แรกเริ่มเหตุผลหนึ่งที่เจิ้นหยวนเข้าหาหลินเสี่ยวหยางเพราะอยากเป็คนเมืองซื้อข้าวกิน ส่วนเหตุผลสำคัญมากอีกประการคือไม่อยากทำตามสัญญาหมั้นหมายกับสกุลเฝิง
่ปีที่เกิดภาวะข้าวยากหมากแพง เจิ้งหยวนเพิ่งสามขวบ เด็กน้อยไม่อาจทนความหิวโหยได้อีกต่อไป ประกอบกับร่างกายที่อ่อนแอเป็ทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อภูมิต้านทานต่ำ ไม่นานก็ล้มป่วยลง เจิ้งเฉวียนกังอุ้มเธอไปขอความช่วยเหลือจากสกุลเฝิง เฝิงชางหย่งเป็หมอเท้าเปล่า [1] เขามอบยาให้เธอถ้วยหนึ่ง เสมือนฉุดรั้งเธอกลับมาจากประตูยมโลก ทว่าสกุลเจิ้งยากจนมาก ต่อให้ช่วยเธอกลับมาได้ แต่หากไม่มีข้าวปลากินก็ไม่รู้จะอยู่รอดได้อีกนานแค่ไหน ยังดีที่สกุลเฝิงนั้นจิตใจดี ยามนั้นครอบครัวเขามีลูกชายหลายคน สามารถขึ้นเขา งมน้ำหาของกินแก้ขัด จึงสละเสบียงส่วนหนึ่งแก่เจิ้งหยวน เฉินชุ่ยอวิ๋นไม่มีสิ่งใดตอบแทน เลยเสนอสัญญาหมั้นหมายระหว่างสองสกุลเป็การทดแทนบุญคุณ ทางสกุลเฝิงมีบุตรชายห้าคนติด คิดว่าอนาคตต้องสู่ขอสะใภ้ลำบากแน่ หมั้นล่วงหน้าไว้เท่าที่ทำได้คงดีกว่า อีกอย่างชื่อเสียงสกุลเจิ้งก็ดี แม้เจิ้งหยวนจะอายุน้อยไปสักนิด แต่แค่เจ็ดแปดปีเท่านั้น เพียงต้องรอเธอโตหลายปีหน่อย คิดได้ดังนั้น สกุลเฝิงจึงตอบตกลง
เจิ้งหยวนโดนคนบอกว่าเป็เด็กที่เลี้ยงไว้ดองกับสกุลเฝิงั้แ่เล็ก ยามนั้นรัฐบาลส่งเสริมการแต่งงานเสรีต่อต้านการคลุมถุงชน เจิ้งหยวนเลยรู้สึกว่ามีคู่หมั้นวัยเยาว์เป็สิ่งที่น่าอับอาย เธอฝังใจไปแล้วว่าตนถูกพ่อแม่ขายให้สกุลเฝิง สมัยเด็กใครเรียกเธอเป็เด็กเลี้ยงสกุลเฝิง เธอเป็ต้องพุ่งไปทะเลาะตบตีทุกราย หลังเติบโตขึ้นก็แอบลอบคบหาคนในเมือง ในอดีตเธอไม่คิดว่าสิ่งที่ตนทำผิด กลับรู้สึกด้วยซ้ำว่าตนเป็วัยรุ่นหัวก้าวหน้าที่คัดค้านการคลุมถุงชนและความเสื่อมโทรมของระบบศักดินา มาใคร่ครวญตอนนี้ การต่อต้านคลุมถุงชนนั้นไม่ผิดหรอก แต่แอบหาคนใหม่โดยไม่ยกเลิกสัญญาแต่งงานนั้นผิดมหันต์ ตามธรรมเนียมในศตวรรษที่ 21 พฤติกรรมนี้ไม่ต่างอะไรกับการเหยียบเรือสองแคมเลยแม้แต่น้อย
แต่ในชาตินี้เธอจะไม่ต่อต้านการหมั้นหมายขนาดนั้นแล้ว อย่างไรเสีย เธอคงไม่แต่งกับหลินเสี่ยวหยางอีก แต่งให้ใครก็เหมือนกัน? แต่งกับสกุลเฝิงอย่างน้อยต่อไปบ้านเธอจะไม่โดนคนนินทาว่าเนรคุณ
