็จะสนองคืนยิ่งกว่าหลายเท่า”
หลังจากมู่เฟิงกล่าวจบ เขาก็แทงดาบในมือไปที่หัวไหล่ของเฉินจื้ออย่างแรง
“อ๊าก…!”
เฉินจื้อกรีดร้องออกมาอย่างเ็ป ไหล่ที่ถูกแทงจนทะลุมีเืไหลทะลักออกมาในทันที ดวงตาที่จับจ้องไปยังมู่เฟิงเบิกกว้าง จากนั้นเขาก็ไม่อาจอดทนต่อความเ็ปได้อีก สุดท้ายจึงหมดสติไป
เมื่อเห็นฉากนี้ เืในกายของผู้ชมที่อยู่รอบๆ ก็พลันเย็นเฉียบขึ้นมาในทันที ในใจของพวกเขากำลังสั่นสะท้าน ก่อนจะพากันมองไปทางมู่เฟิงด้วยความหวาดกลัว
“หากกล้าทำร้ายศิษย์ในตระกูลมู่ของข้า ข้าก็จะสนองคืนให้เป็สิบเท่า อย่าคิดว่าพวกเราเป็บัณฑิตใหม่แล้วจะมารังแกกันได้ง่ายๆ ตระกูลมู่แห่งหนานหลิงไม่เคยเป็เต่าที่เอาแต่หัวหดในกระดองอยู่แล้ว”
มู่เฟิงกวาดมองตาเหล่าบัณฑิตที่รายล้อมอยู่รอบๆ ก่อนจะประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงเย็นะเื เขาดึงดาบกลับมาก่อนจะตวัดดาบเพื่อสลัดคาบเื จากนั้นก็เก็บดาบเข้าฝักและหมุนตัวเตรียมจะจากไป
หางตาของมู่เฟิงเหลือบมองไปทางสหายที่ติดตามเฉินจื้อมา พวกเขาเ่าั้ต่างก็พากันเสมองไปทางอื่นในทันที ไม่มีใครกล้าสบตาสัตว์ประหลาดผู้มีั์ตาสีโลหิตคู่นั้นเลยสักคน
มู่ขวงและศิษย์คนอื่นๆ ในตระกูลมู่ล้วนเดินตามมู่เฟิงออกไปพร้อมกัน ก่อนจะจากไปพวกยังเขาประสานมือกำหมัดคำนับไปทางเหล่าบัณฑิตของอาณาจักรเทียนเฟิง
“ในบรรดาบัณฑิตใหม่รุ่นนี้ มีผู้ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้อยู่เชียวหรือ ถึงขนาดเอาชนะได้แม้กระทั่งบัณฑิตรุ่นพี่ที่เป็ศิษย์สายใน นิสัยโเี้อำมหิตที่แสดงออกมาและความสามารถในการเอาชนะศิษย์เก่าที่เป็ศิษย์สายในได้นี้ เกรงว่าชื่อเสียงของเขาคงจะแพร่กระจายไปทั่วสำนักศึกษาในอีกไม่นานแน่”
“ช่างน่าสนใจนัก ตระกูลมู่แห่งหนานหลิง ไม่คิดเลยว่านอกจากมู่หลิงเอ๋อร์แล้วยังมีคนที่สุดยอดเช่นนี้อยู่อีก”
“ข้าเกรงว่าพวกเฉินจื้อคงจะไม่ยอมปล่อยเื่นี้ไปแน่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็บัณฑิตจากอาณาจักรเทียนเฟิง ในสำนักศึกษากองกำลังของจากอาณาจักรเทียนเฟิงนั้นแข็งแกร่งเป็อย่างมาก”
บัณฑิตรุ่นพี่ต่างก็พูดคุยกันถึงเื่นี้ ในขณะที่บัณฑิตใหม่ล้วนมองตามแผ่นหลังของมู่เฟิงไปด้วยความชื่นชมและยำเกรง
“ศิษย์ของตระกูลมู่ มู่เฟิง...”
