“หญ้าพิษเหล่านี้คือสิ่งที่ข้าหลอมรวมมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งยังไม่มียาแก้พิษด้วย”
คนชุดดำเห็นว่าเสิ่นเสวียนโดนหญ้าพิษรัดขาจนพิษแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
“ตอนนี้เ้าคิดอ้อนวอนข้าคงไม่ทันแล้ว จำไว้ให้ดี ชาติหน้าอย่าได้อวดดีมากนัก อัจฉริยะอย่างเ้า ข้าเห็นมามากแล้วที่ตายก่อนวัยอันควร”
เสิ่นเสวียนถือกระบี่ัคำรามยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ได้ใส่ใจหญ้าพิษที่อีกฝ่ายกล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย
ร่างของเขากำลังโดนหญ้าพิษรัดอยู่ พิษทะลวงผ่านเกราะแทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย แต่หากจะบอกว่าไร้ยาแก้พิษก็คงจะมากเกินไปหน่อย
แม้เขาจะรู้จักพิษไม่มาก แต่พิษที่เขาโดนอยู่ตอนนี้ร่างกายของเขายังสามารถขับออกด้วยตนเองได้ เพียงแต่ต้องใช้เวลาสักหน่อย และ่เวลาที่ว่านี้แค่ที่ใช้คุยกับอีกฝ่ายก็พอแล้ว
“ท่านและผู้เฒ่าจี๋เล่อรู้จักกันนานแล้วหรือ”
เสิ่นเสวียนมองอีกฝ่ายพลางถามด้วยความสงสัย
“ทำไม คิดถ่วงเวลาอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเห็นเสิ่นเสวียนถามตนเองเช่นนี้ คนชุดดำจึงถามกลับไปด้วยรอยยิ้มเย็น
“ก็คงใช่ ในเมื่อจะให้ข้าตายแล้ว ให้ข้าได้ตายด้วยความเข้าใจสักหน่อยเถอะ!”
คนชุดดำเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ขณะนี้อยู่ห่างจากเสิ่นเสวียนไปเพียงเก้าฉื่อ มองพิจารณาเขาั้แ่หัวจรดเท้า
ความจริงแล้วในใจเขาค่อนข้างสงสัยอยู่มาก ฝีมือของอีกฝ่ายที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้ไม่ธรรมดาเลย ในโลกที่เขาสร้างขึ้น เขาเกือบจะโดนเสิ่นเสวียนจัดการได้แล้ว แม้จะกล่าวว่าเมื่อครู่เขาใช้แผนการเล็กน้อย แต่หากต้องจัดการเสิ่นเสวียนให้ได้รวดเร็วขนาดนั้น เขาไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไร
แต่ถ้าบอกว่าไม่มั่นใจ ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่มั่นใจ
“หากเ้าบอกข้าได้ว่าเ้ามาจากที่ใด ข้าคงพิจารณาที่จะบอกให้เ้ารู้”
“ข้า? ข้าเป็เพียงจอมยุทธ์เร่ร่อนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม มีอยู่วันหนึ่งข้าฝันว่าได้ออกไปจากโลกที่งดงามใบนี้ ไปเจอกับคนแก่คนหนึ่งที่ถ่ายทอดวิธีการฝึกฝนบางอย่างให้ข้า จึงมีวันนี้ขึ้นมาได้”
เสิ่นเสวียนกล่าวมาไม่ผิดเลย เขาไม่ใช่คนในโลกนี้จริงๆ เพียงแต่เมื่อคนชุดดำได้ฟังแล้วก็เกิดความรู้สึกสับสนเล็กน้อย
“โอกาสสุดท้ายของเ้าหมดลงแล้ว”
คนชุดดำส่ายหัว อีกฝ่ายไม่คู่ควรที่จะรู้ และเขาไม่จำเป็ต้องเสียเวลานานขนาดนี้เลย เขารู้ดีว่าเขามาทำอะไรที่นี่ หลังจากจัดการเสิ่นเสวียนแล้วจะไปจัดการผู้เฒ่าจี๋เล่อต่อ
เขามองเสิ่นเสวียนพลางยกมือขึ้นอย่างเชื่องช้า ในพริบตาที่เขากำมือ หนามของหญ้าพิษที่พันขาเสิ่นเสวียนอยู่พลันเติบใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว แทงเข้าไปที่ิัของเสิ่นเสวียน ดูดกลืนพลังชีวิตของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ในการดูดซับพลัง่แรก ทำให้คนชุดดำตื่นเต้นดีใจเป็อย่างมาก
อย่าเห็นว่าบนร่างของเสิ่นเสวียนไม่มีพลังสักเท่าไร ในความเป็จริงกลับมีพลังที่บริสุทธิ์มาก เทียบกับไอพลังต่อสู้ของตนเองแล้วของเสิ่นเสวียนบริสุทธิ์กว่าไม่น้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดเสิ่นเสวียนที่มีพลังยุทธ์ขั้นบรรพบุรุษกลับสามารถต่อสู้กับเขาได้
พลังในระดับนี้ ควรค่าแก่ความท้าทายจริงๆ
วิ้งงง!!! วิ้งงง!!!
