“กลับต่างจังหวัดเป็ไงบ้าง?”
“ก็เหมือนเดิมอะ กลับไปก็หงุดหงิดทุกที”
“หงุดหงิดใครอีกล่ะ แม่ตัวเองเหรอ?”
“กับแม่ก็ไม่ได้หงุดหงิดขนาดนั้น แต่หงุดหงิดผู้ชายคนนั้นต่างหาก” หลายวันต่อมา หลังเดินทางกลับมาถึงกรุงเทพแล้ว ขณะที่กำลังยืนถ่ายเอกสารอยู่ใต้ตึกคณะพร้อมกับเพื่อน เจแปนก็พูดไปด้วยพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อเขาถูกถามบางอย่างจากเพื่อนในกลุ่ม
ซึ่งคำถามของเพื่อน มันก็ทำให้เจแปนรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“เดาผิดซะที่ไหน คิดไว้แล้วว่าต้องพูดอะไรทำนองนี้” อรคนที่ถามเื่การกลับต่างจังหวัดของเจแปนว่า และกลั้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ เหมือนเ้าตัวไม่ได้แปลกใจในคำตอบของเจแปนนัก
“บางทีก็รู้สึกเบื่อเหมือนกันแหละที่ต้องมาตอบอะไรซ้ำ ๆ แบบนี้ กูไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแม่ถึงทนอยู่กับผู้ชายคนนั้น ไม่ยอมตัดขาดสักที” เจแปนพูดอย่างนึกอารมณ์เสีย
“ผู้ใหญ่เขาก็คงมีเหตุผลของเขานั่นแหละ”
“แล้วเหตุผลอะไรล่ะ”
“แล้วกูจะรู้ไหมล่ะ ในเมื่อกูไม่ใช่คนในครอบครัวมึง”
“…”
“บางทีอะ คนที่อยู่ในความสัมพันธ์เขามองไม่เห็นปัญหาอะไรหรอก พ่อกับแม่มึงก็อยู่ในความสัมพันธ์แบบนี้มานานแล้ว เขาอาจกลัวว่าถ้าตัดขาดกันไปเลย มันอาจจะเจ็บกว่าที่เป็อยู่แหละมั้ง พวกเขาก็เลยไม่อยากเสี่ยง” อรแสดงความคิดเห็น ในขณะที่เจแปนก็ทำเพียงแค่หันหน้าหนีไปทางอื่น คล้ายกับไม่อยากฟัง แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเขากลับเก็บเอาคำพูดของเพื่อนมาใส่ใจทุกประโยค
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย” นานเกือบนาทีกว่าที่เจแปนจะพูดอะไรออกมา ซึ่งความดื้อรั้นก็ฉายชัดออกมาผ่านแววตาอย่างเต็มเปี่ยม
“ก็ถ้ากูบอกให้มึงเลิกกับพอร์ตตอนนี้ มึงจะเลิกไหมล่ะ?”
“แล้วทำไมต้องเลิก ในเมื่อมันก็…” จังหวะที่เจแปนจะเถียง อรก็รีบพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน
“เห็นไหม ขนาดตัวมึงเองที่ยังไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับพอร์ตก็ยังมีเหตุผลร้อยแปดที่ยังจะยืนอยู่ตรงนี้เลย ทั้งที่คนนอกเองเขาก็มีเหตุผลมากมายเหมือนกันที่อยากให้มึงเดินออกมาจากความสัมพันธ์ แล้วทำไมมึงถึงไม่เข้าใจคนอื่นอะ”
“พอ ๆ อย่าทะเลาะกัน” บัวที่เพิ่งเดินเข้ามาหา และพอจะจับประเด็นในบทสนทนานี้ได้รีบพูดขึ้นโดยพลัน
“ไม่ได้ทะเลาะ” เจแปนหันไปพูดกับบัว
“ตอนนี้ยังไม่ได้ทะเลาะ แต่อีกห้านาทีพวกมึงทะเลาะกันแน่ แยกเลย ๆ อารมณ์เย็นลงทั้งคู่แล้วค่อยมาคุยกันใหม่” บัวว่า จากนั้นอีกฝ่ายก็ดึงแขนเจแปนให้เดินตามเธอไป ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นคำพูดที่แสนจะกระแทกใจของอรก็ยังคงตามหลอกหลอนเจแปนอยู่
“แล้ววันนี้มึงจะไปงานวันเกิดเนยปะ มันเลี้ยงร้านเดิม”
“…”
