"เ้าแตงน้อยก็คิดว่าพี่จ้านทำร้ายเ้าหรือ?"
นึกถึงคำพูดประโยคนี้ เฉียวเยว่ก็เอาผ้าขึ้นมาปิดหน้า รู้สึกว่าตนเองใกล้จะจบสิ้นแล้ว
อิ้งเยว่นั่งมองอยู่ด้านข้างก็ถามว่า "เ้าเป็อะไร? ยังกลัวเื่เมื่อตอนบ่ายไม่หายอีกหรือ?"
"ไม่ใช่ แต่ข้ารนหาที่ตายเข้าแล้ว" เฉียวเยว่กล่าวอย่างจริงจัง
เฉียวเยว่รู้สึกว่าสมองของตนเองชักเลอะเลือนขึ้นทุกวัน ผู้อื่นถามเช่นนี้ เ้าควรตอบกลับไปอย่างไร เ้าควรทำตัวเป็แตงน้อยแสนหวานผู้น่ารักของเ้าดีๆ ต่อไป ควรตอบว่า พี่จ้านของข้าดีที่สุด ไม่มีทางทำร้ายข้าเป็อันขาด
เช่นนี้ถึงจะเป็คำตอบที่ถูกต้องตามมาตรฐาน
แต่ตอนนั้นเ้าพูดอะไรออกไป
นึกถึงเื่นี้นางก็อยากจะตบปากตนเองเป็พันครั้งหมื่นครั้ง
ตอนนั้นนางโพล่งออกไปว่า "แค่พี่จ้านมีความสุขก็เพียงพอ"
คำกล่าวนี้มักให้ความรู้สึกแปลกชอบกล อยู่ดีๆ ไม่ว่าดี จะไปหาสิ่งแปลกใหม่ทำให้กลายเป็เื่ขึ้นมาทำไม?
เฉียวเยว่ยกมือปิดหน้า รู้สึกว่าตนเองจบเห่แล้ว
คำกล่าวเช่นนี้ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็คนฟัง หากเป็คนทั่วไปอาจไม่รู้สึกอะไร แต่อวี้อ๋องต้องเข้าใจอย่างแน่นอน
และนางก็ไม่ใช่คนทั่วไปเหมือนกัน
สมองป่วย ต้องรักษา!
อิ้งเยว่มองน้องสาวด้วยสายตาคลางแคลงสงสัย ไม่รู้ว่านางพูดถึงอะไร แต่คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับเื่วันนี้ จึงปลอบประโลมว่า "เื่วันนี้ไม่โทษเ้าหรอก แต่ไม่รู้ว่าผู้ใดจงใจป้อนของพรรค์นั้นกับม้า จิตใจช่างอำมหิตยิ่งนัก"
เมื่อพินิจอย่างละเอียด อิ้งเยว่ก็แค่นเสียงเยาะ "เกรงว่าเพราะใกล้จะคัดเลือกชายากับสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีปีหน้า จึงมีคนที่ไม่คิดจะใช้ความพยายามของตนเอง แต่กลับอิจฉาริษยาผู้อื่น คิดแผนการชั่วร้ายมากำจัดศัตรูของตนเองทิ้งไป"
อิ้งเยว่ดูแคลนคนประเภทนี้เป็ที่สุด นางกล่าวเสียงเรียบ "เ้าวางใจเถอะ ท่านพ่อต้องหาคนร้ายพบแน่นอน"
แต่ไหนแต่ไรมาอิ้งเยว่เป็คนรักความสงบและพูดน้อย ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งไม่พูด การที่นางพูดออกมามากขนาดนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว
"หาพบก็ไม่แน่ว่าจวนซู่เฉิงโหวของพวกเราจะแตะต้องได้" เฉียวเยว่ยิ้มอ่อน