กระบี่ัคำรามในมือของเสิ่นเสวียนส่งเสียงดังลั่น เ้านายโดนคุกคามเช่นนี้ ตนเองที่เป็ศาสตราิญญาต้องปกป้องผู้เป็นายอยู่แล้ว ทว่าเสิ่นเสวียนรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา จึงควบคุมกระบี่ัคำรามเอาไว้อย่างสุดความสามารถ
เขายังไม่ได้ขับพิษของอีกฝ่ายออกจากร่าง ตอนนี้ยังโดนดูดพลังออกไปอีก สถานการณ์ตอนนี้ไม่เป็ผลดีต่อเสิ่นเสวียนเลย
แต่ยิ่งเป็แบบนี้เขายิ่งต้องสงบนิ่งเข้าไว้ และคิดหาวิธีตอบโต้กลับให้ได้
“นักรบฆ่าได้หยามไม่ได้ เ้าดูดพลังของข้าไปทำไม”
เสิ่นเสวียนถามคนชุดดำ ในแววตาฉายความหวาดกลัวออกมา
เมื่อได้ยินคำถามของเสิ่นเสวียน คนชุดดำก็รู้แล้วว่าเสิ่นเสวียนกำลังหวาดกลัว หากจะบอกว่าอีกฝ่ายรับมือกับพิษได้บ้าง แต่การดูดซับพลังคือการหยั่งรากลึกลงไปในตอนท้ายเพื่อสังหาร และการดูดซับพลังยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลง
เมื่อถึงตอนนั้น อีกฝ่ายจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ ส่วนเขาจะแข็งแกร่งขึ้น แล้วอีกฝ่ายจะเอาอะไรมาสู้กับเขา
“เพราะพลังของเ้าบริสุทธิ์มาก ดูดซับเข้ามามากพออาจทำให้ข้าย่นระยะเวลาฝึกฝนไปได้ถึงห้าปี”
คนชุดดำกล่าวกับเสิ่นเสวียนพลางยิ้ม
“ใช้วิธีการกลืนกินเช่นนี้ อาจทำให้เกิดผลร้ายต่อผู้ฝึกตนได้”
“เกิดผลร้ายแล้วอย่างไร เ้าตายไปแล้วใครจะรู้ได้ ใครจะทำอะไรข้าได้ ฮ่าๆๆ...”
คนชุดดำหัวเราะเสียงดัง ยิ่งดูดซับพลังยิ่งทำให้เขารับรู้ได้ว่าพลังของเสิ่นเสวียนทั้งบริสุทธิ์และหนาแน่น หากเป็ผู้ฝึกตนขั้นบรรพบุรุษทั่วๆ ไป ตอนนี้เขาคงดูดพลังหมดไปแล้ว แต่เมื่อหันมองเสิ่นเสวียน แม้จะบอกว่าตอนนี้เสิ่นเสวียนกำลังทุกข์ทรมาน ผิวของเขาหดตัวลง หมดพลังไปมากแล้ว ทว่าตามที่เขาคิดคำนวณไว้ อย่างน้อยเสิ่นเสวียนยังเหลือพลังอีกครึ่งหนึ่ง
ผู้ฝึกตนขั้นบรรพบุรุษคนหนึ่งกลับมีพลังมากกว่ายอดฝีมือขั้นราชัน ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
“ข้ายอมแพ้แล้วได้ไหม”
“สายไปแล้ว เ้าหมดโอกาสไปแล้ว”
คนชุดดำจะปล่อยให้อาหารอันโอชะหลุดลอยไปได้อย่างไร แม้อีกฝ่ายจะยอมแพ้แต่ก็มีโอกาสกลับมาแว้งกัดได้ ไม่ว่าอย่างไรพลังนั่นจะต้องเป็ของเขาทั้งหมด
“เอ๋? พลังนี้แข็งแกร่งมาก!”
ขณะกำลังดูดซับพลัง คนชุดดำกลับทำสีหน้าแปลกใจออกมา จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็ความตื่นเต้น
“มันคือพลังของงูหน้าผี!”