“ออกไปเที่ยว ออกไปใช้เวลากับเพื่อนบ้างก็ดีนะเจแปน เพราะไหน ๆ มึงก็ไม่ได้มีนัดอะไรกับพอร์ตอยู่แล้วนี่” เวลาต่อมา หลังสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นแล้ว ต่างฝ่ายต่างใจเย็นลง อรก็เดินมาทิ้งตัวนั่งข้างกันแล้วพูดบางอย่างกับเจแปน
“บางทีกูก็อยากนอนอยู่ที่ห้องเฉย ๆ”
“ปกติมึงก็ทำแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ? ออกแค่วันนี้ที่เป็วันเกิดเพื่อนสิหรือว่าจะให้พวกกูไปตั้งวงที่ห้องมึง? จะเอาแบบนั้นก็ได้นะ” อรยังคงเซ้าซี้ต่ออย่างไม่ยอมแพ้
“นี่ตกลงจะลากกูไปให้ได้เลยใช่ไหม?” คราวนี้เจแปนหันกลับไปถาม พลางถอนหายใจออกมาอย่างแรง เมื่อเห็นท่าทีของเพื่อนที่คงจะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ แน่
“วันนี้เพื่อนในกลุ่มเราก็ไปกันหมด กูก็อยากให้มันไปครบทุกคนไม่ขาดใครนะ” อรบอกเหตุผลของตัวเอง
“เออ ๆ ไปก็ไป” เพราะเพื่อนให้เหตุผลมาอย่างนั้น ประกอบกับไม่อยากให้เ้าของวันเกิดรู้สึกแย่ นั่นจึงทำให้เจแปนยอมตอบตกลงอย่างไม่มีทางเลือก โดยหลังจากที่เขาให้คำตอบเสร็จ เจแปนก็รีบทักหาคนรักของตัวเองแล้วบอกว่าคืนนี้จะออกไปไหน เพื่อป้องกันการมีปัญหากันภายหลัง
‘ดูแลตัวเองดี ๆ ครับ’ นั่นเป็ข้อความที่พอร์ตตอบแช็ตกลับมา ซึ่งเจแปนก็ทำเพียงแค่อ่านมันเท่านั้นไม่ได้คิดจะตอบอะไรกลับไป
่ค่ำของวัน หลังเดินทางมาถึงสถานบันเทิงที่เพื่อนนัดหมายเรียบร้อยแล้ว เจแปนก็เดินเข้าไปในร้านอย่างไม่รีบร้อนอะไร ซึ่งพอเขาก้าวเข้าไปในร้านที่ถูกตกแต่งด้วยไฟสลัว เขาก็ค่อย ๆ กวาดสายตามองหากลุ่มเพื่อนของตัวเองที่น่าจะมาฉลองวันเกิดของเนยราว ๆ สิบคนเห็นจะได้
“แปน! ทางนี้ ๆ” ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้น นั่นจึงทำให้เจแปนรีบหันมองตามเสียงทันที ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปหากลุ่มเพื่อนของตัวเอง
“เดี๋ยวมึงนั่งตรงนี้เลย” เนยผู้เป็เ้าของวันเกิดพูด พร้อมตบเก้าอี้ที่ข้าง ๆ เธอ เพื่อให้เจแปนเดินไปนั่งข้างกัน โดยในระหว่างที่เจแปนกำลังทิ้งตัวลงนั่งนั้น เขาก็ได้ยื่นกล่องของขวัญขนาดเล็กไปให้อีกฝ่าย ซึ่งด้านในนั้นมันก็เป็เครื่องประดับสำหรับผู้หญิงที่สามารถใส่ได้ทุกโอกาส
“อะไร” เนยยื่นมือมารับด้วยท่าทีงุนงง
“อ้าว…ก็ของขวัญวันเกิดไง สุขสันต์วันเกิดนะ” เจแปนบอกเพื่อนเสียงนิ่ง แต่มันกลับทำให้คนรับของขวัญถึงกับยิ้มแก้มปริ
“ขอบคุณมากนะ มึงน่ารักที่สุดเลย!” เนยพูดพร้อมโน้มหน้าเข้ามาใกล้เหมือนจะจุ๊บแก้มกัน ทว่ายังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้ทำอะไร เธอก็ถูกเจแปนขัดขืนด้วยการใช้มือดันเอาไว้เสียก่อน
“ไม่ให้จุ๊บ ห้ามเด็ดขาด”
“เออ ๆ กูรู้แล้วน่าว่ามึงไม่ให้จุ๊บ แต่ว่าทำไมมึงน่ารักจังวะ น่ารักแบบซึน ๆ อะ” เนยพูดเสียงสดใส ก่อนจะหันเหความสนใจไปที่ของขวัญที่เจแปนเพิ่งให้ไป “ว่าแต่ว่าข้างในนี้คืออะไร ขอถามได้ปะ?”