คำกล่าวนี้ของนางกลับสะกิดใจอิ้งเยว่ หลังเงียบไปสักพักก็ถามว่า "เ้ารู้หรือว่าใครเป็คนทำ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า แล้วโบกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อย "ข้าไม่รู้ แต่ไม่รู้ก็ส่วนไม่รู้ ใช่ว่าจะไม่มีข้อสันนิษฐาน ข้าคิดว่าอวี้อ๋องน่าจะสงสัยใครบางคนอยู่ถึงได้พูดออกไปเช่นนั้น หาไม่แล้วคนฉลาดหลักแหลมยิ่งกว่าลิงเช่นเขาจะพูดเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ข้าไม่เชื่อ ส่วนพี่จื้อรุ่ยสงสัยว่าเขาเป็คนทำ หลังจากนั้นก็แสดงบทบาทเป็คนช่วยชีวิต แต่ข้ากลับรู้สึกว่าไม่มีทางเป็เช่นนั้นได้"
"เพราะเหตุใด? ไยเขาจะไม่ใช่คนทำ?" อิ้งเยว่ใคร่รู้
เฉียวเยว่ยิ้มตาหยี แต่ถ้อยคำกลับเต็มไปด้วยความจริงจัง "เพราะการบังคับม้าไปช่วยคนต้องใช้ความเร็วสูง ทั้งลมทั้งฝุ่นสกปรกเกินไป"
อิ้งเยว่อึ้งงัน คาดไม่ถึงว่าจะเป็เหตุผลเช่นนี้
เฉียวเยว่สะบัดผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยต่อ "ตรวจสอบกันไปเถอะ แต่ข้าไม่คิดว่าจะมีผลลัพธ์อันใด"
"เ้าควรอยู่ให้ห่างจากคนประหลาดอย่างอวี้อ๋องไว้จะดีกว่า จะได้ไม่ติดนิสัยแย่ๆ ของเขามา" อิ้งเยว่หนักใจเื่นี้ นางไม่ชอบคนผู้นั้นสักเท่าไร แม้ว่าเขามักจะมีรอยยิ้มประดับใบหน้าอยู่เสมอ แต่มักทำให้นางรู้สึกอึดอัดใจ ราวกับว่าอีกชั่วขณะจิตเดียวใบหน้านั้นจะเปลี่ยนเป็สีเขียวและมีเขี้ยวโง้วออกมาไล่กินคน
น้องสาวของนางน่ารักเช่นนี้ นางไหนเลยจะยอมให้ถูกผู้อื่นรังแก หรือทำให้ติดนิสัยไม่ดีมา
เฉียวเยว่ตอบอื้อ แล้วยิ้มตาหยี "พี่สาววิตกเกินไปแล้ว"
ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ ฉีอันก็วิ่งเข้ามา "เฉียวเฉียว ท่านลุงมาเยี่ยมพวกเรา"
เฉียวเยว่ดีใจมาก "อ๋า ท่านลุงมักปรากฏตัวในเวลาสำคัญเสมอ เอาของอร่อยมาฝากข้าด้วยหรือไม่?"
ฉีอันหัวเราะหึๆ คิดแต่เื่กิน!
เขากลอกตา ไม่สนใจเฉียวเยว่ เฉียวเยว่กลับไม่นำพา ะโโลดเต้นวิ่งออกไปข้างนอก
"ข้าว่าหากเ้าไม่อยากถูกดุ ก็ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัวหน่อยดีกว่า" อิ้งเยว่เตือนสติ
เฉียวเยว่ทำหน้าเศร้า
แต่สตรีตระกูลใหญ่ทั้งหลาย มีใครบ้างเสแสร้งแต่งจริตไม่เป็!