ถานซิ่วมองตามแผ่นหลังของมู่เฟิงขณะพึมพำกับตัวเอง ดวงตาคู่สวยของนางมีประกายแสงแวบผ่านอย่างรวดเร็ว
สีหน้าของสหายที่ติดตามเฉินจื้อมาพลันเปลี่ยนเป็น่าเกลียด พวกเขารีบพาตัวเฉินจื้อที่หมดสติกลับไปรักษาอย่างรวดเร็ว
“พี่เฟิง เมื่อครู่ท่านสุดยอดมาก หากกล้าทำร้ายศิษย์ในตระกูลมู่ของข้า ข้าจะคืนสนองให้เป็สิบเท่า!”
ขณะที่กลุ่มศิษย์ตระกูลมู่เร่งเดินตามมู่เฟิงมา มู่เถี่ยก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นยินดี
“เมื่ออยู่ในสถานที่แบบนี้ หากเ้า้ามีชีวิตที่ดีกว่าผู้อื่น เ้าก็จักต้องโเี้มากกว่าผู้อื่น แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือความแข็งแกร่ง ฉะนั้นพวกเ้าทุกคนต้องตั้งใจฝึกฝนให้ดีด้วยเล่า ตระกูลมู่ไม่อาจพึ่งพาเพียงแค่ข้าคนเดียวได้”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้อ เพียงแต่ที่นี่ไม่ว่าจะเรียนอะไรก็จำเป็ต้องใช้คะแนนแลกเปลี่ยนไปเสียหมด ดังนั้นหากอยากจะเรียนรู้ก็ต้องมีคะแนนเรียนเสียก่อน”
มีหลายคนทอดถอนหายใจออกมา
“จริงสิพี่เฟิง ไม่รู้ว่าท่านทราบแล้วหรือยังว่าในสำนักศึกษามีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่มีพลังช่วยในการส่งเสริมการฝึกวรยุทธ์ได้ดีมาก ที่แห่งนั้นถูกเรียกว่าหอคอยเทียนอวิ่น หากว่าได้ฝึกฝนที่นั้นละก็ ผลลัพธ์ของการฝึกก็จะพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยขอรับ น่าเสียดายที่เราไม่มีคะแนนมากขนาดนั้น จึงไม่อาจไปที่นั่นได้"
“หอคอยเทียนอวิ่น...เป็สถานที่แบบใดกัน?”
มู่เฟิงขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม
“หอคอยเทียนอวิ่นเป็หอคอยที่มีความสูงแปดชั้น ท่านดูนั่น อยู่ตรงนั้น”
มู่เถี่ยชี้นิ้วไปยังหอคอยแห่งหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางสิ่งก่อสร้างมากมายซึ่งตั้งอยู่ไกลออกไป
“ภายในหอคอยเทียนอวิ่นมีห้องฝึกฝนอยู่มากมาย และภายในห้องฝึกฝนเ่าั้ยังทำให้เราสามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้เร็วกว่าที่อื่น จึงมีบัณฑิตจำนวนมากชอบไปฝึกฝนที่นั่น เพียงแต่การจะเข้าไปที่นั่นได้จำเป็ต้องใช้คะแนนจำนวนมาก ตอนนี้เราจึงไม่อาจเข้าไปได้ขอรับ”
มู่เถี่ยอธิบาย
มู่เฟิงเลิกคิ้วเมื่อได้ยินดังนั้น ในสำนักศึกษาแห่งนี้ เื่คะแนนถือเป็ปัญหาใหญ่จริงๆ
“พี่เฟิง ในตำราเล่มนี้ได้เขียนคำแนะนำเกี่ยวกับสำนักศึกษาเทียนอวิ่นเอาไว้อย่างละอียด ข้าใช้คะแนนสิบคะแนนแลกมันมาจากบัณฑิตเก่าผู้หนึ่ง ท่านลองอ่านดูขอรับ”
มู่เถี่ยหยิบตำราเล่มเล็กออกมา ก่อนจะมอบมันให้กับมู่เฟิง มู่เฟิงรับมาและพลิกหน้าตำราเพื่อเปิดอ่าน เนื้อหาในตำราเล่มนี้เป็การบันทึกสถานที่ฝึกฝนของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นมากมายเอาไว้