“เครื่องประดับ มึงน่าจะชอบแหละ เพราะเห็นใส่แนวนี้บ่อย”
“นี่ไง! มึงน่ารักจริง ๆ นะ ชอบใส่ใจเพื่อนแต่แค่ไม่ค่อยชอบแสดงออกเท่านั้น”
เพราะถูกเพื่อนพูดชมกันไม่หยุด เจแปนจึงไม่รู้ว่าเขาควรต้องทำตัวยังไงต่อ สุดท้ายเขาจึงเลือกที่จะนิ่งทำเป็เมินเฉย ทำเป็สนใจกับแกล้ม เสียงดนตรีและเครื่องดื่มที่ถูกวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าแทน จนกระทั่งเนยหยุดชมแล้วเทความสนใจไปยังสิ่งอื่นนั่นแหละ เจแปนถึงค่อยรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย
“เวลามึงอยู่กับพอร์ต มึงเป็แบบนี้ปะ?” บัวที่มาฉลองวันเกิดด้วยและกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกันถามขึ้น
“แล้วแบบนี้ที่ว่าคือแบบไหนอะ” เจแปนถามกลับไปอย่างไม่เข้าใจ
“ก็นิ่ง ๆ แบบนี้ไง พอร์ตเองถึงกูจะเคยเจอแค่ไม่กี่ครั้ง แต่กูก็ดูออกนะว่ามันเป็คนนิ่ง ๆ ส่วนมึงเองก็นิ่งเหมือนกัน แล้วเวลาเจอหน้ากันนี่…คุยกันบ้างปะ”
“ถามแปลก ก็ต้องคุยกันอยู่แล้วสิ” เจแปนตอบกลับไปแล้วพูดต่อ “แต่เวลาที่กูอยู่กับแฟน กูก็จะพูดเยอะกว่าปกตินิดนึง เพราะพอร์ตมันคงไม่คิดจะชวนคุยหรือถามอะไรกันอยู่แล้ว”
เนื่องจากนี่มันเป็วันเกิดของเพื่อน เจแปนจึงไม่อยากจะมานั่งเครียดนั่งคิดมากเท่าไรนัก เขาเลือกที่จะจบบทสนทนาที่กล่าวถึงคนรักไว้แค่เท่านั้น แล้วสนใจกลุ่มเพื่อนที่มารวมตัวกันในขณะนี้แทน
“เอาจริง ๆ นะ กูไม่รู้เลยว่ากูชอบแนวนี้ กูก็เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองชอบโดนบีบคอ ดึงผมระหว่างมีอะไรกัน ก็ตอนที่แฟนกูทำนี่แหละ”
“แล้วมันไม่เจ็บเหรอวะ”
“ถ้าไม่ไหวก็บอกให้แฟนดึงเบา ๆ ไง คือมันก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะมึง อาจเพราะมันแปลกใหม่ด้วยแหละมั้ง เพราะปกติก็ไม่เคยทำอะไรแนวนี้อยู่แล้ว” หลังเริ่มดื่มไปได้สักพักใหญ่และบางคนในกลุ่มก็เมาได้ที่ บทสนทนาบนโต๊ะจึงเริ่มพูดเื่ที่ค่อนข้างลงลึกมากกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็เื่เซ็กซ์ที่เคยพบเจอมาระหว่างการใช้ชีวิต่วัยรุ่น
“กูชอบแนวอ่อนโยนมากกว่าอะ” บัวพูดขึ้นมาบ้าง แต่นั่นกลับทำให้เจแปนเลื่อนสายตาหันไปมองเธอทันที เนื่องจากในกลุ่มเพื่อนเขาสนิทกับบัวมากที่สุดแล้วและรู้ด้วยว่าบัวไม่เคยมีแฟนเลย