ฉีจือโจวสวมอาภรณ์สีครามดูเหมือนเพิ่งฝ่าลมฝุ่นมาถึง เมื่อเห็นเฉียวเยว่เข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก็ดึงนางมาข้างกาย พอเห็นว่าหลานสาวไม่เป็อะไร ค่อยวางใจลงหลายส่วน "ไม่เป็อะไรก็ดีแล้ว"
แต่ไม่พูดอะไรอีก
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคักอย่างไม่นำพา "ข้าย่อมไม่เป็อะไรอยู่แล้วเ้าค่ะ ข้าเป็ดาวนำโชค เื่ร้ายมักกลายเป็ดีเสมอ"
ฉีจือโจวยิ้มมุมปาก "ลุงจะไม่ให้ใครรังแกพวกเ้า"
"ไม่นึกเลยว่าความโดดเด่นเฉลียวฉลาดจะกลายเป็หนามตำตาผู้อื่น หลายปีก่อนอิ้งเยว่ก็โดนมาแล้ว มาตอนนี้เฉียวเยว่ก็โดนอีกคน" ซูซานหลางกล่าวอย่างสุขุม
เื่นี้ทำให้เขานึกถึงสถานการณ์ที่เกิดกับอิ้งเยว่ครานั้น แม้จะไม่ได้เห็นสถานการณ์เองกับตา แต่ในใจกลับรู้ดีว่าต้องอันตรายมากเป็แน่
"ครานี้ต้องขอบคุณอวี้อ๋องกับจื้อรุ่ย" ฉีจือโจวลูบศีรษะเฉียวเยว่ ถึงแม้ว่าตอนนี้หลานสาวจะโตแล้ว แต่ในสายตาของเขานางยังคงเป็กระต่ายอ้วนตัวน้อยที่วิ่งตามข้างกายเขาต้อยๆ คนเดิมอยู่
"จะไม่มีครั้งหน้าอีก"
เฉียวเยว่พยักหน้าพลางยิ้มอ่อนจาง นางไม่ได้รับผลกระทบมากมายนัก "ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ปล่อยให้ข้าถูกรังแกอยู่แล้ว ข้าเป็หญิงงามไร้เทียมทานที่มีจิตใจเข้มแข็งมองโลกในแง่ดีเสมอ พวกท่านไปห่วงฉีอันดีกว่า เขาสิถึงจะเป็เด็กน้อยจิตใจเปราะบาง"
ฉีอันกลอกตา ไม่สนใจนาง
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก
ดวงตาของฉีจือโจวมีประกายวาบผ่าน ลองถามหยั่งเชิง "ตอนนั้นเหตุใดอวี้อ๋องถึงอยู่ด้วยเล่า?"
"ท่านลุงสงสัยพี่จ้านหรือเ้าคะ ไม่ใช่เขาหรอก ข้าคิดว่าเขาไม่ชั่วช้าเยี่ยงนั้น" เฉียวเยว่ตอบทันควัน
แม้ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงคลางแคลงสงสัยอวี้อ๋อง แต่เฉียวเยว่ก็รู้สึกว่าเป็ไปไม่ได้
ฉีจือโจวยิ้มอ่อนจาง "ลุงหาได้กล่าวเช่นนั้น เพียงแค่ถามดูเฉยๆ สองสามวันนี้อากาศหนาว เฉียวเยว่ยังไปฝึกอยู่อีกหรือ?"
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างไม่ลังเล "แน่นอนสิเ้าคะ ข้าไม่ฝึกฝนปีหน้าจะสอบเข้าสำนักศึกษาสตรีได้อย่างไร"
"หากเ้าไม่อยากเป็ชายารัชทายาท ตอนเข้าวังต้องเก็บตัวสงวนทีท่าหน่อย อย่าแสดงความสามารถของตนเองมากเกินไปนัก" ฉีจือโจวพูดออกมาตามตรง ยังไม่นึกไปถึงเื่สอบเข้าสำนักศึกษาสตรี
สมกับเป็ลุงแท้ๆ พูดจาไม่อ้อมค้อม
เฉียวเยว่กับฉีอันไร้การตอบสนอง ถึงอย่างไรพวกเขาก็เพิ่งเก้าขวบไหนเลยจะต้องคิดเื่หมั้นหมาย นางยังเล็กมาก แค่คิดก็รู้สึกขนอ่อนลุกซู่ไปทั้งตัวแล้ว
"เสด็จพี่รัชทายาทไม่เลือกข้าหรอกเ้าค่ะ" เฉียวเยว่มั่นใจสำหรับจุดนี้มาก
ฉีจือโจวเลิกคิ้ว "ไหน เ้าพูดให้ลุงฟังทีซิว่าเพราะเหตุใด? เขาเคยบอกเ้าหรือ?"