หอคอยเทียนอวิ่น แท่นสังเวียนโลหิต ทะเลสาบเทียนอวิ่น โรงพนันการต่อสู้ วิหารห้วงนิมิตและยังมีสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้ด้านในยังมีคำอธิบายกำกับเอาไว้พร้อมกับแผนที่
เมื่อกลับมาถึงเรือนพัก มู่เฟิงก็เริ่มอ่านเนื้อหาในตำราเล่มนั้นอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักศึกษาเทียนอวิ่น
และในวันถัดมา ว่านเอ๋อร์ที่ออกมาจากเขตที่พักของบัณฑิตหญิงเพื่อมาหามู่เฟิงก็ถูกเด็กหนุ่มพาไปที่หอคอยเทียนอวิ่นพร้อมกับไป๋จื่อเยว่และมู่ขวง
หอคอยเทียนอวิ่นนั้นตั้งอยู่ห่างจากเขตที่พักของบัณฑิตใหม่ไปราวๆ สิบลี้ เห็นได้ชัดว่าภายในสำนักศึกษาเทียนอวิ่นแห่งนี้มีพื้นที่ที่กว้างขวางเป็อย่างมาก
เมื่อมาถึงหอคอยเทียนอวิ่นแล้ว พวกเขาก็พบว่าหอคอยเทียนอวิ่นแห่งนี้มีความสูงมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร และมีทั้งหมดแปดชั้น บรรยากาศที่แผ่ออกมาจากตัวหอคอยให้ความรู้สึกกดดันราวกับว่ากำลังถูกกดทับ นอกจากนี้มันยังมีคลื่นความผันผวนแปลกประหลาดบางอย่างแผ่ออกมาด้วย
“หอคอยเทียนอวิ่นนี่ช่างสูงนัก”
ไป๋จื่อเยว่พึมพำกับตัวเองขณะแหงนหน้ามองหอคอยเทียนอวิ่นที่สูงเสียดฟ้า
“ข้าเคยเข้าไปฝึกในหอคอยเทียนอวิ่นมาก่อน หอคอยแห่งนี้มีทั้งหมดแปดชั้น ภายในมีการลงลายเส้นค่ายกลของอาณาเขตรวมิญญาขั้นสี่เอาไว้ ทำให้ในหอคอยมีกลิ่นอายพลังฟ้าดินที่เข้มข้นมาก นอกจากนี้มันยังมีพลังประหลาดอีกสายหนึ่ง ซึ่งผู้คนที่นี่จะเรียกมันว่าพลังเทียนอวิ่น และพลังนี้ก็ช่วยให้ผู้ฝึกยุทธ์สามารถดูดซับพลังฟ้าดินได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้มันยังช่วยกลั่นพลังเ่าั้ให้กลายเป็พลังปราณอีกด้วย การฝึกในนั้นเพียงหนึ่งวันสามารถเทียบได้กับการฝึกข้างนอกหลายวันเลยทีเดียว
เพียงแต่การจะเข้าไปข้างในจำเป็ต้องใช้คะแนนหนึ่งร้อยคะแนนต่อหนึ่งวัน และหากว่าเ้าขึ้นไปยังชั้นที่สูงขึ้น พลังเทียนอวิ่นก็ยิ่งจะเข้นข้นมากขึ้นเช่นกัน ยิ่งพลังเทียนอวิ่นเข้มข้นมากเท่าไร แรงกดทับของมันก็จะยิ่งหนักหน่วงมากเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่สามารถเข้าไปได้เพียงชั้นหนึ่งถึงชั้นสี่ ส่วนชั้นห้าถึงชั้นเจ็ดมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับหนิงกังที่กล้าขึ้นไป”
ว่านเอ๋อร์อธิบาย เมื่อได้ยินดังนั้นมู่เฟิงก็ยิ่งมีความสนใจในหอคอยแห่งนี้มากขึ้น เขาจึงกล่าวออกมาทันทีว่า “เราเข้าไปดูกันเถอะ"
คนทั้งสี่เดินเข้าไปในหอคอยด้วยกัน เมื่อพวกเขาเข้ามายังชั้นแรกแล้ว ร่างกายของพวกเขาก็ััได้ถึงแรงกดทับที่เกิดขึ้นทันที เพียงแต่แรงกดทับนี้ยังถือว่าเบาบางมาก นอกจากนี้บริเวณโดยรอบยังอบอวลไปด้วยพลังฟ้าดินอันเข้มข้น