“มึงเคยแล้วเหรอ ตอนไหน? เพราะมึงไม่เคยมีแฟนนี่” เจแปนถามออกไปอย่างที่ใจนึก
“มึงนี่ก็ถามแปลกนะ ถ้าเรา้า…เราก็ไม่จำเป็ต้องมีกับแฟนก็ได้นี่ มันไม่ได้ผิดกฎหมายไม่ได้ผิดศีลสักหน่อย” บัวตอบกลับมาด้วยใบหน้างุนงงไม่แพ้กัน
“…”
“เงียบแบบนี้ มองกูแบบนี้หมายความว่าไงคะ? หรือว่ามึงยังไม่เคยมีอะไรกับพอร์ตเลย…ถามจริงเถอะ”
“ก็พอร์ตไม่ค่อยว่าง”
“ไม่มึง แบบนี้มันแปลกเกินไปจริง ๆ นะ มึงกับพอร์ตคบกันมาหกปีเลยไม่ใช่เหรอ?” อรเอ่ยขึ้นมาบ้าง ก่อนจะเลื่อนสายตามองไปทางเนย เพราะเนยมาจากโรงเรียนเดียวกันกับเจแปนและพอร์ต “อีเนย พอร์ตกับเจแปนคบกันั้แ่ม.ปลายเลยใช่ไหม?”
“อื้อ! สองคนนี้คบกันั้แ่ม.สี่แล้ว” เนยที่เริ่มเมาเพราะชนแก้วมากเกินไปพยักหน้าตอบกลับมา “ตอนเปิดเทอมสอง ม.สี่ สองคนนี้ก็เปิดตัวเลยว่ากำลังคบกันอยู่ ตอนนั้นพอร์ตมันถือตะกร้ากุหลาบไปเซอร์ไพรส์วันเกิดเจแปนถึงที่ห้องเรียนแน่ะ โคตรน่าอิจฉาเลย”
“ไอ้พอร์ตเนี่ยนะ” อรว่าอย่างไม่เชื่อหู
“อื้อ! ตอนนั้นคู่นี้น่ารักมากกก” เนยพยักหน้ายืนยันอีกหน ก่อนจะฟุบลงบนโต๊ะอย่างคนสิ้นสภาพ
“ถ้ามันเคยเป็อย่างที่เนยเล่าจริง ทำไมตอนนี้มันถึงกลายเป็แบบนั้นได้วะ” บัวถามอย่างไม่เข้าใจ
“แล้วทำไมพวกมึงจะต้องมาใส่ใจเื่ของกูนักอะ” เจแปนที่มีอาการกรึ่ม ๆ เพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์พูดออกมาเสียงนิ่ง
“…”
“กูรู้แล้วว่าพวกมึงไม่ชอบแฟนกู แต่ช่วยปล่อยให้มันเป็เื่ของกูกับพอร์ตไม่ได้เหรอ?” เขาว่าต่อคล้ายกับทนไม่ไหวอีกต่อไป เพราะตลอดทั้งวันมานี้เพื่อนของเขาเอาแต่พูดถึงพอร์ตไม่ยอมหยุด พูดถึงแต่ในทางที่ไม่ดีและแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบแฟนเขามากแค่ไหน ซึ่งพอเจแปนเจอแบบนี้เกือบทุกวัน นั่นก็ทำให้เขายิ่งรู้สึกแย่กับแฟนของตัวเองเข้าไปใหญ่
และยิ่งพักหลังมานี้เขาก็ยิ่งรู้สึกแย่ จนนึกอยากจะเปลี่ยนแฟนใหม่หรือไม่ก็วอนขอให้ใครสักคนช่วยพาพอร์ตคนเดิมกลับมาที
่ตีสองของวัน หลังเดินทางกลับมาจากสถานบันเทิงแล้ว เจแปนก็มานอนเหม่ออยู่ในห้องนอนของตัวเองต่อ เขาทิ้งตัวลงเตียงนุ่ม ทั้งที่ยังไม่ได้อาบน้ำหรือเปลี่ยนไปใส่ชุดนอนด้วยซ้ำ
พอเข้ามาในห้องได้ เจแปนก็เดินเข้ามาในห้องนอนแล้วทิ้งตัวลงเตียงอย่างหมดแรง และเอาแต่นอนมองเพดานห้องอย่างใช้ความคิด เมื่อคำพูดทุกคำที่ถูกกรอกเข้าหูมาเกือบตลอดทั้งวัน มันกำลังมีอิทธิพลต่อความคิดเขา