เฉียวเยว่ส่ายหน้า "ความรู้สึกมันบอก อีกอย่าง ข้ารู้จักเขาดี"
แม้ไม่รู้ว่าเฉียวเยว่เอาความมั่นใจมาจากไหน แต่ฉีจือโจวกลับเชื่อคำพูดของนาง แท้จริงแล้วในความคิดของเขา อิ้งเยว่มีความเป็ไปได้สูงกว่าเฉียวเยว่ แม้คนภายนอกต่างพูดว่าคุณหนูเจ็ดจวนซู่เฉิงโหวมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับรัชทายาทดียิ่ง แต่ความสัมพันธ์ดีก็ไม่จำเป็ต้องแต่งไปเป็ภรรยาเสมอไป เด็กน้อยตรงหน้านี้ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ
"เ้าอย่ามาทำอวดรู้ตรงนี้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ก็กลับไปดื่มชาสงบจิต แล้วพักผ่อนเร็วหน่อย" ซูซานหลางตัดบท
เฉียวเยว่แลบลิ้น "ท่านพ่อ ตอนนี้นับวันท่านก็ยิ่งเหมือนปัญญาชนคร่ำครึเข้าไปทุกที ไม่รู้ว่าท่านแม่ทนได้อย่างไร"
"เ้าเด็กคนนี้ เ้า..."
ซูซานหลางยังพูดไม่ทันจบ เฉียวเยว่ก็ปิดหูวิ่งออกไป พลางหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเสียงดัง
"ยายหนูไม่มีหัวคิด เป็บุตรสาวครอบครัวคนธรรมดาทั่วไปเจอเหตุการณ์เช่นนี้คงอกสั่นขวัญผวาไปแล้ว นางกลับเหมือนคนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังร่าเริงมีความสุขเห็นเป็เื่ขบขันเสียได้" ซูซานหลางกล่าวด้วยความจนใจ
แม้จะรู้สึกอับจนปัญญา แต่ลึกๆ กลับสบายใจ เื่นี้เป็อันตรายที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ยากจะรับประกันได้ว่าจะไม่เป็เงามืดในใจของเด็กๆ แต่ตอนนี้พวกเขาสองคนกลับไม่เป็อะไรเลย ในใจเขาค่อยโล่งไปมาก
ฉีจือโจว "อีกไม่นานก็ปีใหม่แล้ว ถึงแม้ไม่รู้ว่าใครเป็คนทำ แต่ก็ต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว เมื่อขัดขวางการฝึกขี่ม้าของนางไม่ได้ ก็ส่งคนติดตามไปมากหน่อย"
ซูซานหลางผงกศีรษะ "พี่ใหญ่โปรดวางใจ"
เขาเว้นจังหวะไปชั่วครู่ ก่อนเอ่ยขึ้นอีกว่า "เื่นี้ข้าจะตรวจสอบเอง คนเหล่านี้ช่าง..."
"ไม่ต้องแล้วล่ะ มีคนจัดการแล้ว" ฉีจือโจวลุกขึ้น ท่าทางสงบนิ่ง "บางที คนผู้นั้นอาจมาเป็บุตรเขยเ้าในภายภาคหน้า"
หลังจากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป
ซูซานหลางหน้าถอดสี "เื่อะไรกัน? เอ๋ เดี๋ยวสิ ท่านอย่าเพิ่งไป"
ซูซานหลางรีบตามออกไป แต่ฉีจือโจวเดินเร็วมาก เขาตามไม่ทัน
ไท่ไท่สามมาถึงข้างกายเขา แล้วถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ "เหตุใดพี่ใหญ่จึงดูรีบร้อนนัก ท่านไปล่วงเกินเขาอีกแล้วหรือ?"
สีหน้าของนางฉายแววกังวล
ซูซานหลางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ เขาดูเป็คนเช่นนั้นหรือ เขาไม่ใช่คนเยี่ยงนั้น
พอฟังคำบอกเล่าของซูซานหลาง ไท่ไท่สามก็มีสีหน้างุนงง "จะว่าไปก็จริง พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไรกันแน่ หมายถึงรัชทายาท หรือจื้อรุ่ย หรือว่าไม่ใช่ทั้งคู่?"