พลังงูหน้าผีซ่อนอยู่ภายในร่างของเสิ่นเสวียน ตอนนี้มันโดนเขาแสดงออกมาให้คนชุดดำดูดซับไป
เห็นได้ชัดว่างูหน้าผีทำให้คนชุดดำประหลาดใจเป็อย่างมาก งูหน้าผีเป็สัตว์วิเศษที่หายากเนื่องจากมันจะเกิดในสภาพแวดล้อมจำเพาะ ยากมากที่จะมีงูหน้าผีเหนือกว่าขั้นห้าเกิดขึ้นมาได้ ทว่าพลังของงูหน้าผีภายในร่างของเสิ่นเสวียนกลับพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง เย็นเยียบอย่างที่สุด เห็นได้ชัดว่าเป็พลังของงูหน้าผีขั้นหก
“ข้าขอมอบพลังนี้ให้กับท่าน ท่านปล่อยข้าไปเถอะ”
เสิ่นเสวียนกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ข้าบอกแล้วว่าสายเกินไป”
คนชุดดำไม่ใส่ใจคำอ้อนวอนของเสิ่นเสวียนเลยแม้แต่น้อย เขากำลังดื่มด่ำอยู่กับพลังของงูหน้าผี หากพลังนี้ เขาสามารถจัดการได้หลายเื่เลยทีเดียว
และในตอนนี้เขาคลายความระมัดระวังต่อเสิ่นเสวียนไปแล้ว
เสิ่นเสวียนมีพลังเหลือไม่ถึงครึ่งหนึ่งด้วยซ้ำ แต่ร่างของเขามีพลังถึงขั้นจักรพรรดิ พลังต่างกันขนาดนี้แล้วจะสู้ได้อย่างไร
แต่เป็เพราะคลายความระมัดระวังลง ยิ่งทำให้เขามีอันตรายถึงชีวิต
“เ้าเองก็ไม่มีโอกาสแล้วเช่นกัน”
เสิ่นเสวียนพลันกล่าวออกมาเสียงเย็น
เมื่อได้ยินดังนั้น คนชุดดำจึงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ เขาเลยหันไปมองเสิ่นเสวียน
ทว่า...
สายไปแล้ว!
เสิ่นเสวียนที่โดนหญ้าพิษพันร่างไว้ก่อนหน้านี้หลุดจากพันธนาการไปตอนไหนไม่รู้ กระบี่ัคำรามในมือส่งเสียงคำรามออกมาอย่างโเี้ พุ่งออกจากมือแทงใส่คนชุดดำในทันที
ศาสตราิญญาแสดงพลังโจมตีสูงสุดปกป้องผู้เป็นาย เพียงพอที่จะทำให้อีกฝ่ายาเ็หนักได้โดยที่ไม่ทันระวังตัว
“รนหาที่ตาย”
ตอนที่คนชุดดำตั้งสติได้ เจตจำนงสังหารพลันวาวโรจน์ขึ้นในแววตา ฝ่ามือของเขาแปรเปลี่ยนเป็มีดดาบ เข้าปะทะกับกระบี่ัคำรามของเสิ่นเสวียนอย่างจัง
เคร้ง!!!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นตรงหน้าเขาห่างไปสามชุ่น สมแล้วที่คนชุดดำผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน แม้เสิ่นเสวียนจะวางแผนไว้นานแล้ว บวกกับการโจมตีด้วยพลังสูงสุดของศาสตราิญญา ก็ยังคงมิอาจสังหารอีกฝ่ายได้ ทั้งยังโดนอีกฝ่ายสลายพลังไปแล้ว
ส่วนกระบี่ัคำรามที่เป็ศาสตราวิเศษขั้นปฐี เขาให้ความสนใจมันมาั้แ่แรก ไม่เคยคลายความระแวดระวังลงเลย เขาจึงสามารถจัดการกับพลังนั้นได้
แกร๊ก!!!
คนชุดดำสลายพลังของกระบี่ัคำรามไปแล้ว ยังไม่ทันได้เพลิดเพลินกับชัยชนะกลับมีเสียงดังขึ้นจากร่างของตนเอง
“เอ๋?”
เขาอ้าปากค้าง พลางก้มหน้ามองใต้ซี่โครงด้านซ้ายของตนเองลงไปสามชุ่นอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
ปลายนิ้วของเสิ่นเสวียนชี้ไปยังจุดลมปราณของเขาอย่างแม่นยำ
“จุดนี้น่าจะเรียกว่าจุดเฟินเสินใช่ไหม”
เสิ่นเสวียนเงยหน้าขึ้นมองคนชุดดำพลางยิ้ม ช่างดูไร้เดียงสายิ่งนัก