แม้คำพูดพวกนั้นมันจะมาจากความเกลียดชังพอร์ตที่มีเป็ทุนเดิมอยู่แล้วก็ตาม แต่เจแปนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบางประโยคที่เพื่อนพูดมา เขาก็เห็นด้วยตามนั้น
หรือว่าเจแปนควรจะยุติความสัมพันธ์กับพอร์ตดี? จู่ ๆ ความคิดนี้มันก็ผุดขึ้นมาในหัวอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน
“แต่ก็เสียดายเวลาจังแฮะ” เจแปนพูดกับตัวเองด้วยน้ำเสียงสับสน มันก็เหมือนอย่างที่บัวเคยพูดไว้นั่นแหละ เพราะเจแปนมัวแต่เสียดายเวลา นั่นจึงทำให้เขาไม่สามารถปล่อยมือจากคนรักได้สักที แม้ในตอนนี้มันจะสร้างความทุกข์มากกว่าความสุขให้แก่เขาก็ตาม
‘พวกกูก็ไม่ได้อยากจะใส่ใจเื่ส่วนตัวของมึงมากหรอกนะ แต่พอรู้ว่าตลอดที่คบหากันมาเป็เวลาหกปี มึงกับแฟนมึงไม่เคยมีอะไรกันเลย กูว่ามันแปลกเกินไปแล้วนะ มีพิรุธเต็มไปหมด…มึงคบกับมัน มึงไม่รู้สึกแบบนั้นบ้างเหรอ?’
‘จริง แล้วนี่เรากำลังอยู่ใน่วัยรุ่นอะ ทุกคนแม่งก็มีความ้ากันหมด ถึงแฟนมึงจะไม่ใช่คนที่สนใจฝักใฝ่เื่นี้หรืออะไรก็ช่าง แต่มันก็ต้องมีบ้างแหละที่้า เพราะของพวกนี้มันเป็เื่ธรรมชาติจะตาย’
‘ถ้าพอร์ตไม่มีแฟน แล้วเวลา้าก็วันไนท์ไม่ก็จัดการตัวเองเอา กูก็พอจะเข้าใจมันนะ แต่นี่มันมีแฟนไงมึง เวลามัน้ามันไม่คิดจะขอมีอะไรกับแฟนเลยหรือไง?’
‘ทุกอย่างมันดูแปลก มันไม่สมเหตุสมผลไปหมดเลย’
‘กูว่าบางทีมึงอาจต้องจับผิดแฟนมึงได้แล้วนะ ว่ามันมีใครอีกคนหรือเปล่า ทั้งเื่ที่ไม่มีเวลาให้ไหนจะเื่นี้อีก มันเป็เื่ใหญ่มากนะ’
‘อย่าไว้ใจเกินไป เพียงเพราะคิดไปเองว่ามันจะไม่กล้าทำ’
“แต่พอร์ตมันจะกล้านอกใจจริง ๆ เหรอวะ” เมื่อนอนทวนคำพูดที่เพื่อนพูดกรอกหูมาหมดแล้ว เจแปนก็มาตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ
จู่ ๆ เขาก็เกิดไม่มั่นใจในตัวของคนรักขึ้นมาเสียอย่างนั้น…
“เราก็แสนดีกับพอร์ตขนาดนี้แล้วนะ แล้วเขายังจะกล้าทำร้ายกันอีกเหรอ” เจแปนพูดต่อพร้อมหายใจออกมาอย่างแรง หลังความสงสัยนี้ มันกำลังทำให้เจแปนรู้สึกทรมานใจอย่างบอกไม่ถูก
เช้าวันต่อมา
“เราว่าเราเปลี่ยนชื่อรายการดีไหมวะ ให้มันฟังแล้วมันลื่นหู ดูคล้องจองกันมากกว่านี้อะ”
“ได้สิ แล้วอยากให้แก้ว่าอะไรดี มีที่คิดไว้ไหม?”