เห็นเจิ้งหยวนก้มหน้าไม่พูดไม่จา เส้นประสาทเฉินชุ่ยอวิ๋นพลันตึงเครียด เธอขึ้นเสียงสูงอย่างระแวง “ไม่ใช่ว่าแกยังไม่ยอมแต่งเข้าสกุลเฝิงหรอกนะ?” ทำไมบุตรสาวไม่อยากแต่งเข้าสกุลเฝิง คนเป็แม่หรือจะไม่รู้? เจิ้งหยวนรักศักดิ์ศรีและความฟุ้งเฟ้อมาั้แ่เล็ก เดิมวัยเด็กเ้าตัวมักเรียกพ่อแม่ว่า ‘เตี่ยเหนียง’ เสมอ
ต่อมามีเด็กเล็กล้อเลียนที่เธอเชยใช้คำว่า ‘เตี่ยเหนียง [2]’ เธอเลยเปลี่ยนไปใช้คำว่า ‘พ่อแม่’ แทน! เมื่อถูกคนเขาหัวเราะเยาะที่มีคู่หมั้นคู่หมาย เธอเลยคิดว่าเื่แต่งงานกับสกุลเฝิงน่าอับอายนัก เธอถึงต่อต้านขนาดนี้! เพราะคนสกุลเฝิงนั้นดีมาก ทั้งเด็กหนุ่มเจี้ยนเหวินยังเป็ทหาร เงินเดือนหนึ่งตั้งหลายสิบหยวน สาวๆ ในกองอยากแต่งงานกับเขาเยอะแยะ! คู่ดีเช่นนี้ทำให้เฉินชุ่ยอวิ๋นตัดสินใจจองไว้ั้แ่เนิ่นๆ ซึ่งเธอภาคภูมิใจอย่างยิ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าบุตรสาวจะเกเร ดื้อดึงไม่ยอมแต่งงาน!เธอละอยากเคาะกะโหลกเจิ้งหยวนดูเสียจริงว่ามีอะไรอยู่ข้างใน!
“เปล่า ฉันจะแต่ง” เจิ้งหยวนกุมมือเฉินชุ่ยอวิ๋นพลางเอ่ยปลอบโยน “ฉันจะแต่งแล้วค่ะ”
เฉินชุ่ยอวิ๋นถึงค่อยวางใจ ผ่อนลมหายใจยาวเหยียดและตบหลังมือเจิ้งหยวนเบาๆ “เด็กดี... เด็กดี...” ก่อนหยุดชะงักครู่หนึ่งแล้วว่าต่อ “สกุลเฝิงเป็ครอบครัวที่ดี แม่สามีแกก็อ่อนโยน มีเหตุผล ถึงครอบครัวพวกเขาจะมีลูกชายเยอะ แต่บ้านกลับไม่ใหญ่ ลูกชายคนไหนแต่งงานก็ต้องแยกบ้าน ส่วนบ้านที่ยกให้เจี้ยนเหวินสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อแกแต่งเข้า จะได้ใช้ชีวิตของตัวเอง แถมยังไม่ต้องคอยปรนนิบัติแม่สามีอีก ชีวิตเช่นนี้สบายยิ่งนัก!”
เชิงอรรถ
[1] หมอเท้าเปล่า หมายถึง เกษตรกรที่ได้รับการฝึกการแพทย์และผู้ช่วยแพทย์พื้นฐาน คอยทำงานที่หมู่บ้านชนบทในประเทศจีน มีจุดมุ่งหมายเพื่อนำสาธารณสุขสู่พื้นที่ชนบทซึ่งหมอที่ฝึกในเมืองจะไม่มาตั้งถิ่นฐาน พวกเขาส่งเสริมการสุขาภิบาลเบื้องต้น สาธารณสุขป้องกันและการวางแผนครอบครัว ตลอดจนรักษาความเจ็บป่วยสามัญ ชื่อนี้ได้มาจากเกษตรกรภาคใต้ ซึ่งมักทำงานเท้าเปล่าในนาข้าว
[2] เตี่ยเหนียง หมายถึง พ่อกับแม่ มักใช้กันในยุคจีนโบราณ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้