นางลูบผ้าเช็ดหน้าในมือ แต่ก็ยังไม่เข้าใจ
หัวคิ้วของซูซานหลางขมวดย่นจนเป็เกลียว "กลัวแต่จะเป็คนที่ไม่น่าเชื่อผู้นั้น"
สองสามีภรรยาหันมาสบตากัน ต่างคนต่างมองเห็นชื่อจากดวงตาของอีกฝ่าย
ไท่ไท่สามลูบขนอ่อนที่ผุดเป็ตุ่มหนังไก่บนแขน เอ่ยว่า "พวกเราอย่าคาดเดาส่งเดชดีกว่า เป็ไปไม่ได้"
ซูซานหลางก็คิดว่าไม่มีทาง แต่ฉีจือโจวไม่ใช่คนที่จะพูดเลื่อนลอยไร้เป้าหมาย นึกถึงยามที่อวี้อ๋องเชิญเขาไปพบก่อนหน้านี้ มีการเตือนทั้งทางตรงและทางอ้อมว่าอย่าให้เฉียวเยว่อดอาหาร ซูซานหลางก็ถอนหายใจอยู่ลึกๆ
"กลัวสิ่งใดมักจะได้สิ่งนั้นจริงๆ"
"ไม่หรอก" ไท่ไท่สามพยายามมองในแง่ดี แล้วก็พูดอีกว่า "พวกเขายังเด็ก"
"ก็เด็กน่ะสิ เหตุใดบุตรสาวสองคนของข้าต้องอายุใกล้เคียงกับรัชทายาทด้วย หากมิเป็เช่นนั้น ไหนเลยจะถูกผีร้ายตามรังควานไม่เลิก"
ไท่ไท่สามคล้องแขนของเขา "บุตรจะอายุเท่าไรท่านกำหนดเองได้หรือ ไม่เป็ไรนะ ทุกเื่ยังมีท่านพ่อท่านแม่อยู่ อีกอย่างบิดาข้ากับพี่ใหญ่ก็ไม่มีทางเพิกเฉย"
เอ่ยถึงเื่นี้ ทำให้นางนึกถึงอีกเื่ "วันนี้พี่สะใภ้ใหญ่มา พูดทำนองว่ารู้สึกละอายใจกับเื่คราก่อน"
เพราะปัญหาความขัดแย้งระหว่างไท่ไท่ใหญ่กับหวังหรูเมิ่งทำให้พวกเขาเรือนสามต้องเดือดร้อน ซูซานหลางจึงไม่พอใจเรือนใหญ่อย่างมาก
เขาเป็คนเช่นนี้เอง ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปกป้องภรรยาและบุตรสาวของตนเองก่อน ในความคิดของซูซานหลาง คนที่จะอยู่กับตนเองชั่วชีวิตก็คือภรรยา ส่วนบุตรก็คือชีวิตของเขา เมื่อคนนอกมีจิตคิดร้ายต่อพวกเขาก่อน เขาก็สามารถตอบโต้ได้
แต่คนในครอบครัวกันเองอย่างไรเสียก็ต้องไว้หน้าบ้าง เพียงแต่ถึงจะต้องไว้หน้า แต่เขาไม่สามารถยิ้มหน้าชื่นให้กับคนเ่าั้ได้
"ละอายใจ? ยามพวกนางแย่งชิงความโปรดปรานกัน แค่ไม่ทำให้พวกเราเดือดร้อนก็ดีถมไปแล้ว น่ารำคาญยิ่งนัก"
ไท่ไท่สามยิ้มอ่อน "ความหมายของไท่ไท่ใหญ่คืออยากแนะนำน้องสาวที่เป็ญาติห่างๆ ของนางให้มาเป็อนุของท่าน"
แม้ว่าจะมีรอยยิ้ม แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยความเ็า
ซูซานหลางนิ่งไปสักพักก็หัวเราะเยาะ "นางยุ่งวุ่นวายไม่น้อย สมน้ำหน้าแล้วที่พี่ใหญ่เข้าข้างหวังหรูเมิ่ง"
ไท่ไท่สามก้มศีรษะ หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้น "ข้าแค่สงสัยเจตนาของนางที่ทำเช่นนี้"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้