“เปลี่ยนชื่อเป็รายการพาไปมูดีเปล่า? แบบมันเป็คำสั้น ๆ สามารถจดจำได้ง่ายแล้วก็เข้าใจความหมายทันทีอะ”
“ได้ดิ ว่าแต่ว่ามีเพื่อนคนไหนอยากจะเสนอชื่ออื่นอีกรึเปล่า” เจแปนถามพร้อมกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ตัว ซึ่งพอเขาไม่เห็นว่าจะมีใครทักท้วงอะไร เขาก็ตกลงว่าตามนั้น “โอเค งั้นเราจะเปลี่ยนชื่อรายการนะ เดี๋ยวเราไปแก้ตรงนี้มาก็แล้วกัน”
ณ ใต้ตึกคณะนิเทศศาสตร์ เมื่อพูดคุยในส่วนที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบเสร็จแล้ว เจแปนก็มานั่งจดรายละเอียดตรงส่วนอื่นต่อ โดยนอกจากการเขียนสคริปต์และคิดรูปแบบรายการที่จะเอาไปนำเสนออาจารย์แล้ว เขาก็จะต้องเป็คนทำเื่ติดต่อขอเบิกอุปกรณ์จากทางคณะ เพื่อเอาไปทำงานด้วย
“แล้วเราจะเริ่มถ่ายรายการตอนไหนดีอะ เพราะอาจารย์ให้เวลาสองเดือนต้องเสร็จครบทั้งห้าอีพีเลย” เพื่อนคนหนึ่งถามขึ้น
“ถ้าเป็ไปได้… เราก็อยากให้เริ่มถ่ายกันั้แ่สัปดาห์หน้าเลยนะ ยิ่งถ่ายเสร็จเร็วเท่าไรยิ่งดี เพราะเราต้องเผื่อเวลาให้พวกตัดต่อด้วย” เจแปนแสดงความคิดเห็นแล้วพูดต่อ “แต่ยังไงมันก็ต้องขึ้นอยู่กับเื่อุปกรณ์ด้วยแหละ เพราะตอนนี้เราไม่รู้ว่ามีใครยืมอะไรไปหรือเปล่า”
“ถ้างั้นแปนไปทำเื่ั้แ่วันนี้เลยได้ปะ พวกเราจะได้รู้ว่าอุปกรณ์ไหนเบิกได้ในทันที อันไหนยังเบิกไม่ได้”
“ครับ เดี๋ยวเราไปจัดการให้วันนี้เลย” เจแปนพยักหน้ารับ โดยในเวลาเดียวกันนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นพอดี ซึ่งก็เป็พอร์ตที่โทรมาหากัน
“มีเื่อะไรอีกล่ะเนี่ย” เพราะทุกครั้งที่พอร์ตเป็ฝ่ายโทรมาหาก่อน มันมักจะเป็ธุระเสมอ นั่นจึงทำให้เขาเผลอพูดออกมาอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะกดรับสาย
“ฮัลโหล มีธุระอะไรเหรอ” เจแปนถามปลายสายด้วยน้ำเสียงปกติ และพยายามจะหยุดคิดเื่เมื่อคืนนี้ที่ทำให้เขาเครียดจนนอนไม่ค่อยหลับ
[แล้วต้องมีธุระเหรอ เราถึงโทรหาได้]
“อ้าว…”
[เราล้อเล่น ที่โทรหาพอดีตอนนี้เราว่างอะ ว่างเกือบทั้งวันเลย]
“แล้วทำไมถึงว่างอะ ไหนพอร์ตบอกว่ามีสอบไง” เจแปนถามทั้งหน้างง
[ก็ใช่... แต่อาจารย์ดันเลื่อนสอบกะทันหันเพราะติดธุระด่วน ตอนนี้เราก็เลยว่าง]
“อ๋อ แบบนี้นี่เอง”
[แล้วนี่แปนกำลังทำอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง? เราออกไปกินข้าวดูหนังที่ห้างใกล้ ๆ มหาลัยด้วยกันไหม?]
“ได้สิ!” เจแปนตอบออกไปโดยอัตโนมัติ เมื่อเขาไม่นึกว่าพอร์ตจะเป็ฝ่ายออกปากชวนเอง เนื่องจากแต่ก่อนเจแปนเคยเพียรพยายามที่จะชวนพอร์ตไปเดินห้าง ไปดูหนังเหมือนอย่างที่เคยทำแล้ว แต่พอพวกเขาเข้ามหาลัย คนรักของเขาก็มักจะปฏิเสธเสมอ สุดท้ายเจแปนจึงเลิกชวนพอร์ตไปทำกิจกรรมทำนองนี้ เหลือไว้แค่นัดเจอหน้ากันไม่ก็นัดกินข้าวกันแค่สัปดาห์ละหนสองหนเท่านั้น
[ฮ่า ๆ นี่แปนไม่ต้องคิดอะไร ก่อนที่จะให้คำตอบเราหรือไง?]