ในบริเวณชั้นแรกนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดอยู่เลย และมีเพียงผู้ดูแลในชุดสีครามที่กำลังรวมกลุ่มกันอยู่หลายคนเท่านั้น สำหรับผู้คนที่้าเข้าออกภายในหอคอยแห่งนี้ ทุกคนจะต้องนำบัตรผลึกสีน้ำเงินของตัวเองใส่เข้าไปยังช่องใส่บัตรสีน้ำเงินเสียก่อนจึงจะสามารถขึ้นไปยังชั้นบนของหอคอยได้
ซึ่งคะแนนที่อยู่ภายในบัตรจะถูกหักออกหนึ่งร้อยคะแนนต่อวัน และเมื่อใดที่คะแนนในบัตรถูกหักไปจนหมด เหล่าผู้ดูแลในหอคอยก็จะทำการเชิญเ้าของบัตรออกไปจากหอคอยในทันที
หลังจากมู่เฟิงและคนอื่นๆ วางบัตรเข้าไปในช่องรับบัตรแล้ว พวกเขาก็เดินขึ้นไปยังชั้นสองในทันที เมื่อพวกเขาย่างเท้าขึ้นมาถึงชั้นสอง ทุกคนต่างก็ััได้ถึงแรงกดทับที่หนักหน่วงกว่าเดิม ราวกับว่าตัวเองกำลังแบกหินที่มีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งร้อยจิน
แน่นอนว่าแรงกดทับนี้ก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายของพวกเขาโดยตรง ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด และเืลมภายในกายก็พลันเดือดพล่าน
แต่เมื่อพวกเขาโคจรพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเพื่อต้านทานแรงกดทับนั้นแล้ว พวกเขาก็ค่อยๆ รู้สึกดีขึ้น
ภายในชั้นสองแห่งนี้ ห้องโถงใหญ่ตรงหน้ากำลังอบอวลไปด้วยคลื่นพลังฟ้าดินหลากหลายธาตุ และในห้องโถงเ่าั้ก็มีผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากกำลังทำสมาธิอยู่ภายใน ทุกคนต่างก็ฝึกฝนตนเองโดยไม่รบกวนซึ่งกันและกัน นั่นเพราะว่าที่แห่งนี้ถูกห้ามไม่ให้มีเกิดการต่อสู้ขึ้นโดยเด็ดขาด ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจจะยุ่งกับผู้อื่น
อีกด้านหนึ่งก็มีห้องฝึกฝนที่ถูกแบ่งสัดส่วนออกไปอย่างชัดเจน แต่ห้องเ่าั้ล้วนถูกปิดกั้นด้วยประตูหิน บ่งบอกว่ามันกำลังถูกใครบางคนใช้งานอยู่
วรยุทธ์ของว่านเอ๋อร์คือระดับจื่อฝู่ขั้นเจ็ด แต่คนส่วนใหญ่ในชั้นที่สองนี้ล้วนเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งบรรลุระดับจื่อฝู่ได้ไม่นาน และยังมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายอีกเล็กน้อย ดังนั้นคนทั้งสี่จึงเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม ก่อนจะขึ้นไปยังชั้นสี่ต่อทันที
และที่ชั้นสี่นี้ แรงกดทับที่ััได้นั้นให้ความรู้สึกราวกับกำลังแบกหินที่มีน้ำหนักหลายร้อยจิน สีหน้าของว่านเอ๋อร์เริ่มมีร่องรอยของความอึดอัดเล็กน้อย ทางด้านมู่ขวงกับไป๋จื่อเยว่เองก็เช่นกัน
มู่เฟิงที่ััได้ถึงแรงกดทับภายในร่างกายก็รู้สึกราวกับว่าเืลมของตนไม่มีการไหลเวียน
“เอ๊ะ พลังนี่มัน...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้