“ก็เราอยากไปกับพอร์ตนี่นา” เจแปนตอบตามที่ใจคิด แล้วว่าต่อเสียงอ้อน “แต่ว่าเดี๋ยวเราต้องไปทำเื่เบิกอุปกรณ์ทำงานกลุ่มก่อนอะ งั้นพอร์ตรอเราได้ไหมสักครึ่งชั่วโมง เราจะรีบทำรีบเสร็จ”
[ได้ครับ ถ้างั้นเดี๋ยวเราไปรอที่หน้าคณะนะ]
“โอเค แล้วเจอกันนะ” เจแปนบอกคนรักด้วยน้ำเสียงสดใส จากนั้นเขาก็รีบหยิบสัมภาระส่วนตัวแล้วแยกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อน เพื่อไปจัดการธุระที่ตัวเองจะต้องรับผิดชอบ
“เป็อะไร ทำไมถึงเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แบบนี้ล่ะ”
“อ้าว ก็คนมันมีความสุข เราขอยิ้มหน่อยไม่ได้หรือไง?”
“แค่ออกมากินข้าวดูหนังด้วยกันนี่นะ” พอร์ตถาม
“ใช่ ก็พักหลังมานี้เราสองคนไม่ค่อยได้มีกิจกรรมทำนองนี้ด้วยกันเลย ครั้งล่าสุดที่เราออกมาเดินห้าง กินข้าวดูหนังแบบนี้ก็น่าจะ่ปีหนึ่งมั้ง” เจแปนตอบคนรัก ระหว่างที่เขากำลังเดินเคียงข้างอีกฝ่าย เพื่อไปยังร้านอาหารที่ตกลงกันไว้
“เวอร์แล้วแปน เราว่ามันก็ไม่น่าจะนานขนาดนั้นนะ” พอร์ตเถียงกลับมา
“แหม... มันนานขนาดนั้นเลยแหละ ทำไมเราถึงจะจำไม่ได้” เจแปนเถียงสู้
แม้จะยังเคลือบแคลงใจและสงสัยในตัวของพอร์ตที่วันนี้อีกฝ่ายดูใส่ใจกันจนผิดธรรมชาติ แต่เจแปนก็ยังไม่อยากจับผิดขนาดนั้น เนื่องจากสิ่งที่พอร์ตกำลังปฏิบัติกับเจแปนในตอนนี้ มันเป็สิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอด ซึ่งถ้าหากเจแปนมัวแต่จับผิดคนรัก และนึกระแวงว่าอีกฝ่าย้าอะไรจากตัวเองกันแน่ นั่นก็อาจทำให้เจแปนรู้สึกไม่มีความสุข
“แต่วันนี้เรารู้สึกจริง ๆ นะว่าพอร์ตดูแปลกไป” เมื่อทานข้าวและดูหนังเสร็จแล้ว ระหว่างที่กำลังนั่งรถกลับ จู่ ๆ เจแปนที่กำลังเหม่อมองข้างทางก็พูดขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
และคำพูดของเขามันก็ทำให้อีกคนถึงกับชะงักไป
“แล้วมันแปลกไปในแง่ไหนเหรอ ในแง่ดีหรือไม่ดี” นานเกือบนาทีกว่าที่พอร์ตจะถามกลับมา
“ก็ต้องในแง่ดีอยู่แล้วสิ เพราะวันนี้พอร์ตทั้งตามใจทั้งมีเวลาให้เราขนาดนี้”
“…”
“ถามจริงเถอะ ่นี้ไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่าเนี่ย?” คราวนี้เจแปนหันหน้ากลับไปถามแบบทีเล่นทีจริง แล้วเพราะหนนี้เขาหันไปสบตากับคนรักแทนที่จะเหม่อมองข้างทางเหมือนอย่างเคย นั่นจึงทำให้เจแปนพอจะเห็นพฤติกรรมที่ดูแปลกไปของคนรัก จนมันเกิดเป็พิรุธ
“เราก็แค่รู้สึกว่า่นี้เราควรจะใส่ใจเจแปนมากกว่าที่เคยแค่นั้นเอง”
“แล้วจะใส่ใจกันแค่่นี้เหรอ?” เจแปนถามต่อ เมื่อบางคำพูดในประโยคนั้น มันทำให้เขาฟังแล้วรู้สึกสะดุด
“ไม่ดิ…เราก็ต้องใส่ใจตลอดไปอยู่แล้ว” พอร์ตแก้ตัวใหม่
“งั้นแสดงว่าพอร์ตไม่ได้ทำอะไรผิดมาใช่ไหม เช่น…การนอกใจ” เจแปนพูดต่อพร้อมใช้สายตาสังเกตพฤติกรรมของคนรักยิ่งกว่าเคย
“แล้วทำไมถึงยกตัวอย่างแบบนั้นล่ะ ไม่เชื่อใจเราหรือไง” พอร์ตเริ่มถามกลับมาด้วยท่าทีที่ไม่ค่อยพอใจเล็กน้อย
“ฮ่า ๆ เราเนี่ยนะไม่เชื่อใจพอร์ต คบกันมาหกปี…เราไม่เคยถามนั่นถามนี่ ไม่เคยเช็กนั่นเช็กนี่ในโทรศัพท์ของพอร์ตเลย นั่นก็เป็เพราะความเชื่อใจไม่ใช่หรอกเหรอ”
“…”
“ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิดก็อย่าคิดมากนะ เพราะเราก็แค่ยกตัวอย่างไปเรื่อย…ไม่ได้หมายความว่ากำลังระแวงคิดว่าพอร์ตนอกใจกันสักหน่อย” ระหว่างการพูดจา ใบหน้าของเจแปนก็ยังมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้บรรยากาศขณะที่กำลังคุยกันตึงเครียดไปมากกว่านี้
“เฮ้อ… นี่เราต้องแยกกันอีกแล้วสินะ” เจแปนว่าต่อ เมื่อในเวลาเดียวกันนั้นรถของพอร์ตก็เลี้ยวเข้ามาในคอนโดของเจแปนพอดี ซึ่งพอรถของคนรักมาจอดสนิทที่ลานจอด เจแปนก็ได้ตัดสินใจพูดบางอย่างออกไป
“แต่ว่าก่อนจะแยกย้ายกัน เราขออะไรหน่อยดิ”
“อยากได้อะไรล่ะ” พอร์ตถาม
“จูบเราหน่อย”
“…”
“จูบเหมือนตอนที่เราคบกันแรก ๆ อะ ทำให้ได้ไหม” เมื่อเจแปนพูดออกไปแบบนั้น พอร์ตก็นิ่งไปพักหนึ่ง อีกฝ่ายจ้องลึกเข้ามาในดวงตาเขา เหมือนอยากถามว่าเจแปน้าอะไรกันแน่
“ได้สิ แฟนขอทั้งที ทำไมเราจะให้ไม่ได้” พอร์ตตอบกลับมา หลังจากนั้นทั้งสองก็เคลื่อนใบหน้าเข้าหากันทันที โดยมันก็เป็จูบที่ลึกซึ้งไม่ใช่การจูบแบบผิวเผินเหมือนอย่างที่เคยทำ ซึ่งพอทั้งสองได้ผละออกจากกันแล้ว เจแปนจึงลองถามบางอย่างที่มันกำลังรบกวนจิตใจของเขาดู
เพราะเขาอยากรู้ว่าคนรักของเขาจะมีท่าทียังไง เมื่อถูกร้องขอ
“เรามีอะไรกันไหม?” เจแปนกลั้นใจถามออกไป ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะให้คำตอบกลับมาด้วยท่าทีรู้สึกผิด
“เราว่า…เรายังไม่พร้อมว่ะ” พอร์ตตอบกลับมาเสียงนิ่ง
“ทำไมถึงไม่พร้อม ในเมื่อเราก็โตกันทั้งคู่แล้ว คนรักกัน ถ้ามีอะไรกัน มันก็เป็เื่ปกติไม่ใช่เหรอ” เจแปนถามกลับไป
“ไม่พร้อมก็คือไม่พร้อมไง อย่าถามมากได้ไหม”
“…”
“แปนเข้าใจเราหน่อยนะ เราขอเวลาหน่อย”